มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก

นาชาญกับเอวาขับรถออกจากหมู่บ้านจัดสรรเพื่อมาเข้าเช็คอินที่โรงแรม โรงแรมเป็นอาคารสีขาวสูงราวเจ็ดชั้นน่าจะจัดอยู่ในระดับสามดาว แม้จะไม่ได้หรูหราแต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ทำเลที่ตั้งบ่งบอกว่าไม่ใช่โรงแรมที่เน้นให้นักท่องเที่ยวมาพักผ่อนชมวิว หลังจากติดต่อประชาสัมพันธ์จนต่างคนต่างได้คีย์การ์ดห้องตัวเองแล้วก็แยกย้ายไปเก็บข้าวของในห้อง

ไม่นานนาชาญก็ลงมารอเอวาที่ล็อบบี้ของโรงแรมจึงมีโอกาสได้ยินพนักงานต้อนรับสาวคุยกัน เขาหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่หูแอบตั้งใจฟังสิ่งที่พนักงานพูดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่เอวาจะเดินเข้ามาแตะไหล่เขาเบาๆ เขาสะดุ้งนิดหนึ่งจึงหันมาทางเธอด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเป็นเอวาเขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เธอนี่เอง”

“กำลังคิดอะไรไม่ซื่ออยู่ล่ะสิถึงได้ตกใจแบบนี้” เอวาสังเกตเห็นสายตาของนาชาญมองไปทางโต๊ะประชาสัมพันธ์สองสามครั้งก็อดเหน็บแนมไม่ได้ “รอนานเกินไปเลยว่างหรือ” 

“ฉันแค่ทำงาน” เขาตอบพลางเดินนำเธอออกมานอกโรงแรม

ตรงข้ามโรงแรมมีบ้านสองชั้นซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารที่ชั้นล่าง นาชาญสังเกตเห็นร้านนี้ตั้งแต่ตอนเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงแรม ป้ายหน้าร้านเขียนชื่อเมนูเป็นตัวอักษรไทยขนาดใหญ่ว่าข้าวซอย เขาเดินนำเอวาเข้าไปนั่งที่โต๊ะในสุดเพื่อหลบแดดยามบ่ายแต่ก็หนีไม่พ้นสักเท่าไร แม้แต่ผิวสัมผัสบนโต๊ะเก้าอี้ไม้ในร้านก็ยังอุ่นตามอากาศ ร้านนี้มีคนเข้ามากินบ้างประปรายไม่ได้แน่นขนัดจึงน่าจะไม่ต้องรอนาน เอวาเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขาก่อนจะจัดแจงสั่งข้าวซอยไก่สองชามกับน้ำดื่ม เมื่อพนักงานรับออเดอร์เรียบร้อยก็เดินไปทำงานต่อ เอวาจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

“เมื่อกี้ได้ยินอะไรมาบ้าง บอกมาเลย”

“เขาคุยกันเรื่องโบราณสถานเวียงกุมกาม” นาชาญตอบชัดถ้อยชัดคำ “เห็นว่าโชคดีที่พายุเข้าเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ทำให้น้ำท่วม ปกติถ้ามีฝนตกเมื่อไรน้ำก็จะท่วมเกือบทุกครั้ง”

“แล้วเขาได้คุยกันเรื่องคำสาปหรือเปล่า”

นาชาญส่ายหน้า “ไม่ได้พูดถึงคำสาป แต่รู้เรื่องคนที่มีอาการป่วยแปลกๆ น่าจะหมายถึงคุณทะนงนั่นแหละ”

“ที่จริงฉันแอบไปหาข้อมูลเรื่องโบราณสถานเวียงกุมกามมาด้วย” เอวาหยุดนิดหนึ่งพลางเปิดข้อมูลในโทรศัพท์มือถือให้นาชาญดู “ประวัติศาสตร์บอกว่าก่อนที่พญามังรายจะสถาปนาเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา เคยเลือกเวียงกุมกามเป็นเมืองหลวงมาก่อน แต่เวียงกุมกามไม่เหมาะเป็นเมืองหลวงเพราะมีน้ำท่วมทุกปีและแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทางการไหล ไม่ว่าจะหาทางแก้ไขยังไงก็ไม่เป็นผลก็เลยเปลี่ยนไปตั้งเมืองเชียงใหม่แทน”

