มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

The Boundary (เขตแดนพิศวง) โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง

ภาพของหญิงสาวนางหนึ่งถูกคัดเลือกจากหญิงสาวอีกราวสิบคนในหมู่บ้าน มีชายฉกรรจ์สี่คนนำเสลี่ยงหามมารับตัวเธอไปยังเรือนไม้ประดับดอกไม้หลังใหญ่ที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจและดีใจที่จะได้เข้ามาใช้ชีวิตในเรือนไม้สวยหลังนี้ ไม่นานนักก็มีหญิงวัยกลางคนในชุดขาวเดินขึ้นเรือนเข้ามานั่งคุยกับเธอบนชานเรือน เธอเป็นแม่หมอประจำหมู่บ้านที่พอรู้วิชาอาคมและเป็นคนเสนอให้สร้างเสาหลักเมืองโดยใช้คนบูชายัญเพื่อยับยั้งภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านบ่อยครั้ง แม่หมอบอกเรื่องที่หญิงสาวจะต้องกลายเป็นเครื่องบูชายัญให้กับเสาหลักเมืองโดยแลกกับเธอจะได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดีทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยเป็นเวลาหนึ่งปีรวมถึงครอบครัวของเธอจะได้รับเงินชดเชยด้วย แต่ในหนึ่งปีนี้เธอจะต้องดื่มยาแก้วหนึ่งหลังอาหารทุกครั้ง เธอไม่มีทางเลือกมากนักพราะครอบครัวของเธอยากจนจึงยอมตกลงรับข้อเสนอของแม่หมอ

หลังจากเธอเข้ามาใช้ชีวิตอยู่บนเรือนได้ไม่นานก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งถูกนำตัวมาที่เรือนไม้แห่งนี้ด้วย เขาเองก็ถูกคัดเลือกให้มาเป็นเครื่องบูชายัญเสาหลักเมืองเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าเขาได้รับข้อเสนออะไรจากแม่หมอแต่ชายหนุ่มก็ได้รับการดูแลอย่างดีเช่นกัน ทั้งสองคนจึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก แม้จะบอกว่าเป็นความรักแต่พวกเขาได้รับอนุญาตให้พบกันจนถึงหกโมงเย็นเท่านั้น หญิงสาวมีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นทั้งเพื่อนและคนรักคนสุดท้ายในชีวิต เธอจึงเชื่อใจเขามากและไม่เคยกลัวความตายที่ใกล้เข้ามาเพราะรู้ว่าทั้งเธอและเขาจะกลายเป็นวิญญาณที่ช่วยกันปกป้องหมู่บ้านนี้จากภัยน้ำท่วมด้วยกันตลอดกาล

ในวันสุดท้ายก่อนจะถึงวันทำพิธีตอกเสาบูชายัญ จานและชามเปล่าของอาหารค่ำมื้อสุดท้ายบนโต๊ะตรงหน้าทั้งคู่ถูกสาวใช้ทยอยนำออกไปจนหมด ก่อนที่สาวใช้สองคนจะนำถาดวางแก้วเหล้าเข้ามาวางบนโต๊ะให้ทั้งคู่แทน ในแก้วเหล้าใบนี้ผสมยาชุดสุดท้ายที่แรงที่สุด แม่หมอบอกว่าหากดื่มเข้าไปแล้วร่างกายของเธอจะกลายเป็นอัมพาตเดินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองไม่ได้อีก หญิงสาวหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอแล้วดื่มมันเข้าไปจนหมดแก้ว ตอนที่ร่างกายหมดแรงฟุบลงบนโต๊ะอาหารนั้นเอง เธอพยายามเอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่มแต่กลับควานหามือของเขาไม่พบ เมื่อพยายามเงยหน้ามองอีกฝ่ายนัยน์ตาของเธอสะท้อนเพียงแผ่นหลังสุดท้ายของเขาที่เดินหายออกไปจากประตูห้อง

ในขณะที่ร่างของหญิงสาวถูกหามขึ้นเสลี่ยงหามเพื่อเดินทางไปยังลานตอกเสาหลักเมือง เธอรับรู้และได้ยินเสียงความโกลาหลภายนอกเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มหายตัวไปแต่เธอขยับตัวไม่ได้อีกแล้ว สภาพของเธอเหมือนตุ๊กตาขนาดใหญ่แม้แต่กระพริบตายังลำบาก ในใจของเธอเริ่มเกิดความกลัวเมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนเดียวที่ต้องถูกฝังลงไปพร้อมกับเสาหลักเมืองอย่างโดดเดี่ยว ชายฉกรรจ์อุ้มร่างของเธอโยนลงไปในหลุม เสาขนาดใหญ่ถูกปล่อยกระแทกลงมาทับร่างจนกระดูกแหลกทั่วร่างกาย เลือดไหลออกเต็มตัวรวมถึงทวารทั้งห้า ด้วยฤทธิ์ยาทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตามร่างกายต่างกับในใจตอนนี้ซึ่งไม่ได้นึกถึงชายหนุ่มแต่เต็มไปด้วยความแค้น ความสงสัยและความหวาดกลัวจนถึงลมหายใจสุดท้าย เธอต้องทนอยู่ในสภาพแบบนั้นจนกระทั่งสติสัมปชัญญะเจ้ากรรมจะดับวูบลงเสียที

เอวาน้ำตาไหลพรากเพราะนอกจากภาพความทรงจำแล้ว ความรู้สึกต่างๆ ก็ไหลเข้ามาราวกับเธออยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ แม้จะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลร่วมกับหญิงสาว แต่สภาพอเนจอนาถที่เห็นคือความจริงที่หญิงสาวประสบมาก่อนจะตายอย่างแน่นอน เอวาปล่อยมือจากนาชาญและเป็นอีกครั้งที่เธอเห็นเขากล่าวกับวิญญาณเฝ้าหลักเมืองด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปจากปกติ

