มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น
ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Boundary (เขตแดนพิศวง)มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น
เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ
เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ
และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย
ในขณะที่รถของเอวากำลังจะพุ่งชนเด็กสาวที่ชื่อมณฑา รถเก๋งห้าประตูสีดำขับเบี่ยงเลนเข้ามาขวางตรงหน้ารถของเธอ ทันใดรถของเธอก็ลดความเร็วลงอย่างรุนแรงจนหยุดกะทันหันได้ทันก่อนที่จะชนปะทะเข้ากับรถเก๋งสีดำที่เข้ามาขวาง เกิดความร้อนจากการเสียดสีบริเวณยางล้อซึ่งทิ้งรอยสีดำลากเป็นทางยาวบนถนน เอวาหน้าทิ่มเกือบโดนพวงมาลัยรถแต่โชคดีที่เข็มขัดนิรภัยช่วยดึงรั้งร่างของเธอไว้ไม่ให้กระแทกโดน
เท้าของเธอยังเหยียบคาเบรกจนมิด เมื่อรู้สึกว่ารถไม่ได้ชนเข้ากับอะไรเธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเผชิญกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า รถที่เบี่ยงเลนส์เข้ามาขวางในแนวยาวแบบร้อยแปดสิบองศายังคงอยู่ในสภาพดีไม่สึกหรอ เธอจำรถคันนี้ได้แม่นเพราะมันเป็นรถที่ไปส่งเธอกลับบ้านทุกวันหลังเลิกงาน รถของนาชาญนั่นเอง เอวาดึงสติกลับมาได้รีบเข้าเกียร์จอดรถบนถนนแล้วเปิดประตูลงไปตรวจดูความปลอดภัยของนาชาญที่อยู่ในรถฝั่งตรงข้าม เอวาเคาะกระจกรถซึ่งทันทีที่อีกฝ่ายลดกระจกลงเธอก็รีบตะโกนถามเสียงดัง
“นาชาญ นายเป็นอะไรมั้ย”
“ฉันต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่าว่าเธอมาทำอะไร”
น้ำเสียงของนาชาญดุดันแต่แตกต่างกับตอนที่อยู่ตำหนักเจ้าพ่อ เพียงแต่เอวาพึ่งเคยได้เห็นนัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนกับเมฆหมอกสีดำทะมึนที่บดบังดวงตาคู่เดิมของเขาเอาไว้ มันไร้แววของสิ่งมีชีวิตและเต็มไปด้วยอำนาจบางอย่างที่เธอไม่อาจจะเข้าใจได้ ความหวาดกลัวเกาะกินหัวใจของเธอทำให้สัญชาติญาณบังคับให้เธอก้าวถอยหลังออกห่างจากเขาในทันทีโดยไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียง ครู่หนึ่งมือของนาชาญก็ยื่นเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้ หญิงสาวเบิกตากว้างหวีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจอย่างที่สุด เธอพยายามจะสะบัดมือให้หลุดเหมือนกำลังดิ้นรนให้พ้นจากเงื้อมมือของสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีแต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือก่อนจะกล่าวด้วยอารมณ์ที่สงบลง
“เป็นอะไรไป ฉันเอง…นาชาญไง”
เอวาหยุดกรีดร้องพลางมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดเจนอีกครั้ง สติของเธอเริ่มคืนกลับมาทำให้เธอนึกได้ว่ากำลังมาทำอะไร เธอกวาดสายตาสำรวจสภาพอีกฝ่ายจนแน่ใจว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บจึงเดินช้าๆ จะกลับไปที่รถของตนเอง ท่าทางของเธอทำให้นาชาญรีบลงจากรถเดินตามมาติดๆ แต่เธอตะโกนห้ามเขาโดยไม่หันกลับไปมอง