“นี่เธอหาข้อมูลเตรียมมาเที่ยวเต็มที่เลยสินะ”

“เปล่านะ ฉันก็แค่อยากแวะไปดูโบราณสถานเวียงกุมกามบ้างนิดหน่อยเท่านั้น ไหนๆ ก็มาถึงเชียงใหม่แล้ว” เอวากล่าวพลางมองตามกลิ่นหอมของเส้นแบนสีเหลืองในน้ำซุปข้นที่มีน่องไก่ชิ้นโตกับเครื่องสมุนไพรในชามวางลงตรงหน้าเธอกับนาชาญพร้อมน้ำดื่ม บริกรสาวซึ่งได้ยินที่เอวาพูดถึงตำนานก็กล่าวถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“พวกคุณมาจากภาคกลางกันสินะคะ วางแผนจะไปที่เวียงกุมกามกันอยู่หรือ”

“ใช่ค่ะ” คำตอบของเอวาทำให้นาชาญเงยหน้าสบตากับเธอเพราะยังไม่ได้ตกลงว่าจะไปเที่ยว แต่เธอยักไหล่ไม่ได้สนใจนัก “เห็นตำนานบอกว่าเป็นเมืองหลวงเก่าของล้านนาด้วย”

“บรรพบุรุษฉันเคยอยู่ที่เวียงกุมกาม ครอบครัวเราย้ายไปอยู่หลายภาคสุดท้ายก็กลับมาลงเอยที่บ้านเกิด สงสัยจะผูกพันกันตัดไม่ขาดแล้วล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่คุณทวดฉันเคยเล่าให้ฟังนะ” บริกรสาวคนนี้พูดด้วยท่าทางไม่รีบร้อนและเป็นกันเองอาจจะเป็นลูกสาวของเจ้าของร้านข้าวซอยที่ทำอาหารอยู่ในครัว เธอเห็นทั้งคู่ตั้งใจฟังจึงเล่าต่อ “ที่จริงก่อนจะถูกพญามังรายตั้งเป็นเมืองหลวง เวียงกุมกามมีชุมชนอาศัยอยู่ก่อนแล้ว คุณทวดของฉันบอกว่าบรรพบุรุษเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้แม่น้ำปิงเป็นหนึ่งในชุมชนที่ว่านั่นล่ะ”

“แล้วสมัยที่ยังเป็นชุมชน เวียงกุมกามเป็นยังไงคะ”

“เกิดน้ำท่วมบ่อยเหมือนกันจนกระทั่งมีการตั้งเสาหลักเมืองขึ้น เห็นว่าเป็นความพยายามสร้างเลียนแบบเสาของพระอินทร์ในตำนานของชาวลัวะน่ะ”

“ตำนานของชาวลัวะที่ว่าใช่เรื่องที่พระอินทร์ประทานบ่อเงิน บ่อทองและบ่อแก้วในเวียงนพบุรีให้เศรษฐีชาวลัวะเก้าตระกูลคอยดูแลหรือเปล่าครับ”

“ใช่ ที่ตอนหลังเมืองอื่นยกทัพมาจู่โจมเวียงนพบุรีเพื่อจะแย่งบ่อทั้งสาม แต่พระอินทร์ให้ยักษ์สองตนนำเสาตะปูพระอินทร์มาตั้งไว้กลางเมือง พลังของเสาศักดิ์สิทธิ์ทำให้กองทัพกลายร่างเป็นพ่อค้ามาขอสมบัติแทนทำให้ไม่เกิดการนองเลือด แต่พ่อค้าโลภทำให้ยักษ์ทั้งสองตนโกรธก็เลยหามเสากลับสวรรค์ไป เสานั่นมีชื่อเรียกว่าเสาอินทขิล เป็นต้นแบบของเสาหลักเมืองที่ตั้งอยู่วัดเจดีย์หลวงในปัจจุบัน”

 “ฉันรู้จักนะคะ เสาที่ตั้งอยู่วัดเจดีย์หลวง สมัยก่อนตั้งอยู่ที่วัดสะดือเมือง เมื่อก่อนใช้รูปปั้นฝังในหลุมแล้วก็หล่อเสาโลหะวางไว้เหนือหลุมเพื่อให้สักการะบูชา แต่ในสมัยพระเจ้ากาวิละให้ย้ายไปไว้ที่เจดีย์หลวงแล้วบูรณะขึ้นใหม่เป็นเสาปูนแทน”

