มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

The Boundary (เขตแดนพิศวง) โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน

เอวาเปิดอีเมล์ขึ้นมาดูพร้อมกับสั่งพิมพ์เอกสารแนบที่มากับอีเมล์ด้วย เมื่อได้มาแล้วเธอก็นำเอกสารทั้งหมดมาเย็บรวมกันก่อนยื่นให้นาชาญฉบับหนึ่ง เขารับมาเปิดอ่านพลางตรวจดูรูปถ่ายแต่ละหน้าโดยละเอียดในขณะที่เอวาเปิดอ่านเอกสารในมือไปพร้อมกัน นาชาญมองดูรายงานของผู้ตายทั้งสองรายพลางอ่านออกเสียง 

“ผู้ตายทั้งสองรายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ลักษณะของศพคนที่เป็นลุงกับพ่อเหมือนกันคือมีร่องรอยฟกช้ำตามตัวและพบดินจำนวนมากเต็มปอดของผู้ตายทั้งที่ผู้ตายไม่ได้ออกจากห้องนอนเลยตั้งแต่ล้มป่วย มีผลเอ็กซเรย์ปอดแนบมาด้วย” นาชาญย่นคิ้วพลิกเอกสารอ่าน “แพทย์ที่ทำการรักษาระบุสาเหตุการตายไว้ว่ามีดินเต็มปอดทำให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต แต่ฉันรู้สึกว่าสภาพศพเหมือนอยู่ใกล้บริเวณที่มีดินเยอะหรือไม่ก็ถูกฝังมา”

“เรื่องเกิดขึ้นที่หมู่บ้านจัดสรรใกล้เวียงกุมกามจังหวัดเชียงใหม่ ไม่เห็นเคยได้ยินข่าวว่ามีการก่อสร้างอะไรหนักๆ แถวนั้นนะ” เอวากล่าวพลางใช้ความคิด “หลังจากผู้ตายทั้งสองตายไปแล้ว คนที่ล้มป่วยคนล่าสุดคือนายทะนงที่เป็นลูกชายคนโตของบ้าน บ้านนี้เหลือแค่คุณมิ่งมั่นที่เป็นแม่ คุณทะนงที่เป็นลูกชายคนโตและคุณเทิดที่เป็นลูกชายคนรอง”

“เกิดเฉพาะกับคนที่เป็นเพศชายบ้านนี้งั้นหรือ ฟังดูเข้าเค้าว่าจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ” 

“เรื่องนี้ไม่มีคนร้าย มันเป็นแค่การป่วยตายก็เลยไม่มีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง” เอวาหยุดสายตาลงที่ย่อหน้าหนึ่งในหน้าเอกสาร “คุณมิ่งมั่นเล่าว่าพวกเขาตายหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ก่อนพวกเขาตายประตูห้องจะถูกล็อกเปิดไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงพวกเขาขานรับเสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่ง จากนั้นถึงจะเปิดประตูเข้าไปได้แล้วก็พบว่าไม่หายใจแล้ว”

“เสียงเรียกตอนกลางคืนอย่างนั้นหรือ” นาชาญกล่าวย้ำเหมือนกำลังทบทวนข้อมูลในหัว “สงสัยต้องรอลงพื้นที่จริงเสียแล้วล่ะมั้ง”

“มูลนิธิให้เตรียมตัวไปที่จังหวัดเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ นายเตรียมหรือยัง ต้องเขียนใบแจ้งทำงานข้ามจังหวัดด้วยนะ”

“ยังเลย เห็นว่าให้พักโรงแรมใกล้เวียงกุมกามใช่มั้ย”

“ใช่ จองแยกห้องเหมือนเดิม” เอวากวาดสายตามองดูรายละเอียดคร่าวๆ จากอีเมล์ที่ฝ่ายบุคคลส่งมาให้ “เราคงต้องไปเจอกันที่สนามบินตอนเก้าโมงเช้าเลย ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ”

“ฉันขับรถไปรับเธอไปด้วยกันดีกว่า ยังไงก็ต้องจอดรถทิ้งไว้ที่สนามบินอยู่แล้ว” นาชาญกล่าวแต่สายตายังอยู่บนกระดาษเอกสาร “ฉันอยากไปเจอคุณทะนงคนนี้ให้ทันก่อนจะเกิดอะไรขึ้น”

