มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น
ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Boundary (เขตแดนพิศวง)มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น
เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ
เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ
และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย
นาชาญรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่อยากจะตอบคำถาม แต่บรรยากาศบีบคั้นที่เอวาสร้างขึ้นทำให้เขายากที่จะปฏิเสธ เธอพูดถูกที่เขามองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างผีหรือวิญญาณ เขาไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดเอาไว้แต่เพราะมันเป็นเรื่องของความเชื่อซึ่งไม่ใช่ใครก็จะเปิดใจรับได้ ดังนั้นทุกครั้งที่พูดเรื่องแบบนี้เขาจึงมักจะเลี่ยงเล่าไปในแนวทางจิตวิทยาและความเชื่อเสียมากกว่า ที่จริงนาชาญยังไม่แน่ใจว่าที่เธอถามแบบนี้เพราะต้องการทดสอบสภาพจิตใจของเขาว่ายังปกติดีหรือไม่ หรือว่าเธอเชื่อจริงๆ เพราะเคยถูกผีหลอกมาแล้วกันแน่ เขาจึงใช้วิธีเลี่ยงเหมือนที่เคยทำมา
“เอาเป็นว่าถ้าเธอเห็นเรื่องที่ตำหนักหลังจากนี้แล้ว ค่อยมาถามฉันอีกทีก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องหลังจากเห็นเรื่องที่ตำหนักแล้วล่ะ”
“นั่นๆ ถึงแล้วเลี้ยวเข้าไปเลย” นาชาญเปลี่ยนเรื่องทันทีซึ่งเอวาขับรถมาถึงลานจอดรถของตำหนักสิริล้านนาพอดี เธอรู้สึกขัดใจที่เขาไม่ตอบคำถามอะไรเลย ทันทีที่จอดรถเขาก็เดินนำเข้าไปในตำหนัก
หญิงวัยกลางคนคนเดิมเดินเข้ามาห้ามเขาไว้ไม่ให้เข้าหลังจากเปิดประตูเข้ามาภายในตำหนัก เธอเป็นคนรับใช้ที่อินทร์เฟือนหรือเจ้าพ่อของตำหนักจ้างไว้ให้ดูแลทำงานบ้านทั่วๆ ไป และชื่อของนาชาญคงถูกขึ้นบัญชีดำไม่ให้เข้ามาเจอเจ้าพ่ออีกจึงถูกเธอซึ่งเป็นด่านหน้ากันเอาไว้ นาชาญหยิบธนบัตรใบละพันสองใบยื่นให้เธอก่อนจะแสร้งทำเป็นเล่นละครจนเอวาหมั่นไส้
“ครั้งที่แล้วผมล่วงเกินเจ้าพ่อเลยเจอดีมาครับ ครั้งนี้ผมก็เลยจะมาขอรับขันธ์จากเจ้าพ่อเพื่อเป็นการขอขมา”
“คงไม่มาสร้างความวุ่นวายในพิธีกรรมอีกนะ ตอนนี้เจ้าพ่อกำลังทำพิธีรับลูกศิษย์อยู่ด้วย”
“ไม่หรอกครับ ผมขอพานรับขันธ์ชุดนึงด้วยได้มั้ย”
“คุณขึ้นไปจ่ายเงินกับควาญของเจ้าพ่อได้เลย เธอจะเตรียมพานให้คุณเอง”
ในระหว่างที่นาชาญขึ้นบันไดไปยังชั้นสองกับเอวา เอวารีบท้วงเสียงหลงอย่างไม่สบอารมณ์
“นายจะเอาพานรับขันธ์ไปทำไม เดี๋ยวก็วิ่งไปให้รถชนตายอีกคนหรอก”
“เอาน่า ฉันมีวิธีของฉัน เธอคอยดูก็แล้วกัน”
นาชาญและเอวาเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องของเจ้าพ่อก่อนจะลงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างหลังกลุ่มคนสามคนที่มาทำพิธีรับขันธ์กับเจ้าพ่อ เสียงวงดนตรีปี่พาทย์ชุดเดิมยังคงบรรเลงออกจากลำโพงขนาดใหญ่ไม่แตกต่างอะไรกับครั้งก่อนที่เข้ามา เพียงแต่เมื่อรู้เบื้องหลังของพิธีกรรมแล้วความรู้สึกต้องมนตร์ขลังมันหายไป นาชาญมองดูอินทร์เฟือนแสดงเป็นเจ้าพ่อใช้ดาบฟ้อนรำแตะบ่าทั้งสองข้างของเด็กผู้ชายอายุราวสิบหกปีที่มาขอรับการรักษา อินทร์เฟือนท่องมนตร์เป่าลมใส่เด็กครั้งแล้วครั้งเล่าจนสายตาเหลือบมาเห็นนาชาญที่นั่งอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ เขาผงะตกใจนิดหนึ่งเกือบเป่าลมใส่หน้าตัวเอง
นาชาญคลานเข้าไปหาปลายฟ้าซึ่งเป็นควาญสาวที่ปรนนิบัติผีก่อนจะมอบเงินให้แล้วขอพานรับขันธ์ชุดหนึ่ง เขากระซิบบอกเธอ “ครั้งก่อนผมขอโทษด้วย หากรับขันธ์แล้วช่วยขอให้เจ้าพ่อยกโทษให้ด้วยนะ”
เธอรับเงินมาด้วยความแปลกใจเพราะท่าทีของนาชาญไม่เหมือนคราวก่อน แม้จะยังไม่ค่อยแน่ใจนักแต่เมื่อเห็นเงินเธอก็ยอมเชื่อที่เขาพูดแล้วปล่อยผ่านไป หลังจากอินทร์เฟือนอ้างว่ารักษาเด็กชายเสร็จแล้วญาติๆ ก็พาตัวเด็กกลับบ้าน ถึงคราวของนาชาญที่ต้องคลานเข้าไปรับพานจากปลายฟ้า
ตอนที่เขายื่นมือไปจับพานก็เกิดไฟสีฟ้าลุกท่วมพานรับขันธ์จนปลายฟ้ารีบปล่อยพานทิ้ง สายตาของนาชาญตอนนี้จับจ้องอยู่เหนือพานรับขันธ์ คนอื่นอาจมองไม่เห็นแต่ร่างวิญญาณเลือนลางของหญิงสาวในชุดขาวชุ่มเลือดปรากฎขึ้นตรงนั้น เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นมองไปรอบๆ เหมือนหาร่างสิงสู่ไม่ได้ ในที่สุดเธอก็หันขวับไปจ้องตาปลายฟ้า เด็กสาวสะดุ้งหน้าคะมำค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งจ้ำอ้าวออกจากห้องของเจ้าพ่อไป อินทร์เฟือนจะวิ่งตามหลานออกไปแต่นาชาญดึงตัวเขาไว้พลางกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงคำรามกร้าวเหมือนมีเสียงซ้อนทับจากคนอื่น
“ไม่ต้องกลัว ผีตายโหงนั่นไม่ทำร้ายร่างสิงสู่สุดท้ายของมันหรอก แต่พวกเจ้าจงเลิกอาชีพร่างทรงซะ ข้าเตือนแล้วใช่มั้ยว่าการกระทำของพวกเจ้าทำให้มีหลายคนต้องตาย”
“ยกโทษให้ด้วยครับ” อินทร์เฟือนยกมือไหว้โดยสัญชาตญาณ ท่าทางของเขาลนลานหวาดกลัว “ผมกับหลานแค่ต้องการหาเงินเลี้ยงชีพเท่านั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าทำให้ท่านโกรธ”
“หากมีคนตายเหมือนเดิมอีก ข้าจะเอาชีวิตเจ้าแทน”
นาชาญหยุดพูดแค่นี้ก่อนหันไปหาเอวาด้วยสีหน้าตามปกติของเขา
“กลับกันเถอะ หมดธุระแล้ว”