“ใช่ ตำนานของเสาพระอินทร์มีเล่ากันมาตั้งแต่เมืองกุมกามยังไม่ถูกตั้งเป็นเมืองหลวง แล้วก็มีหลายเมืองหลายชุมชนที่พยายามสร้างเสาหลักเมืองเลียนแบบตำนานเพราะคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองเมืองให้ปลอดภัยได้ หมู่บ้านที่บรรพบุรุษของฉันอยู่ก็เหมือนกัน”

“งั้นก็แปลว่าหมู่บ้านนั้นสร้างเสาหลักเมืองเลียนแบบได้สำเร็จหรือคะ น้ำถึงได้ไม่ท่วม”     

“ถ้าตามที่คุณทวดเล่ามันก็เหมือนจะสำเร็จ พวกเขาไม่ได้ใช้รูปปั้นหล่อแต่ใช้การบูชายัญมนุษย์เพราะไม่มีกำลังทรัพย์แล้วก็ไม่มีใครมีวิชาอาคมเก่งกล้าพอ ก็เลยเชื่อกันว่าถ้าใช้ชีวิตของมนุษย์และสัตว์ก็น่าจะแทนกันได้” บริกรสาวถอนหายใจยาว “ถึงจะเป็นวิธีแย่ๆ แต่ก็ต้องขอบคุณการตั้งเสาหลักเมืองครั้งนั้นที่ทำให้น้ำไม่ค่อยท่วม ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่านะแต่ดินแดนอุดมสมบูรณ์จนไปเข้าตาพญามังราย ท่านก็เลยตั้งเป็นเมืองหลวงหรือเปล่า”

เอวายิ้มแห้งเพราะมันฟังดูเหมือนจินตนาการไปสักหน่อย เธอกล่าวขึ้นบ้าง “แต่ไม่นานก็เกิดน้ำท่วมอีกจนท่านเลือกเชียงใหม่แทนนี่คะ”

บริกรสาวหัวเราะเสียงดัง “ก็ใช่อีก แต่คุณทวดเล่าแก้เรื่องนี้ไว้หน่อยนะ เขาว่าพิธีบูชายัญครั้งนั้นไม่สมบูรณ์ก็เลยทำให้ภัยน้ำท่วมไม่หมดไป เรื่องนี้ฟังเอาขำๆ นะอย่าไปถือจริงจัง”

“พอฟังแล้วรู้สึกอยากไปดูเลยล่ะค่ะ” เอวากล่าวทำให้อีกฝ่ายยิ้มดีใจ

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็เข้าทางฉันเลย ฉันกลับไปทำงานก่อนนะ” บริกรสาวกล่าวก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว

“เรื่องเมื่อกี้อย่างกับตำนานดาบศักดิ์สิทธิ์ของตะวันตก ฟังแล้วไม่อยากลองไปดูบ้างหรือ” เอวาหันมากล่าวกับนาชาญซึ่งนิ่งเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด “อย่าบอกนะว่านายเชื่อ”

“เรื่องอื่นไม่รู้หรอก แต่ถ้ามีพิธีบูชายัญมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นจริงๆ อาจจะเกี่ยวกับคำสาปก็ได้นะ” เขากล่าวทีเล่นทีจริงทำให้เอวาเสียวสันหลังขึ้นมาวูบหนึ่ง

“อย่ามั่วสิ หมู่บ้านอะไรนั่นไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ มีจริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เอวาแย้งทั้งที่เสียวสันหลังวาบ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ถ้าเรื่องออกจากปากนาชาญทีไรก็มักจะเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริง       