“อย่าพูดให้ขนหัวลุกได้มั้ย แค่เรื่องพญานาคฉันก็จะแย่แล้ว ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือผีอีกจริงๆ  ไม่รู้ว่าฉันจะรับได้แค่ไหนนะ”

“รับได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ ลองไปดูสถานที่จริงก่อนค่อยว่ากัน”

นาชาญกับเอวาอยู่ในชุดเครื่องแบบมูลนิธิขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพมาเชียงใหม่ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที วันนี้ไม่มีเมฆฝนให้เห็นราวกับเป็นคนละฤดูกาลกับอาทิตย์ที่แล้ว ในระหว่างเดินมุ่งหน้ามายังประตูทางออกของท่าอากาศยานนาชาญโทรหาบริษัทรถเช่าในขณะที่เอวาช่วยเข็นกระเป๋าเดินทาง เธอมองดูสองข้างทางเดินในท่าอากาศยานที่เต็มไปด้วยบริษัทให้เช่ารถ ร้านกาแฟและร้านอาหารต่างๆ ซึ่งยังไม่มีคนแน่นขนัดมากนักอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวและตอนนี้พึ่งจะสิบเอ็ดโมงเองด้วย

แสงแดดเจิดจ้าทั้งที่ในอากาศยังมีความชื้นจากพายุฝนตลอดอาทิตย์ที่แล้วทำให้อากาศภายนอกสนามบินเชียงใหม่ร้อนอบอ้าวเมื่อเทียบกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในที่พวกเขาพึ่งเดินออกมา เอวาที่นั่งสัปหงกอยู่บนเบาะนั่งข้างๆ นาชาญตลอดเวลาแอบบิดขี้เกียจนิดหนึ่งทำให้นาชาญรู้สึกสงสัยเพราะเอวาไม่เคยง่วงนอนเวลาขึ้นเครื่องบินเลย ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก

“เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือ” นาชาญเอ่ยถามอย่างสงสัยดึงความสนใจของเอวามาที่เขาได้

“ใช่ ฝันแปลกๆ อีกแล้วน่ะสิ” เธอกล่าวก่อนจะเปลี่ยนท่ามายืนตัวตรง “อาทิตย์ที่แล้วพายุเข้าฝนตกจนถึงวันศุกร์เลย แต่มาวันนี้กลับแดดออกจ้า แถมฉันยังฝันถึงพญานาคเหมือนเดิมอีก หลอนสุดๆ ”

“ฝันถึงพญานาคตนเดิมหรือเปล่า”

“ใครจะไปดูออกว่าตนเดิมหรือเปล่า หน้าก็เหมือนๆ กันหมด ฟ้าฝนก็ดันเป็นใจพิลึก” เธอยกมือปิดปากพลางหาวเบาๆ  “แล้วเรามาถึงไหนกันแล้วนี่”

นาชาญกวาดสายตาไปทั่วลานจอดรถของสนามบินจึงได้พบกับรถห้าประตูสีเทาคันหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาจอดตรงหน้าทั้งคู่ คนขับเดินลงจากรถก่อนยื่นกุญแจให้นาชาญแล้วกล่าวกับเขา 

“อาทิตย์หน้าผมจะมารอรับรถที่นี่นะครับ คุณชำระค่าใช้จ่ายที่เหลือผ่านคิวอาร์โค้ดหรือเงินสดก็ได้ครับ”

“ได้ครับ ขอบคุณ” 

นาชาญตอบแล้วจึงเข็นกระเป๋าไปเก็บหลังรถพร้อมกับเอวาในขณะที่เจ้าของรถเช่าเดินหายไปทางหนึ่ง นาชาญเดินมาขึ้นที่นั่งคนขับติดเครื่องยนตร์รอเอวาซึ่งกำลังปิดประตูรถก่อนที่จะขับรถออกจากท่าอากาศยานไป

“แล้วโรงแรมที่ให้ไปพักล่ะ” เอวากล่าวถามขึ้นก่อน

“อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านจัดสรร เช็คอินได้บ่ายสองเป็นต้นไป เพราะงั้นเราเข้าไปดูหมู่บ้านจัดสรรก่อน”