เอวาเป็นคนขับรถพานาชาญมุ่งหน้ากลับไปยังอาคารสำนักงาน บรรยากาศตึงเครียดรอบๆ ตัวเอวาทำให้นาชาญอึดอัด เขารู้ว่ามีหลายเรื่องที่เธออยากให้เขาอธิบายแต่เธอกลับไม่ถามคำถามอะไรเลย ในระหว่างที่รถจอดรอติดไฟแดงเอวาซึ่งใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดตลอดทางจึงได้ทีเริ่มกล่าวกับเขา
“นายทำอะไรกับพานรับขันธ์”
“ใช้กลนิดหน่อยทำให้เกิดไฟลุก”
เอวากัดฟันไม่ยอมรับคำตอบ “ฉันหมายถึงว่าทำแบบนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับปลายฟ้า แล้วคนอื่นๆ ที่รับขันธ์ไปล่ะ”
“ในทางความเชื่ออธิบายได้ว่าพานรับขันธ์ถูกทำลายระหว่างพิธีกรรม เพราะวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงสู่ร่างที่จะมารับขันธ์ต่อไม่สำเร็จ ดังนั้นมันจึงย้อนกลับไปสิงสู่ผู้ที่ส่งมอบพานแทน คนอื่นๆ ที่เคยรับขันธ์ก็ปลอดภัยแล้ว”
“แล้วปลายฟ้าจะปลอดภัยมั้ย คงไม่วิ่งเข้าไปให้รถชนตายหรอกนะ”
“ไม่หรอก เพียงแต่ต่อไปนี้เธอจะต้องรับกรรมในสิ่งที่เธอทำกับคนอื่น ผีตายโหงจะทำให้ดวงของเธอตกทำอะไรก็ไม่ขึ้น แต่ก็จะไม่สามารถเอาชีวิตเธอได้เพราะเป็นร่างเดียวที่มันจะใช้สิงสู่ได้”
เอวาถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็ไม่ลืมที่จะลอบมองอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง
“แล้วนายไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”
“วิญญาณผีตายโหงแบบนั้นเข้าร่างฉันไม่ได้หรอก พานถึงถูกทำลายไง”
“ยอมรับออกมาแล้วสินะว่ามันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ” เอวายิ้มเจ้าเล่ห์พลางถามเขา “บ้านนายเป็นพวกสืบทอดวิชาหมอผีใช่หรือเปล่า”
นาชาญนิ่งเงียบรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกหลอกให้พูด เขาถอนหายใจก่อนจะยอมรับออกมาในที่สุด “ไม่ใช่สายตรงหรอก ตอนกลับไปบ้านพ่อที่เชียงรายเกิดเรื่องนิดหน่อยทำให้ฉันถูกบอกให้รับสืบทอด…เรียกง่ายๆ ว่าวิชาหมอผีนั่นแหละ”
“เพราะงั้นนายถึงมองเห็นวิญญาณหรือ มองเห็นมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า”
“เปล่า” เขากล่าวเบาๆ น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ค่อยอยากพูดถึง “ฉันมองเห็นหลังจากกลับไปที่เชียงรายนั่นแหละ”
“แบบนี้นายก็ต้องเคยเจอคนที่ถูกผีสิงหลายแบบเลยสิ”
“ใช่ พวกผีเร่ร่อนมันเจ้าเล่ห์ มันจะหลอกล่อเธอทุกอย่างเพื่อให้ตัวมันได้สิ่งที่ต้องการ โดยเฉพาะมันต้องการร่างของมนุษย์” น้ำเสียงของนาชาญทีเล่นทีจริงแต่เอวาไม่สบอารมณ์นัก
“ต้องการไปทำไม ทำไมถึงไม่ไปสู่สุคติล่ะ”
“ผีเร่ร่อน มักเป็นวิญญาณที่ยังยึดติดหรือมีบ่วงอยู่กับบางสิ่งบางอย่างจนไม่สามารถไปสู่สุคติได้ อาจจะเป็นเพราะความรัก ความแค้น ความโลภ ความโกรธ พวกมันจึงต้องการร่างของมนุษย์เพื่อไปทำสิ่งที่มันยังค้างคาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ให้สำเร็จ”