ดวงจันทร์ลางเลือนลอยเด่นให้เห็นเพียงครึ่งหนึ่งท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิดในยามกลางคืน ดวงดาวสีเงินกระจายอยู่ราวกับกากเพชรที่ช่วยแต่งแต้มเพิ่มสีสันบนท้องฟ้า นาชาญขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่เกิดเหตุโดยมีเอวานั่งชมวิวผ่านกระจกหน้าต่างด้านข้าง ทันทีที่รถเข้าสู่ถนนเส้นเดียวกับทางไปโบราณสถานเวียงกุมกามเอวาก็สะดุ้งสุดตัวรีบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจสุดขีด ใบหน้าของเธอซีดเผือดพลางนั่งหลับตาตลอดทาง นาชาญมองตามสายตาของเอวาเมื่อครู่ก่อนลอบสังเกตท่าทีของเธอแต่ไม่ได้ถามอะไรมากความ เขาเพียงแต่ดึงความสนใจของเธอไปที่เรื่องอื่นแทน

“ตอนนี้พึ่งจะห้าทุ่มครึ่ง คงต้องรอถึงเที่ยงคืนเสียก่อน”

“อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงหมู่บ้าน ว่าแต่นายจะทำยังไงถ้าประตูเปิดไม่ได้ล่ะ เราเข้าไปตอนเกิดเรื่องไม่ได้อยู่ดี”

“ฉันต้องนั่งเฝ้าในห้องคุณทะนงนั่นแหละ ถ้าไม่มาก็ดีไป” 

“หวังว่าฉันจะมองไม่เห็นอะไรที่นั่นนะ” เอวายกมือขึ้นลูบแขนทั้งสองข้างเหมือนมีอาการขนลุกไปทั่วตัว สายตาของเธอมองลงไปที่เท้าของตนเองแทนที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ เธอไม่ใช่คนในครอบครัวของคุณทะนง เขาคงไม่ทำอะไรเธอหรอก” นาชาญกล่าวพลางเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้านจัดสรรก่อนขับตรงมาจอดที่หน้าบ้านของคุณทะนง

เมื่อเข้ามาในบ้านจึงได้พบกับสมาชิกครอบครัวของเทิดอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือคุณมิ่งมั่นแม่ของพวกเขา เทิดคอยดูแลเช็ดตัวให้ทะนงในขณะที่มิ่งมั่นเข้าไปเตรียมวัตถุดิบอาหารที่จะใช้ในร้านอาหารวันพรุ่งนี้ เอวากับนาชาญขอนั่งรอในห้องรับแขกข้างๆ ห้องของคุณทะนง บนโต๊ะรับแขกด้านหน้าพวกเขามีคุกกี้กับน้ำชาที่เป็นของว่างวางเตรียมเอาไว้ให้ ไม่นานนักคุณเทิดกับคุณมิ่งมั่นก็เดินออกมานั่งในห้องรับแขก คุณมิ่งมั่นเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

“พวกคุณเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเที่ยวชมที่เวียงกุมกามมาบ้างหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ มีบางคนมัวแต่เที่ยวเดินถามคนโน้นคนนี้เกี่ยวกับพิธีบูชายัญอะไรนั่นจนหมดเวลาน่ะค่ะ” เอวาหรี่ตามองนาชาญอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“พิธีบูชายัญอะไรงั้นหรือครับ” เทิดเลิกคิ้วถามแทรกขึ้น

“เราได้ยินคนในร้านอาหารเล่าให้ฟังว่าก่อนเวียงกุมกามจะถูกตั้งเป็นเมืองหลวงของล้านนา เคยมีชุมชนหมู่บ้านที่บูชายัญมนุษย์เพื่อสร้างเสาหลักเมืองน่ะค่ะ นาชาญก็เลยสนใจหนักมาก” เอวาลงเสียงหนักที่คำสุดท้าย

“ส่วนใหญ่คนที่รู้เรื่องนั้นจะมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่แถวเวียงกุมกาม แล้วก็เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันจากรุ่นคุณทวดอะไรประมาณนั้นน่ะครับ พวกคุณเคยรู้จักตำนานเรื่องนี้บ้างมั้ย” นาชาญถามขึ้นบ้าง

“ที่จริงบรรพบุรุษฝั่งสามีฉันเคยอาศัยอยู่แถวเวียงกุมกามนี่ล่ะค่ะ แต่ย้ายไปอยู่ภาคกลางมานานมากแล้ว พึ่งจะได้กลับมาบ้านเกิดก็เมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้วก็ได้เรื่องเลย”

“แล้วสามีคุณเคยเล่าเรื่องบรรพบุรุษให้ฟังบ้างมั้ยครับ”