“เมื่อวานฉันโทรไปที่บ้านของคุณทะนงแล้ว เห็นว่าสะดวกให้เข้าไปได้”

“งั้นเราขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้านเขาคงได้นะ” นาชาญกล่าวพลางขับรถมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรดังกล่าวซึ่งดูจากแผนที่จีพีเอสแล้วใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง

เอวามองดูทิวทัศน์ที่ยังมีต้นไม้และทุ่งหญ้าสีเขียวสลับกับบ้านเรือนสองชั้นของชาวบ้านขนาบสองข้างทาง ถนนค่อนข้างเรียบทำให้เธอเกือบจะง่วงนอนอีกครั้งจึงต้องชวนนาชาญคุย 

“เราไปแต่เช้าแบบนี้จะได้เห็นอะไรมั้ย”

“หมายถึงผีน่ะหรือ เธออยากเห็นงั้นสิ”

“เปล่า ก็ในรายงานบอกว่าผู้ตายตายหลังเที่ยงคืน ฉันก็เลยสงสัย”

“เราไปดูอาการของเขาก่อนแล้วตอนกลางคืนค่อยแวะเข้าไปอีกที” นาชาญกล่าวพลางเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรร

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นหลังไหน…” เอวานึกได้แต่ก็เงียบเสียงลงเมื่อเห็นนาชาญขับรถมาถึงยังบ้านของผู้ป่วยรายล่าสุดได้ถูกต้อง เขาหันมามองเธอที่ยังนั่งแปลกใจอยู่

“ก็บอกว่าฉันมีวิชาหมอผีอยู่บ้าง” นาชาญหัวเราะออกมา “ซะที่ไหนเล่า ในรายงานก็มีบอกอยู่ว่าบ้านเลขที่อะไร”

“งั้นหรือ ปกติก็ไม่มีใครขับเข้ามาเจอได้ง่ายๆ แบบนี้หรอก” เอวาบ่นพึมพำก่อนจะลงจากรถพร้อมนาชาญแล้วเดินไปหยิบร่มท้ายรถมากางออกกันแดดยามสายที่ร้อนระอุ

บ้านของผู้ป่วยคนนี้เป็นบ้านสองชั้นแบบยี่สิบห้าตารางวาซึ่งเห็นได้ทั่วๆ ไปในหมู่บ้านจัดสรร ทั้งคู่กดกริ่งก่อนยืนรออยู่หน้าประตูรั้ว สักครู่ใหญ่ๆ จึงมีชายร่างท้วมวัยกลางคนเดินออกมาเปิดประตูรั้วแล้วเดินนำทั้งคู่เข้าไปภายในบ้าน นาชาญสังเกตรอบๆ บ้านจึงเห็นบางจุดจัดเรียงของอย่างเป็นระเบียบแต่บางจุดก็วางของระเกะระกะรกหูรกตา 

ชายร่างท้วมนำทางทั้งคู่เข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่งใกล้กับประตูระเบียง ห้องนี้ดูเหมือนพึ่งจัดให้เป็นห้องนอนเพราะวางเพียงฟูกที่นอนไว้มุมหนึ่ง นอกจากโต๊ะเล็กข้างๆ หน้าต่างกับชั้นวางของเตี้ยๆ ก็แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย ข้าวของเครื่องใช้ที่วางอยู่ในห้องก็เป็นเพียงกางเกงผูกเชือก ผ้าขนหนูกับเสื้อที่ใส่ติดกระดุมง่ายๆ เมื่อเดินเข้าใกล้ฟูกที่นอนจึงมองเห็นชายร่างผอมผมยังเป็นสีดำขลับนอนห่มผ้าอยู่บนนั้นได้ถนัดตา เขาไอเป็นระยะและมีท่าทีทรมานเนื่องจากหายใจติดขัด นอกจากนี้เสียงหายใจยังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“เขาชื่อทะนงเป็นพี่ชายผมเอง” ชายร่างท้วมที่นำทางทั้งคู่เข้ามาในบ้านกล่าวขึ้น “วันนี้แม่ออกไปทำงาน ผมกับแม่ต้องสลับกันไปเฝ้าร้านอาหารเพราะไม่มีคนดูแลพี่”