“ถ้าอย่างนั้นผีที่ชื่อพินธุรสนั่นก็มีสิ่งที่ค้างคาเหมือนกันน่ะสิ”
“นั่นเป็นกรรมที่เกิดจากการฆ่าตัวตาย เธอต้องวิ่งไปให้รถชนซ้ำๆ อยู่แบบนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัยจริงๆ ของเธอ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าถ้าหาตัวตายตัวแทนได้เธอก็จะหลุดพ้นและไปสู่สุคติได้ แต่กรรมของใครก็ไม่มีใครชดใช้แทนได้ ต่อให้หาวิญญาณมาแทนได้แต่เธอก็ต้องฆ่าตัวตายซ้ำๆ ไปสู่สคติไม่ได้อยู่ดี และเธอยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้”
เอวารู้สึกขนลุกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาในทันใด “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกเอาวิญญาณไปเป็นตัวตายตัวแทนล่ะ”
“ก็ต้องวิ่งเข้าไปให้รถชนซ้ำๆ อยู่แบบนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัยเช่นกัน ฉันถึงได้บอกว่าอย่าซี้ซั้วทำพิธีรับขันธ์ไง”
รถวิ่งเข้ามาจอดในลานจอดรถของอาคารสำนักงานมูลนิธิเหรียญปราชญ์ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าที่แทบจะทำให้พื้นระเหยเป็นไอได้ เอวาดับเครื่องยนต์แล้วยกนาฬิกาขึ้นดูซึ่งตอนนี้บอกเวลาเที่ยงแล้ว อากาศภายในรถแตกต่างกับภายนอกจนแทบไม่อยากก้าวเท้าออกจากรถ เอวาหันไปกล่าวกับนาชาญซึ่งกำลังดึงเข็มขัดนิรภัยออก
“วันนี้จะสั่งอาหารมาที่ออฟฟิศมั้ย หรือจะกินข้างนอก”
“ข้างนอกร้อนขนาดนี้ไม่น่าเดินหรอก สั่งเข้ามากินกันเถอะ”
เอวาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “วันเสาร์หน้าฉันจะไปเที่ยววัดป่าพุทธชินวงศารามที่พะเยานะ นายอยากได้อะไรเป็นของฝากมั้ย”
“พะเยานี่มีอะไรขึ้นชื่อนะ กาละแมโบราณใช่มั้ย”
เอวาหรี่ตาอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไปเที่ยววัดที่ขึ้นชื่อเรื่องพญานาค เพื่อนฉันบอกว่าอยากไปดูความคืบหน้าว่าเขาสร้างไปถึงไหนแล้ว แทนที่จะอยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบูชาดันให้ซื้อกาละแมโบราณซะงั้น”
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเธอไปเอาอะไรแปลกๆ มาจะไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่ะสิ” นาชาญกล่าวก่อนจะเป็นฝ่ายกดมือถือเพื่อสั่งอาหาร “เธออยากกินอะไร คราวนี้ฉันเป็นคนสั่งบ้าง”
เอวาทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงถอดใจยอมแพ้ “เหมือนเดิมละกัน กระเพราไก่ไข่ดาว”