“นายอย่าพึ่งเข้ามา”
“เธอเป็นอะไรไป หยุดคุยกับฉันก่อน”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ นายช่วยไปดูเด็กที่ชื่อมณฑาดีกว่า เธออาจจะยังไม่ได้สติก็ได้”
นาชาญนึกได้หันไปมองมณฑาที่ยังคงเดินช้าๆ ข้ามถนนต่อไป โชคดีที่รถของเขาขวางอยู่ทำให้ไม่มีรถคันไหนวิ่งผ่านไปได้ เขารีบวิ่งไปพาตัวเธอกลับมาบนฟุตบาตที่ซึ่งญาติของเธอกำลังเดินออกตามหาจนมาหยุดเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนถนน นาชาญส่งตัวเธอคืนให้ญาติก่อนจะรีบกลับมาขึ้นรถเพื่อขับไปหาที่จอดข้างทางไม่ให้กีดขวางทางจราจร เขาลอบสังเกตอาการของมณฑาผ่านกระจกรถ ดูเหมือนเธอจะหยุดใจลอยและมีสติพอจะคุยกับญาติรู้เรื่องแล้ว ความสนใจของนาชาญจึงเปลี่ยนไปอยู่ที่รถของเอวาซึ่งขับผ่านหน้าเขาไปแทน เขารีบโทรศัพท์หาเอวา
เอวามองเห็นชื่อของนาชาญปรากฏขึ้นบนโทรศัพท์ก็ชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจกดรับสาย
“ฉันไม่เป็นไร กำลังจะกลับบ้านแล้ว”
“แล้วเมื่อกี้เดินหนีฉันทำไม”
“นายถามตัวเองเถอะ อยู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนถูกผีเข้า บอกตรงๆ ว่าฉันกลัวก็เลยรีบวิ่งหนีออกมาก่อนน่ะสิ”
“ฉันไม่ได้…” เสียงของนาชาญแผ่วลงเหมือนหนักใจที่จะอธิบาย “เอาเป็นว่าตอนนี้เด็กที่ชื่อมณฑาปลอดภัยแล้ว แต่ฉันเป็นห่วงเธอมากกว่า”
“ฮะ” ใบหน้าของเอวาเจือสีแดงระเรื่อ เธอรีบตอบกลับแบบโวยวายนิดๆ เพื่อให้ลืมอาการเขินอายที่เกือบทำให้พูดต่อไม่ได้ “นาย…ม… หมายถึงอะไร ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง”
“ถ้าเป็นไปได้ให้รีบกลับบ้าน แล้วไม่ต้องออกจากบ้านจนกว่าจะเลยเวลาตีหนึ่ง เธอทำได้มั้ย”
“ฉันก็คิดว่าจะทำแบบนั้นอยู่ นายไม่ต้องมาเตือนหรอก” เอวากล่าวในขณะที่ขับรถมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของตนเอง “ยิ่งมาเตือนแบบนี้ยิ่งทำให้ฉันกังวล แสดงว่าที่เคยไปปัดพานรับขันธ์ทิ้งนั่นมีผลใช่มั้ย”
“มันไม่ได้มีผลตั้งแต่ตอนปัดตกหรอก ของเธอมันมีผลตอนที่ขับรถชนเหยื่อรายล่าสุดแต่ไม่สำเร็จต่างหาก”
“หมายความว่าไง” เอวายิ่งงงหนักเข้าไปอีก “นายช่วยพูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ย”
“เธอทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ” นาชาญวางสายไปเฉยๆ ทำให้เอวายิ่งอารมณ์ขุ่นมัว เธอขับรถกลับมาถึงบ้านโดยที่ในใจยังครุ่นคิดเกี่ยวกับช่วงเวลาที่รถควบคุมไม่ได้ และท่าทางของนาชาญที่เหมือนถูกผีเข้า ยังมีเรื่องที่เขาเตือนเหมือนกับเธอกำลังตกเป็นเหยื่อรายต่อไปนี่อีก เอวาได้แต่สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านด้วยความเหนื่อยล้า