“คุณคงเป็นคุณเทิดสินะคะ” เอวากล่าว “เมื่อวานฉันโทรมา คุณเป็นคนรับสายใช่มั้ยคะ”

“ใช่ครับ ที่จริงครอบครัวเรามีห้าคน ลุง พ่อ แม่ พี่ทะนงแล้วก็ผม แต่หลังจากลุงตายพ่อก็ป่วยตายแบบเดียวกับลุง เรื่องนี้ผมแจ้งทางมูลนิธิไปแล้วครับ”

“แล้วพี่ชายคุณเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ” นาชาญกล่าวพลางลอบสังเกตท่าทางของทะนงที่นอนอยู่บนฟูก เขาคงเป็นแค่คนธรรมดาที่มีสีหน้าอิดโรยแทบหมดแรงได้ทุกเมื่อหากนัยน์ตาสีดำของนาชาญไม่สะท้อนให้เห็นไอสีดำที่แผ่อยู่รอบๆ ร่างกายของทะนง 

“เขาเป็นแบบนี้มาหกวันแล้วหลังจากพ่อเสียไป พอพ่อเสียวันรุ่งขึ้นพี่ทะนงก็ล้มป่วยมีรอยฟกช้ำขึ้นทั้งตัว วันต่อมาก็เริ่มบ่นว่าหายใจไม่ค่อยออก พอไปหาหมอเอ็กซเรย์ก็พบว่ามีดินอยู่ในปอดเต็มไปหมด ขนาดอยู่แต่ในโรงพยาบาลอาการก็ยังแย่ลงเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าดินมาจากไหน สุดท้ายก็ต้องพากลับมาดูแลเองที่บ้านเพราะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว”

“แล้วคนที่เริ่มเป็นคนแรกคือคุณลุงหรือคะ” เอวาเอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ใช่ครับ” เทิดสีหน้าสลดลง “ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่คุณลุงก็เริ่มล้มป่วยอาการเหมือนพี่ทะนงเลย ลุงล้มป่วยอยู่ประมาณห้าหกวัน วันสุดท้ายหลังเที่ยงคืนเขาก็เสียครับ คุณพ่อก็ใกล้เคียงกัน”

“คุณย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อไรครับ”

“ประมาณครึ่งเดือนเองครับ ตอนแรกเราอยู่กรุงเทพแต่ย้ายมาเพราะสู้ค่าครองชีพไม่ไหว ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอแบบนี้” เทิดส่ายหน้านึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “แล้วทำไมถึงมีแต่ครอบครัวเราที่เป็น คนอื่นไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย”

“แล้วทำไมถึงส่งคำร้องมาทางมูลนิธิล่ะคะ คุณสงสัยเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า”

“ผมสงสัยว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือว่ามีใครคิดทำร้ายครอบครัวเราอยู่หรือเปล่าน่ะครับ ได้ยินว่ามูลนิธิศึกษาเรื่องเหนือธรรมชาติกับพวกคติความเชื่อเพื่อการค้นคว้าวิจัย ผมก็เลยอยากให้ช่วยตรวจสอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมมันเป็นมายังไงกันแน่น่ะครับ”

นาชาญเลิกคิ้วไม่แน่ใจคำตอบอยู่เหมือนกัน เขากล่าวถาม “แต่คุณมีหลักฐานทางการแพทย์พิสูจน์ว่าในปอดของลุงกับพ่อของคุณเต็มไปด้วยดินใช่มั้ยล่ะ ถ้าก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ได้ไปทำอะไรใกล้กับสถานที่ก่อสร้างหรือขุดดินจนสูดเอาผงดินเข้าไปจำนวนมาก ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกใครทำร้าย”

“เรื่องนั้นมีหลักฐานจริงๆ แต่พ่อกับลุงของผมเปิดร้านอาหารไม่ได้เข้าใกล้ที่แบบนั้นแน่ๆ ครับ” น้ำเสียงของเทิดเริ่มบ่งบอกว่าหวาดกลัว “ช่วยด้วยเถอะครับ ถ้าพี่ตายไปรายต่อไปก็คือผม ผมก็กลัวเหมือนกัน”