“ไม่ได้เล่าละเอียดหรอกค่ะแต่บอกว่าสมัยนั้นบรรพบุรุษอดอยากมาก โชคดีที่มีญาติผู้พี่คอยช่วยเหลือก็เลยรอดมาได้แล้วก็พากันย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ต่อมาญาติผู้พี่คนนั้นก็ตาย ลูกหลานรุ่นหลังก็เลยสืบเชื้อสายจากฝั่งบรรพบุรุษน่ะค่ะ”

“ไม่ได้กล่าวถึงการบูชายัญมนุษย์หรืออะไรใช่มั้ยครับ”

“ไม่มีนะคะ ถ้าอยากรู้ละเอียดต้องลองถามป้าของเทิดดู ลุงเขารู้เรื่องดีกว่าพี่น้องคนอื่นๆ น่าจะมีเล่าให้ป้าเขาฟังบ้างนะ”

“แล้วพอจะมีเบาะแสเรื่องอาการป่วยของพี่ชายผมบ้างมั้ยครับ” เทิดกล่าวแทรกขึ้นด้วยความร้อนใจ “นี่ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วนะครับ”

“เรื่องนี้ผมว่าจะขออนุญาตเข้าไปนั่งในห้องพี่ชายคุณนะครับ หากเกิดเรื่องจริงๆ ผมจะดูให้ว่าช่วยอะไรได้บ้าง”

“ผมไม่แน่ใจว่าจะทำแบบนั้นได้มั้ย” สีหน้าของเทิดกลุ้มใจ “ผมเคยคิดจะนั่งเฝ้าพ่อทั้งคืน แต่พอถึงเวลาผมกลับได้ยินเสียงแม่เรียกก็เลยเดินออกไป แค่แป๊ปเดียว… แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง กลับมาถึงประตูก็เปิดไม่ได้แล้วพ่อก็ตาย แม่บอกว่าวันนั้นแม่หลับสนิทไม่ได้เรียกผมสักคำด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ” นาชาญกล่าวเสียงเรียบ “ให้ผมเข้าไปนั่งเฝ้าเถอะครับ น่าจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น พวกคุณขึ้นไปข้างบนก่อนก็ได้เพราะถ้ามีเสียงหลอกแบบที่ว่าผมจะได้รับรู้ว่าพวกคุณไม่ได้เป็นคนเรียก”

“แล้วฉันต้องเข้าไปกับนายด้วยมั้ย” เอวาถามขึ้นสีหน้าซีดเผือด “เผื่อว่านายจะต้องการความช่วยเหลือ”

“ถ้ากลัวจะนั่งรออยู่ข้างนอกก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” นาชาญกล่าวจบก็เดินหายเข้าไปในห้องของคุณทะนงในขณะที่เทิดกับมิ่งมั่นเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ส่วนเอวานั่งรออยู่ในห้องรับแขก

เมื่อนาฬิกาส่งเสียงตีบอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง นาชาญได้ยินเสียงเรียกจากเทิดดังขึ้นที่นอกประตูแต่เขาไม่ได้สนใจ ไม่นานนักก็มีเสียงของมิ่งมั่นดังลอดประตูเข้ามาอีกแต่นาชาญรู้อยู่แล้วว่ามิ่งมั่นอยู่ข้างบนจึงไม่ได้ใส่ใจอีกเช่นกัน เมื่อบรรยากาศเงียบลงอีกพักใหญ่นาชาญก็ได้ยินเสียงของเอวาดังขึ้น

“นาชาญ ออกมาช่วยกันหน่อย” เสียงนั้นฟังดูเหมือนเสียงจริงของเอวา ไม่ใช่เสียงกระซิบหรือเสียงซ้อนทับอะไรแต่เขาก็ยังชั่งใจไม่ได้เดินออกจากห้องไปดู นาชาญนั่งนิ่งอยู่ได้อีกพักใหญ่เสียงเรียกจึงกลายเป็นเสียงเคาะประตู “นาชาญ ยังอยู่มั้ยเนี่ย ออกมาช่วยกันหน่อยสิ”