ท้องฟ้ายามเย็นในช่วงฤดูร้อนเป็นสีม่วงอ่อนฉาบด้วยแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้จึงมองเห็นเป็นสีชมพูเรื่อๆ กลืนกันทั้งสวยงามและแฝงไว้ด้วยความน่าพิศวง นาชาญกำลังขับรถออกจากหมู่บ้านของเอวาหลังจากส่งเธอเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาขับรถมุ่งหน้าสู่หอพักของตนเองซึ่งตั้งอยู่แถวแบริ่ง ขนาดของหอพักไม่ใหญ่โตมากนักมีทั้งหมดแปดชั้น ในหนึ่งชั้นมีห้องพักอยู่สี่ห้องเท่านั้น เขาชอบที่นี่เพราะค่อนข้างเป็นส่วนตัว ผู้เช่าแต่ละคนแม้จะทักทายกันอยู่ประจำแต่ก็ไม่เคยก้าวก่ายกันจนเกินไป
ที่จริงบ้านแม่ของนาชาญตั้งอยู่แถวราชพฤกษ์ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับแบริ่งและค่อนข้างไกล เขาไม่ได้กลับบ้านแม่บ่อยนักเพราะต้องทำงานและมีเวลาเพียงสุดสัปดาห์ในการพักผ่อน หลังจากเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานจอดรถ นาชาญก็เดินผ่านประตูกระจกที่ต้องใช้คีย์การ์ดเพื่อเข้าสู่ห้องสำหรับรอลิฟท์ ในระหว่างที่กำลังแตะคีย์การ์ดนั้นเอง เขารู้สึกถึงสายลมแปลกๆ ที่พัดผ่านหลังของเขาจนเย็นวาบไปถึงต้นคอ ทันใดเสียงเตือนจากเครื่องที่สแกนบัตรไม่ผ่านก็ดังขึ้นทำให้เขาเริ่มเลิกคิ้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาลองแตะบัตรอีกครั้ง
“ช่วยด้วย” เสียงครางแหบทุ้มฟังดูเหมือนเสียงกระซิบดังแว่วมาตามสายลม นาชาญหันขวับไปมองจึงทันได้เห็นเงาดำร่างหนึ่งเดินหายลงไปในหลุมสีดำบนพื้นลานจอดรถ มีมือดำทะมึนสูงราวสองเมตรสองข้างโผล่พ้นหลุมสีดำขึ้นมาก่อนที่หลุมสีดำจะปิดสนิทพร้อมกับร่องรอยทุกอย่างหายไปจากสายตาราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
นาชาญเลิกคิ้วพยายามนึกถึงเงาเมื่อครู่ เสียงและรูปร่างช่างคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เงาแบบนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา ถึงแม้จะปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่เคยชัดเจนจนรู้ได้เสียทีว่าตัวตนที่แท้จริงของเงาพวกนี้คืออะไรกันแน่ เขาได้แต่ส่ายหัวก่อนแตะคีย์การ์ดที่เครื่องอีกครั้งซึ่งครั้งนี้กลับผ่านเข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหา
การเดินทางไปยังวัดป่าพุทธชินวงศารามโดยเครื่องบินนั้นใช้เวลาราวชั่วโมงครึ่ง ต้องไปลงที่ท่าอากาศเชียงรายก่อนจึงขับรถเช่าต่อไปยังจังหวัดพะเยากินเวลาอีกราวชั่วโมงกว่า เอวาขับรถไปกับเพื่อนสาวที่ชื่อเอิญซึ่งเป็นเจ้าของช่องออนไลน์ เธอเป็นหญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ผูกผมหางม้าสีดำขลับไว้ข้างหลัง รูปร่างผอมบางและสูงใกล้เคียงกับเอวา เธออยากไปถ่ายรูปทำข่าวเรื่องความลึกลับและความคืบหน้าของการก่อสร้างวัดป่า เอวาขับรถไปคุยกับเอิญไปจนผ่านเข้าซุ้มประตูที่เขียนชื่อวัดป่าพุทธชินวงศาราม นาฬิกาในรถบอกเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบเพื่อให้คล่องตัวต่อการเดินสำรวจวัดบนภูเขาที่มีเนื้อที่ราวสี่สิบไร่โอบล้อมด้วยลำตัวพญานาคยาวเก้าร้อยเมตรแห่งนี้