“ครอบครัวของคุณไม่ได้มีโรคทางพันธุกรรมแปลกๆ ใช่มั้ย เกี่ยวกับระบบหายใจหรืออวัยวะภายในผิดปกติ”

“ไม่มีครับ ตอนอยู่กรุงเทพเราก็ไม่เป็นอะไร อยู่ๆ โรคจะมากำเริบตอนมาเชียงใหม่หรือไงครับ” 

นาชาญเม้มปากอย่างหนักใจเหมือนมีเบาะแสบางอย่างขาดหายไปก่อนกล่าวกับเทิด “งั้นขอเวลาพวกเราสักหน่อย ยังไงก็ยังพอมีเวลาจนถึงเที่ยงคืน ผมจะขอเดินดูรอบๆ หมู่บ้านแล้วคืนนี้ก่อนเที่ยงคืนผมจะขอแวะเข้ามาดูคุณทะนงอีกทีนะครับ”

“ตามสบายเลยครับ ยังไงก็หาทางช่วยพี่ชายผมกับผมด้วยนะ”

หลังจากเทิดเดินออกมาส่งเอวากับนาชาญที่นอกบ้าน พวกเขาก็เดินไปตามถนนซึ่งตัดผ่านบ้านจัดสรรแต่ละแถวเพื่อเดินสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน พื้นที่ท้ายหมู่บ้านเต็มไปด้วยสนามหญ้าและต้นไม้ขึ้นอยู่ใกล้กับสระน้ำขนาดใหญ่ ลมเย็นพัดไอร้อนมากระทบใบหน้าทั้งคู่เป็นระยะ แต่แล้วเอวาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นงูเห่าสีดำตัวใหญ่เลื้อยออกจากพุ่มไม้ข้างทาง มันชูคอแผ่แม่เบี้ย หางเป็นเหลื่อมสะท้อนเงามันวับม้วนไปรอบๆ 

เอวายืนตัวแข็งอยู่กับที่ในขณะที่นาชาญสังเกตเห็นงูเห่าประจันหน้ากับเอวาแล้วรีบม้วนตัวหนีหายกลับเข้าไปในพงหญ้า เป็นอีกครั้งที่นาชาญมองเห็นแสงจากเกล็ดพญานาคบนหน้าผากของเอวาส่องประกายซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้งูเห่าเลื้อยหนีไป เขาเดินผ่านหน้าเอวาพลางใช้ความคิดจนกระทั่งรู้สึกว่าเอวาไม่ได้เดินตามมาด้วยจึงรีบหันหลังกลับไปดู

“เธอทำอะไรอยู่น่ะ”

“ฉันก้าวขาไม่ออก”

“ฮะ” นาชาญเดินตรงไปหาเอวา “เล่นอะไรของเธอน่ะ ไหนว่าฝันเห็นพญานาคทุกคืน ขนาดของงูเห่าเมื่อกี้ไม่ได้หนึ่งในสามของลำตัวพญานาคเลยนะ”

“ก็ช่วงนี้เจอบ่อยจนฉันเริ่มหลอนน่ะสิ”

“มันกลัวเธอจนหนีไปแล้วไม่เห็นหรือ ถ้ามัวแต่ยืนตรงนี้เดี๋ยวมันก็กลับออกมาอีกรอบหรอก”

เอวาพยายามเดินไปข้างหน้าทั้งที่ขายังสั่นนิดๆ  “ทำไมไม่อยากเจอถึงชอบได้เจอนะ ถึงจะสนใจตำนานพญานาค แต่จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ชอบงูสักเท่าไรหรอก”

“เธอไปหาพญานาคถึงที่เองยังจะมาบ่นอะไรล่ะ” นาชาญกล่าวก่อนจะได้ยินเสียงข้อความเข้าในโทรศัพท์ดังขึ้น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความ “สงสัยเราจะได้อยู่เชียงใหม่อีกยาว คุณเอ็มม่าน่าจะส่งอีเมล์ให้เธอแล้วเหมือนกัน”

เอวาได้ยินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูบ้าง “มีจริงๆ ด้วย เรื่องปลายฟ้าแต่คราวก่อนเธอหนีไปแล้ว ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นแล้วไม่ใช่หรือ”