นาชาญเริ่มนั่งไม่ติดสีหน้าของเขาแสดงความกังวลไม่แน่ใจว่าข้างนอกห้องเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูแต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย เขาจึงเดินออกไปดูที่ห้องรับแขกแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเอวา ไม่นานนักเอวาก็เปิดประตูห้องน้ำเดินออกมาทำให้นาชาญนิ่งอึ้ง

“เธอไม่ได้…” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาชาญประตูห้องของทะนงก็ปิดลงเสียงดัง นาชาญรีบวิ่งไปบิดลูกบิดประตูในขณะที่เอวามองหาของที่จะใช้ทำลายประตู แต่เธอต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นนาชาญบิดประตูเปิดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

นาชาญย่นคิ้วมองดูพื้นกระเบื้องที่ตนเองยืนอยู่กระเพื่อมราวกับกลายเป็นพื้นผิวน้ำ ข้างๆเตียงของทะนงปรากฏร่างเงาสีดำทะมึนค่อยๆ โผล่พ้นพื้นผิวน้ำขึ้นมาเหมือนมีแม่น้ำอยู่ที่พื้นตรงนั้น ร่างที่ลอยขึ้นมาในอากาศเป็นร่างของหญิงสาวสวมเสื้อคอจีนแขนกระบอกชายเสื้อสั้นนุ่งผ้าซิ่นสีขาวทั้งชุด ผมสีดำขลับยาวสยายล่องลอยในอากาศตามร่างที่เคลื่อนไหวช้าๆราวกับกำลังเต้นรำอยู่ใต้น้ำ แขนสองข้างของเธอโอบรอบคอทะนงก่อนกระซิบเบาๆ ข้างหูเขา

“กลับมา” เสียงนั้นไม่ได้เป็นเสียงที่เปล่งออกจากกล่องเสียงเหมือนมนุษย์ทั่วไปเพราะเธอไม่มีริมฝีปากแล้ว บริเวณปากของเธออ้ากว้างเหมือนขากรรไกรฉีกออกมีเสียงหวีดร้องคล้ายเสียงแรงลมวิ่งผ่านท่อเล็กแหลมเสียดเข้าช่องหูจนแสบแก้วหูไปหมด ใบหน้าสีขาวซีดของเธอกลับกลายเป็นโครงกระโหลกที่มีรอยแตกยุบดวงตาปูดโปนเป็นลูกทะลักออกมา ร่างกายแขนขาบิดเบี้ยวผิดรูปชุดสีขาวบริสุทธิ์ถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงข้นจนเกือบดำ

“ผม…” 

นาชาญรีบวิ่งถลันขึ้นไปนั่งบนเตียงเพื่อปิดปากทะนงไม่ให้ขานรับกลับไป ทะนงดิ้นสุดตัวในขณะที่นาชาญหันกลับไปจ้องตาวิญญาณของหญิงสาวก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงกร้าวราวกับมีเสียงก้องกังวาลซ้อนทับเสียงจริงๆ ของเขาอยู่

“เหตุใดท่านจึงละทิ้งหน้าที่แล้วมาฆ่าคน”

“กลับมา” เสียงหวีดแหลมของเธอตอบกลับมาเพียงสองคำ แต่ความหมายกลับทะลักเข้ามาในห้วงความคิดของนาชาญ มันหมายถึงความทนทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจที่โดดเดี่ยวก่อนจะตาย

เอวายืนตะลึงมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้อง เธอตัวแข็งทื่อเพราะพึ่งเคยเห็นวิญญาณของจริงกับตา แม้ว่าจะยังอยู่ในภาวะตื่นตะลึงแต่เมื่อเห็นนาชาญนั่งนิ่งตัวแข็งอยู่ต่อหน้าวิญญาณหญิงสาวเธอจึงลองขยับเท้าก้าวไปข้างหน้าสลับกับมองดูปฏิกิริยาของวิญญาณ เมื่อเห็นว่าวิญญาณก็ไม่ขยับเช่นกันเธอจึงค่อยๆ เดินอ้อมไปทางฟูกที่นอนเพื่อจะเอื้อมมือไปเขย่าตัวนาชาญแต่กลับกลายเป็นว่าภาพความทรงจำก่อนตายของวิญญาณหญิงสาวไหลผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเอวาด้วยจนเธอผงะทรุดลงนั่งบนฟูกที่นอน