ยิ่งดวงจันทร์เด่นชัดขึ้นบนท้องฟ้ายิ่งแสดงถึงเวลายามกลางคืนอันเงียบสงัดที่เข้ามาเยือน แม้กลางวันอากาศจะร้อนระอุแต่กลับมีลมเย็นสบายพัดผ่านในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะฤดูไหนๆ ดวงดาวก็ยังคงสุกสกาวบนท้องฟ้าสีเข้มคอยแต่งแต้มสีสันให้ยามราตรีไม่ได้มีแต่ความมืดมนและเป็นเพื่อนแก้เหงาให้กับคนที่มีความจำเป็นจะต้องอดตาหลับขับตานอนขับรถมาจอดเฝ้าอยู่หน้าบ้านของคนอื่นเหมือนอย่างที่นาชาญกำลังทำอยู่ตอนนี้ เขาดับเครื่องยนต์และเปิดหน้าต่างรถรับลมเย็นจากภายนอก แม้จะหาวเป็นระยะก็ยังคอยเงยหน้าจับตาดูหน้าบ้านของเอวาเผื่อว่าจะมีใครเดินออกมาในช่วงเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แบบนี้
ยังไม่ทันที่เขาจะเริ่มเผลอวางใจหลับตาสัปหงกลงได้ ร่างเงาของหญิงสาวในชุดนอนก็เดินโผเผออกจากบ้านมาเหมือนคนไม่มีสติ ผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงบ่งบอกว่าเธอไม่ได้เตรียมตัวจะออกจากบ้าน นาชาญลงจากรถเดินตามหลังเธอไปเงียบๆ ยังไม่ได้คิดจะปลุกเธอ หญิงสาวเดินออกมาราวหนึ่งกิโลเมตรก็มาถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านซึ่งมีถนนสองเลนสำหรับให้รถวิ่งสวนกันได้ ยามนี้ไม่มีรถแล่นผ่านให้เห็นมากนักซึ่งเอวาก็ยืนนิ่งๆ อยู่บนฟุตบาตรเกือบครึ่งชั่วโมง ทันใดนาชาญเห็นรถคันหนึ่งแล่นอยู่ห่างออกไปราวสองกิโลเมตรกำลังมุ่งหน้ามาทางถนนตรงหน้าเอวา
นาชาญมีความลับที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน ตอนนี้ในดวงตาของเขาสะท้อนเงาร่างสีดำทะมึนของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางถนน เธออยู่ในชุดกระโปรงสีขาวชุ่มโชกไปด้วยเลือดแดงฉานเกือบทั้งตัว เส้นผมสีดำยาวสยายที่ปกคลุมใบหน้าเผยให้เห็นเพียงใบหน้าซีกซ้ายซึ่งหนังศีรษะเปิดออกจนมองเห็นเนื้อสมองไม่ครบส่วนโผล่พ้นกะโหลกออกมา เธอกำลังกวักมือเรียกเอวาให้เดินเข้าไปหา เอวาบ่นพึมพำเหมือนคนเดินละเมอ
“คุณยายคะ ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบเอวาก็ทำท่าจะก้าวพรวดพราดลงไปบนถนนที่ซึ่งรถคันเมื่อครู่เร่งความเร็วเข้ามาจนเกือบถึงจุดที่เอวาอยู่ นาชาญรีบเข้าไปฉุดมือเธอแล้วดึงมาไพล่หลังล็อกตัวเอาไว้ไม่ให้เธอวิ่งลงถนน รถวิ่งผ่านหน้าอย่างรวดเร็วจนลมพัดเสื้อผ้าหน้าผมของทั้งคู่ปลิวสะบัด เอวายังคงเพ้อหาคุณยายและพยายามจะวิ่งเข้าไปหาวิญญาณผีตายโหงที่อยู่บนถนน
นาชาญมองตรงไปที่วิญญาณหญิงสาวสายตาแข็งกร้าว ก่อนกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงทรงพลังเหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเขาเอง “จงกลับไปในที่ที่เจ้าควรอยู่เสีย นางพินธุรส”
ร่างวิญญาณของผีตายโหงค่อยๆ เลือนหายไปจากถนนในขณะที่เอวาเริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง เธอรู้สึกตัวว่าแขนทั้งสองข้างถูกจับทำให้ขยับไม่ได้ก็โวยวายเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ “คุณเป็นใครน่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ใจเย็นๆ ฉันเอง…นาชาญ” เขาปล่อยมือจากเธอทำให้เอวากลับมามีอิสระที่จะเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกครั้ง