เอวากับเอิญตกลงกันว่าจะแยกกันไปเดินถ่ายรูปรอบๆ แล้วค่อยกลับมาเจอกันที่ลานธรรมโพธิญาณทรงกลมที่ติดกับลานจอดรถเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมหาจักรพรรดิโลกวิวรณ์หรือปางเปิดโลก มีอนุเสาวรีย์ขององค์พระมหากษัตริย์ไทยตั้งอยู่เบื้องหน้าให้คนได้สักการะบูชา เมื่อเดินขึ้นบันไดตรงกลางลานทอดขึ้นสู่ยอดเขาจะพบรูปปั้นของท้าวเวสวัณซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองภพภูมิแห่งยักษ์และยังเป็นหัวหน้าของจาตุมหาราชิกาอีกสามพระองค์ที่ทำหน้าที่ดูแลภพภูมิอื่นๆด้วย จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งในลานหน้าทางขึ้นภูเขานี้ก็คือส่วนเศียรและหางขององค์สัตตนาคราชพญามุจลินท์ซึ่งเป็นเจ้าของลำตัวยาวเก้าร้อยเมตรที่โอบล้อมภูเขาแห่งนี้เอาไว้
ความสนใจของเอวาอยู่ที่น้ำตกจำลองด้านข้างรูปปั้นทำให้เธอถ่ายรูปเป็นระยะพลางเดินแยกออกไปบนทางขึ้นสะพานสีขาวแทน สะพานนี้สร้างอยู่เหนือสระน้ำซึ่งน้ำจากน้ำตกจำลองบนเขาไหลลงมาตามชั้นหินเป็นแนวดิ่ง เสียงสายน้ำไหลกระทบผิวน้ำดังเป็นระยะแต่กลับให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด เดินมาตามทางสะพานเรื่อยๆจึงได้พบรูปปั้นองค์ปู่วาสุกรีนาคราชซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งพญานาคเกล็ดสีนิลเลื้อยผ่านหน้าผาลงมา เอวาถ่ายรูปก่อนยกมือไหว้อธิษฐานแล้วเดินต่อไปตามแนวสะพานแต่พลันสายตาของเธอกลับมองเห็นแสงสีแดงคล้ายลูกแก้วสองลูกส่องประกายอยู่ใต้ผิวน้ำในสระ
เอวาหยุดฝีเท้านั่งคุกเข่าเพื่อมองลึกลงไปยังใต้สระน้ำนั้นจึงได้เห็นเงาของศีรษะขนาดใหญ่คล้ายเศียรงูชูคอขึ้นเหนือผิวน้ำ ลูกแก้วสีแดงเลือดส่องประกายออกจากนัยน์ตาดุดันของพญางู ตอนนี้เธอพึ่งสังเกตว่าสระน้ำตรงหน้ากลายเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและเธอกำลังนั่งอยู่บนเรือไม้ลำเล็กที่อาจจมเมื่อไรก็ได้ถ้าพญางูสะบัดหาง พญางูเกล็ดสีดำขลับราวกับนิลสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นมันวาวมองจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ เอวาเหมือนถูกมนตร์สะกดก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับวูบกลายเป็นสีดำมืดไป
เอวาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งจึงมองเห็นเพดานสีขาว เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ใกล้กับวัดป่าพุทธชินวงศารามมากที่สุด เอิญเพื่อนของเธอเดินถือขวดน้ำชาเข้ามาในห้องผู้ป่วยรวมจึงเห็นตอนที่เอวาลุกขึ้นนั่งบนเตียงพอดี เธอรีบเดินเข้าไปวางขวดน้ำชาไว้บนโต๊ะเล็กข้างๆ เตียงก่อนกล่าวกับเพื่อนด้วยความดีใจ
“ตื่นแล้วหรือ ฉันเป็นห่วงแทบแย่ อยู่ๆ ก็เป็นลมไปซะอย่างนั้น”
“ฉันเป็นลมหรือ นานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
“ตั้งแต่เมื่อวาน กู้ภัยช่วยกันพาตัวมาที่โรงพยาบาลเพราะเรียกเท่าไรเธอก็ไม่ตื่นน่ะสิ”
“ฮะ ฉันยังเที่ยวไม่พอเลยนะ”
“ไม่ทันแล้ว วันนี้วันอาทิตย์ เราต้องกลับแล้วล่ะ”
“อย่างน้อยได้ซื้อของฝากก็ยังดีนะ”
“ไว้แวะระหว่างทางกลับไปสนามบินก็แล้วกัน”
เช้าวันจันทร์เป็นวันที่ผิดปกติสำหรับฤดูร้อนในช่วงต้นเดือนมีนาคมแบบนี้ เมฆฝนรวมตัวกันปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้ามีเสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังเป็นระยะ เอวาถือถุงขนมพะรุงพะรังพึ่งลงจากรถไฟฟ้ากำลังเดินเข้ามาในพื้นที่อาคารสำนักงาน เธอรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องโดยไม่รู้สาเหตุ สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้ไหวจนมีเสียงดังคล้ายเสียงของคลื่นน้ำ ยิ่งฟังก็ยิ่งหนาวสะท้านไม่รู้ทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปใต้แม่น้ำลึก เธอรีบวิ่งเข้าไปในอาคารก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
เอวาเดินเข้ามาในห้องทำงานซึ่งยังมืดสนิทเหมือนเดิมแต่กลับได้กลิ่นกาแฟดำหอมคละคลุ้งไปทั่วห้อง เธอเอื้อมมือไปเปิดไฟพลางมองดูชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่เดิมกำลังพรมนิ้วมือลงบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ด้วยความเคยชิน เขาละสายตาหันมองประตูเมื่อไฟในห้องส่องสว่างขึ้น แต่ครั้งนี้สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เอวาค่อนข้างนานกว่าปกติ
“อย่าบอกนะว่าคราวนี้ไปเจอพญานาคตัวเป็นๆ มาน่ะ” นาชาญร้องทัก เอวาสะดุ้งแทบไม่อยากเชื่อหู
“นายเป็นพวกมีญาณวิเศษอะไรเทือกนั้นหรือไงนะ”
“ก็หน้าผากของเธอ…” เขากล่าวซึ่งในดวงตาของนาชาญสะท้อนรูปร่างของเกล็ดสีนิลส่องประกายอยู่กลางหน้าผากของเอวาแต่คิดว่าเธอคงมองไม่เห็นจึงแก้ตัวกลบเกลื่อน “ก็เธอบอกว่าไปเที่ยววัดป่าที่เด่นเรื่องพญานาคมานี่”
“เจอทั้งรูปปั้นทั้งอะไรสักอย่าง แถมยังไม่ทันเที่ยวให้ทั่วก็ดันเป็นลมข้ามวัน” เอวานึกถึงพญางูยักษ์ในแม่น้ำใหญ่พลางวางถุงขนมลงบนโต๊ะตรงหน้านาชาญพร้อมกับบ่นอุบ “ไปเสียเที่ยวสุดๆ ยังดีที่แวะซื้อของฝากมาได้ ฉันเอาของฝากให้คุณเอ็มม่ากับพวกทีมอื่นเขาแล้วด้วย”