“เห็นว่าหลักฐานที่มีเอาผิดได้แค่ข้อหาหลอกลวงฉ้อโกง ข้อหาไม่หนักก็เลยไม่ได้รับความสนใจเท่าไรมั้ง”

“ไม่น่าล่ะ คุณเอ็มม่าบอกว่ามีคนแจ้งมูลนิธิว่าปลายฟ้าหนีมาที่เชียงใหม่แต่ยังไม่แน่ใจที่อยู่จริงๆ ของเธอ ถ้ามูลนิธิสืบได้ข้อมูลทันจะให้ทีมของพวกเราที่อยู่เชียงใหม่จัดการต่อเลย”

“จะให้เราตามจับคนร้ายแทนเนี่ยนะ ถ้าปลายฟ้าไม่ได้ก่อเรื่องอีกเราจะไม่ยุ่งก็ได้นะ” นาชาญกล่าวพลางถอนหายใจก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดูซึ่งบอกเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว “ฉันว่าเราไปหาอะไรกินแล้วเช็คอินที่โรงแรมก่อนดีกว่า ตอนกลางคืนน่าจะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นกว่านี้”

“หมายความว่านายจะมาที่บ้านคุณเทิดหลังเที่ยงคืนจริงๆ น่ะหรือ น่ากลัวจะตาย”

“ก็มันงานเรานี่ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนตายป่วยมาตั้งนานก็ไม่ตาย แต่ทำไมแค่ขานรับไอ้เสียงเรียกตอนกลางคืนแค่นี้ถึงตายได้แถมยังเป็นกับเฉพาะกับครอบครัวนี้ด้วย” นาชาญกล่าวแล้วเดินนำเอวากลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านคุณเทิด

“นายบ้าไปแล้ว ถ้าเกิดไม่เจอแค่เสียงล่ะ” สีหน้าเอวาซีดเผือด “นายไม่เห็นอาการคุณทะนงหรือ เกิดโดนคำสาปไปด้วยจะทำยังไง อีกอย่างตอนเกิดเรื่องประตูจะเปิดไม่ได้แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อาจจะเป็นคำสาปจริงๆ ก็ได้” นาชาญพึมพำพลางคิดใคร่ครวญ “แต่ว่าเป็นคำสาปจากไหน เพราะอะไร”

“นายอย่าบอกนะว่าเมื่อครู่เห็นอะไรเหนือธรรมชาติอีกแล้ว” เอวามองไปรอบๆ รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “อย่าลืมนะว่าโบราณสถานเวียงกุมกามอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ คงไม่ได้ไปล่วงเกินอะไรบรรพบุรุษเข้าหรอกนะ เห็นว่าในอดีตเมืองนั้นเคยล่มสลายเพราะถูกน้ำท่วมใหญ่ด้วย ทุกวันนี้ก็ยังมีน้ำท่วมเรื่อยๆ ไม่อยากคิดเลยว่ามีคนตายไปขนาดไหนแล้ว”

“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้อมูลมันไม่พอ” นาชาญทบทวนเหตุการณ์ “ตอนอยู่ที่ห้องคุณทะนงพอจะมองเห็นอะไรแปลกๆ อยู่ แต่เท่าที่เดินดูรอบๆ หมู่บ้านฉันกลับไม่เห็นอะไรเลยก็เลยยิ่งแปลกใจ หมายความว่าคำสาปเกิดขึ้นแต่บริเวณบ้านคุณทะนงงั้นหรือ แล้วคำสาปมาจากไหนล่ะ”

เอวายิ้มแหย “ฉันไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ไม่มาเป็นตัวเป็นตนให้เห็นก็ดีแล้วนี่”

“เขาปรากฏเป็นตัวเป็นตนตอนมาขานเรียกคนที่ถูกคำสาปน่ะสิ ถ้าตอบรับก็จะโดนเอาชีวิตไป” นาชาญพูดน้ำเสียงเรียบ “เพราะงั้นถ้าจะเจอเขาได้ก็ต้องเป็นหลังเที่ยงคืน ช่วงที่เขามาขานเรียกนี่แหละ”

“แล้วถ้าเจอจริงๆ นายจะทำยังไงล่ะ จัดการเขาที่ว่าได้หรือ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเขาที่ว่าคือใครหรืออะไรน่ะสิ”