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่” เธอหันขวับไปมองสำรวจเขาก่อนจะนึกขึ้นได้ก้มมองดูสภาพของตนเองในชุดนอน “แล้วฉันมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย”
สีหน้าของนาชาญเอือมระอาก่อนถามคำถามกลับไป “แล้วเมื่อกี้เธอเรียกหาใครล่ะ”
“คุณยาย” เธอจำคำพูดตัวเองได้ลางๆ ก่อนที่ภาพในหัวตั้งแต่ตอนที่เธอเดินออกจากบ้านเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันเมื่อครู่ย้อนกลับมาในห้วงความคิด “อย่าบอกนะว่าไม่ใช่ความฝัน”
“เธอเห็นอะไรล่ะ”
“คุณยายที่ตายไปแล้วกลับมาเรียกหาฉัน ตอนแรกเห็นเธอกวักมืออยู่นอกบ้าน แต่พอออกจากบ้านมาเธอก็เดินออกห่างไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อกี้ที่กลางถนนคุณยายก็บอกให้ฉันไปช่วยเธอข้ามถนนหน่อย”
นาชาญยืนฟังเธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะชี้ให้เธอยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา “กี่โมงแล้วนะ”
“ตีหนึ่งสิบห้านาที” เอวาสะดุ้งเฮือกใบหน้าซีดเผือด “หมายความว่าเมื่อกี้ฉันกำลังจะกระโดดลงไปให้รถชนหรือ”
นาชาญยิ้มแบบฝืนๆ ให้แทนคำตอบพลางชี้ไปที่ทางกลับบ้านของเธอ “รีบกลับไปนอนเถอะ ฉันจะได้กลับเหมือนกัน”
ในระหว่างเดินทางกลับบ้านท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างที่มืดสนิท มีแสงไฟสลัวจากเสาไฟถนนส่องนำทางให้เป็นระยะ เอวาลอบสังเกตท่าทางของนาชาญซึ่งกำลังหาวด้วยความง่วงนอนหลายหนแล้ว เขาบอกว่าเมื่อวานนอนดึก วันนี้ยังต้องมาคอยเฝ้าเธออีก เมื่อย้อนนึกถึงตอนที่เธอเจอวิญญาณผีตายโหงที่กลางถนนและนาชาญเข้ามาช่วยเธอไว้ ราวกับนาชาญมองเห็นวิญญาณผีตายโหงตนนั้นและยังใช้คำพูดสั่งวิญญาณได้ด้วย ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเพ้อเจ้อแต่ก็อยากพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
“นาชาญ นายมองเห็นวิญญาณได้หรือ”
นาชาญหยุดฝีเท้าลงทำให้เอวาหันไปมองอย่างแปลกใจ เขาไม่ได้ทักท้วงแค่ถามคำถามกลับไป “ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”
“เมื่อกี้ฉันจำได้ลางๆ ว่าได้ยินเสียงของคนที่มาช่วยฉันพูดกับวิญญาณตายโหงนั่นได้ แล้วเจ้าของเสียงที่ว่าก็คือนายไม่ใช่หรือ”
“พูดกับวิญญาณหรือ เธอนี่จินตนาการล้นเหลือเลยนะ” นาชาญพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันเห็นเธอเหมือนถูกสะกดจิต ก็เลยแกล้งทำเป็นพูดกับวิญญาณให้ออกห่างจากเธอ เธอจะได้มีสติไง มันก็แค่จิตวิทยาอย่างนึง”