นาชาญเปิดถุงลองหยิบขนมกาละแมขึ้นมาชิมดูได้กลิ่นหวานธรรมชาติของน้ำอ้อย “หอมดีนะ”
“พึ่งรู้ว่านายชอบของหวานด้วย” เอวากล่าวพลางหยิบกินบ้างก่อนจะกดมือถือแล้วยื่นรูปถ่ายตอนไปเที่ยววัดป่าพุทธชินวงศารามให้นาชาญดู “นี่คือภาพถ่ายหน้าผากับน้ำตกจำลองที่ไปถ่ายมาก่อนสลบไป ลองดูสิ”
นาชาญเลื่อนดูภาพถ่ายทีละรูป รูปส่วนใหญ่ก็คล้ายกับภาพที่คนทั่วไปลงไว้ตามโซเชียลเน็ตเวิร์คแต่มีอยู่รูปหนึ่งที่แตกต่างออกไป รูปเงาของเศียรงูใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปใต้น้ำในสระ เอวาเห็นนาชาญให้ความสนใจกับรูปนี้จนหยุดดูเกือบนาทีแล้วก็แปลกใจ แต่นาชาญเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียก่อน
“นี่ก็เป็นรูปที่วัดป่าหรือ”
“ภาพนี้ฉันตกใจเลยเผลอกดถ่ายไปน่ะ ภาพมันอาจจะเบลอเลยดูคล้ายเศียรงู…” เธอเงียบไปก่อนจะกล่าวปนหัวเราะ “ที่ตลกคือพอจ้องตางูแล้วฉันก็สลบไป”
“จ้องตางูงั้นหรือ แล้วเก็บเอาไปฝันร้ายบ้างหรือเปล่าเนี่ย” น้ำเสียงของนาชาญทีเล่นทีจริงจนเอวารู้สึกว่าเล่าเรื่องแบบตลกๆ ไปก็คงไม่เป็นอะไร
“ฝันสิ ฝันเป็นเรื่องเป็นราวจนคิดว่าดูซีรี่ย์เยอะไปเลยเก็บเอาไปฝันรวมกัน” ถึงเธอจะเล่าเหมือนปล่อยมุขแต่น้ำเสียงปนกังวลนิดๆ “ฝันว่ามีงูตัวใหญ่น่าจะเป็นตัวเดียวกับที่เห็นในสระนี้บอกว่าฉันเป็นคู่ครองในอดีตที่เมืองบาดาลเมื่อนานมาแล้วและอยากได้ตัวฉันกลับไปอยู่ด้วยกัน”
“อยากให้ไปอยู่ด้วยกันงั้นหรือ” ชั่วพริบตาหนึ่งเอวาแอบเห็นสีหน้าของนาชาญเปลี่ยนเป็นจริงจัง แต่เขายื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้เธอพลางกล่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แล้วในฝันนั่นพญานาคหล่อมั้ยล่ะ เหมือนพระเอกในซีรี่ย์มั้ย”
“จะไปรู้ได้ไง มาเป็นงูตัวใหญ่เบิ้ม ฉันยังไม่เทพขนาดมองออกว่างูแบบไหนถึงเรียกว่าหน้าตาดีนี่”
นาชาญยิ้มขำ “งั้นก็ช่างมันเถอะ อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง”
“เออใช่ เมื่อวานฉันได้อีเมล์จากบริษัท” เอวาเดินไปที่โต๊ะทำงานพลางเปิดคอมพิวเตอร์ “นายเขียนรายงานเรื่องตำหนักสิริล้านนาว่าเป็นการใช้วิธีทางจิตวิทยาทำให้ฆ่าตัวตายหมู่ใช่มั้ย”
“ใช่ อธิบายอย่างอื่นก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก”
“ทางมูลนิธิพอใจนะ เพราะหลังจากตำหนักสิริล้านนาปิดตัวไปก็ไม่มีการฆ่าตัวตายแบบวิ่งเข้าไปให้รถชนเกิดขึ้นอีกเลย”
“ผลลัพธ์นั่นต่างหากที่ทำให้มูลนิธิพอใจ” นาชาญกล่าวพลางเปิดอีเมล์ของตัวเองขึ้นมา “แล้วก็ถ้าหมายถึงเมล์ที่บอกว่ามีคำร้องใหม่เข้ามาฉันก็ได้รับแล้วเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องคนที่มีดินเต็มปอดจนหายใจไม่ออกตายใช่มั้ย”