“งั้นหรือ” เอวานิ่งคิดซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจจริงๆ นั่นแหละว่าช่วงเวลาที่มองเห็นคุณยายนั่นเป็นภาพหลอน เดินละเมอหรือแค่คิดไปเอง เธอถอนหายใจก่อนจะเลิกฟุ้งซ่าน “ช่างเถอะ แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกว่านายเหมือนถูกผีเข้าจริงๆ ”
“ยังไงล่ะ ฉันยังไม่เคยวิ่งลงไปให้รถชนนะ”
เอวาสะอึกเถียงไม่ออกแต่ก็ยังพยายามพูดแก้ตัวให้ตัวเอง “ไม่ใช่สิ ของฉันมันแค่เห็นภาพหลอน”
“ใครจับพานรับขันธ์นั่นก็เป็นเหมือนกันหมด ฉันว่าผีมันย้ายที่สิงสู่ไปหาคนที่จับพานแน่เลย ถ้ามันมีจริงล่ะก็นะ”
เอวาหน้าซีดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่รวมถึงเหยื่อรายก่อนๆ ที่ตายไปเพราะสาเหตุเดียวกัน “สงสัยคงหาตัวตายตัวแทนแน่ๆ ก็หมายความว่าวิญญาณผีตายโหงนั่นตายเพราะถูกรถชนหรือ”
“ถ้าผีหรือวิญญาณมีจริงก็เป็นไปได้”
“งั้นถ้าเราสืบประวัติของผู้หญิงที่ตายเพราะถูกรถชน…”
“รู้มั้ยว่าในช่วงเวลาแค่หนึ่งเดือนมีคนตายเพราะถูกรถชนกี่ราย แล้ววิญญาณผู้หญิงที่ว่านั่นตายไปกี่ปีแล้วเธอรู้หรือเปล่า”
“ไม่รู้อะไรเลย” เอวาบ่นพึมพำสีหน้าผิดหวังอย่างแรง “ถ้างั้นเราก็ต้องคอยไปตามเฝ้าเหยื่อทุกรายที่ไปตำหนักสิริล้านนาถึงจะหยุดไม่ให้มีคนตายได้งั้นหรือ อย่าบอกนะว่าที่เมื่อวานนายไม่ได้นอนก็เพราะไปตามเฝ้าเหยื่อเหมือนกัน”
“แค่ไปตรวจสอบว่าเหยื่อเป็นคนที่เคยไปตำหนักจริงๆ พอดีฉันได้รายชื่อของคนที่ไปตำหนักเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมาจากเพื่อนน่ะ”
เอวาใช้ความคิดสักพักสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด “ฉันพอจะนึกออกแล้วว่าเหยื่อรายต่อไปเป็นใคร เพื่อนฉันที่ชื่อเอิญ ฉันแนะนำให้เธอลองไปถ่ายช่องออนไลน์ทำคอนเทนต์ที่นั่นเพื่อแลกกับข้อมูล ฉันเห็นช่องเธอมีภาพตอนจับพานรับขันธ์ด้วย”
นาชาญยกมือขึ้นกุมขมับ เขาคงอดหลับอดนอนอีกคืนไม่ไหวแล้ว “พรุ่งนี้ไปหาเจ้าพ่อนั่นที่ตำหนักด้วยกัน”
“นายคิดจะทำอะไรน่ะ”
“ถ้าสมมติว่าเขาใช้วิธีการทางจิตวิทยาแบบนี้ทำให้คนฆ่าตัวตาย งั้นฉันก็จะทำให้ของย้อนเข้าตัวดูสิว่าจะมีผลทางจิตวิทยากับฝ่ายนั้นยังไงบ้าง” นาชาญกล่าวจบก็เดินหน้าต่อเพื่อพาเอวากลับไปส่งที่บ้านให้เร็วที่สุด แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เอวายังข้องใจ เธอจึงเดินเข้าไปคว้าไหล่เขาเพื่อถามให้รู้เรื่อง
“ฉันจำได้ว่านายเรียกชื่อผีตายโหงนั่นว่าพินธุรส นายรู้ได้ยังไง”
นาชาญเลิกคิ้วตอบคำถามของเธออย่างไม่เต็มใจนัก “พินธุรสอะไร ฉันก็พูดมั่วๆ ไปเรื่อย ต่อให้เรียกผีนั่นว่านางมะลิเธอก็คงจะเข้าใจว่าผีฟังฉันแล้วก็ยอมหายตัวไปอยู่ดีนั่นแหละ”
เอวามีท่าทีอ่อนลงเพราะเถียงไม่ออกแต่เธอคิดวิธีพิสูจน์เรื่องนี้ออกแล้วจึงไม่คิดจะชวนนาชาญต่อปากต่อคำอีก หลังจากนาชาญเดินมาส่งเธอถึงบ้านแล้วเขาก็ขอตัวไปขึ้นรถขับกลับบ้านตัวเองบ้าง เมื่อรถวิ่งลับตาไปแล้วเอวาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วส่งข้อความทิ้งไว้ให้เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักข่าวช่องออนไลน์เพื่อขอให้ช่วยหาข้อมูลของผู้หญิงที่ชื่อพินธุรสที่ตายเพราะเหตุการณ์รถชน จะเป็นการฆ่าตัวตายหรืออุบัติเหตุก็ได้ หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับขึ้นไปยังห้องนอนของตนเองบนชั้นสอง
เช้าวันอังคารยังคงเป็นวันที่อากาศร้อนเพราะแสงแดดแรงกล้าในฤดูร้อนของเดือนมีนาคม เอวาเป็นคนขับรถเก๋งสีเทาของสำนักงานโดยมีนาชาญนอนหลับสนิทอยู่บนเบาะที่นั่งข้างคนขับ เมื่อคืนเอวาหลับทันทีที่หัวถึงหมอนหลังกลับถึงบ้านต่างกับนาชาญที่เมื่อเช้าออกอาการพูดไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยความงัวเงีย เอวายังคงข้องใจกับบุคลิกแปลกๆ ของนาชาญที่ชอบผลุบโผล่ออกมาให้ตกใจเล่นและมันยังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เธอถามเขาก็จะตอบแบบเอาตัวรอดหรือขอไปที บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าเขามองเห็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติแต่เขาก็จะอ้างว่าเป็นแค่จิตวิทยากับความเชื่อเท่านั้น นาชาญขยับตัวไปมาเพราะอึดอัดกับสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองเขาสลับกับมองกระจกหน้ารถ เขาลุกขึ้นนั่งก่อนหันไปคุยกับเธอแบบจริงจัง
“สงสัยอะไรอีกเนี่ย มองจนหน้าฉันจะทะลุเป็นรูแล้ว”
“เพื่อนฉันช่วยหาข้อมูลเรื่องผู้หญิงที่ชื่อพินธุรสที่ตายในเหตุการณ์รถชน ปรากฏว่าเธอมีตัวตนจริงๆ และตายเมื่อเดือนที่แล้ว ตายเพราะกระโดดเข้าไปให้รถชนเพื่อฆ่าตัวตาย”
นาชาญเบือนสายตาหนีไม่กล้ามองหน้าเอวาตรงๆ “งั้นหรือ บังเอิญล่ะมั้ง”
“ไม่น่าใช่นะ สาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้ฆ่าตัวตายเพราะมีปัญหาเรื่องเงิน เธอกำลังตกงานและพบว่าแฟนไปมีผู้หญิงคนอื่น ความสัมพันธ์กับครอบครัวของเธอก็มีปัญหา เธอหาทางออกไม่ได้สุดท้ายก็คิดสั้นระหว่างที่ออกมาหาซื้อข้าวกินข้างนอก รู้สึกคล้ายๆ กับปัญหาของคนที่ตายหรือเหยื่อที่เคยไปที่ตำหนักมั้ย”
“ถ้าเหมือนแล้วยังไงล่ะ ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีหลักฐานอะไรที่เกี่ยวข้องกันเลย” นาชาญยังยืนกรานไม่พูดเข้าเรื่องไสยศาสตร์แต่เอวาพยายามอธิบายให้เกี่ยวข้องกัน
“ที่ฉันจับพานรับขันธ์แล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนถึงเมื่อวาน ไม่ใช่เพราะว่าฉันปัดพานทิ้งแต่เป็นเพราะตอนที่ฉันรับขันธ์ ยังไม่มีวิญญาณตายโหงมาตามรังควานฉันต่างหาก ตำหนักสิริล้านนานั่นมีแต่พิธีปลอมๆ ไม่เคยมีคุณไสยมนตร์ดำอะไรมาจนถึงเมื่อเดือนที่แล้ว การตายต่อเนื่องเกิดขึ้นในเดือนนี้ เวลามันลงตัวพอดีว่ามั้ย”
“เธอลองฟังสิ่งที่ตัวเองพูดสิ มันมีเหตุผลมั้ย เธอพูดบนสมมติฐานที่ว่าผีมีอยู่จริงนะ”
“ก็ฉันโดนผีหลอกจริงๆ จนเกือบตายมาแล้ว แล้วจะให้บอกว่าผีไม่มีจริงหรือไงเล่า” เอวาขึ้นเสียงเริ่มมีน้ำโห “นายไม่ต้องมาปิดบังแล้ว นายมองเห็นผีใช่มั้ย”