“กลับไปยังที่ๆ ท่านควรอยู่เสีย” 

น่าแปลกที่คำสั่งของนาชาญเป็นเสมือนวาจาสิทธิ์ ทุกครั้งที่เขาพูดกับวิญญาณพวกวิญญาณต่างทำตามอย่างว่าง่าย เอวาเห็นร่างเงาวิญญาณดำมืดของหญิงสาวหายไปกับสายลมราวกับถูกลมพัดกระจายออกไปในอากาศ บรรยากาศรอบห้องที่ตึงเครียดกลับเป็นปกติอีกครั้ง รวมถึงพื้นที่เคยกระเพื่อมเหมือนผิวน้ำก็กลับเรียบแข็งเหมือนเดิม ทะนงที่พยายามดิ้นรนขัดขืนเมื่อครู่หยุดเคลื่อนไหวทำให้นาชาญตกใจรีบเอามือออกจากปากของเขาแล้วอังที่จมูกแทน เมื่อเห็นว่าเขายังคงหายใจอยู่นาชาญจึงปล่อยให้เขานอนลงบนหมอน ทะนงหลับตากลับไปเป็นผู้ป่วยไร้เรี่ยวแรงตามเดิม

เอวาเห็นนาชาญลุกขึ้นลงจากเตียงกำลังจะไปที่ประตูก็ตามลงมาด้วย เธอเห็นเขาไม่พูดไม่จาจึงคิดจะสะกิดเรียกเขา แต่ต้องชะงักมือไว้ด้วยสัญชาตญาณไม่กล้าแตะต้อง นาชาญหันไปเห็นเอวาน้ำตาไหลพรากก็แปลกใจรีบถามขึ้น 

“เธอเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”

“ฉันเผลอไปแตะถูกตัวนายตอนเห็นวิญญาณเมื่อกี้นี้”

แววตาของนาชาญเปลี่ยนเป็นตกใจ เหมือนเขาจะรู้ว่าการทำแบบนั้นมีผลอย่างไรบ้างกับเอวา “แล้วเธอเป็นอะไรมั้ย ทำไมอยู่ๆเธอถึงเห็นวิญญาณ”

“ไม่รู้แต่ฉันแค่เข่าอ่อน” เธอกล่าวเสียงแผ่วก่อนหันไปทางทะนง “ทางโน้นน่าเป็นห่วงกว่านะ”

“เสียงหายใจของเขาดีขึ้นมากแล้ว ปอดอาจจะยังไม่หายเป็นปกติแต่น่าจะค่อยๆ กลับเป็นเหมือนเดิม” นาชาญกล่าวพลางมองดูมิ่งมั่นกับเทิดที่เดินลงจากบันไดใกล้เข้ามา 

มิ่งมั่นรีบเข้าไปดูอาการลูกชายในขณะที่เทิดตรงเข้ามาถามนาชาญอย่างเป็นกังวล “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นในห้อง แล้วพี่ชายผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“ผมว่าพรุ่งนี้เขาน่าจะหายดีครับ คืนนี้คงไม่ได้ยินเสียงเรียกที่ว่าแล้วล่ะ”

“พูดง่ายดีนะครับ ผมยังไม่เห็นคุณทำอะไรเลย”

“เทิดมาดูนี่สิ พี่ชายลูกหายใจเป็นปกติแล้ว” เสียงของมิ่งมั่นดังแทรกขึ้นทำให้เทิดเบิกตากว้างอย่างแปลกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาแม่กับพี่ชาย เขามองดูการหายใจของพี่ชายที่เปลี่ยนเป็นลึกและยาวเหมือนคนปกติทั่วไป

“คุณทำได้ยังไงน่ะ” เทิดลุกขึ้นถามนาชาญ นาชาญเม้มปากนึกคำอธิบายก่อนกล่าวตอบ 

“บางทีถ้าเขาไม่ได้ตอบรับเสียงนั่น จิตใจของเขาอาจเชื่อว่าตัวเองต้องไม่ตายถึงได้รอดมาได้ แต่อย่างที่คุณพูดนั่นแหละว่าผมไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอกครับ” นาชาญกล่าวสีหน้านิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายคาใจต่อไป “พรุ่งนี้ลองดูอาการอีกทีนะครับ ถ้าหากยังไม่สามารถลุกเดินได้เป็นปกติ ก็หมายความว่ายังไม่พ้นอันตราย”

“ถ้าเป็นแบบนั้น หรือว่าพรุ่งนี้วิญญาณนั่นจะกลับมาอีก”

“ก็เป็นไปได้ แต่วันนี้ปลอดภัยแล้วล่ะครับ” นาชาญนิ่งเงียบมีท่าทีลังเลอยู่ครู่ใหญ่จึงลองถามเทิดกับมิ่งมั่น “บรรพบุรุษของพวกคุณที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้เป็นผู้ชายทั้งคู่หรือเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ” มิ่งมั่นตอบ “รู้สึกว่าคุณทวดเคยขุดกระดูกของคนที่เป็นญาติผู้พี่มาทำพิธีเผาแล้วฝังเอาไว้ด้วยกันกับบรรพบุรุษเราในวัดใกล้เวียงกุมกามนี่ล่ะค่ะ คุณอยากรู้ไปทำไมหรือคะ”

“คุณช่วยบอกชื่อวัดแล้วก็จุดที่ฝังกระดูกของเขาให้ละเอียดได้มั้ยครับ เราอาจจะต้องขออนุญาตนำกระดูกออกมาด้วย”

“มันก็ได้อยู่หรอกค่ะ ฉันมีกุญแจเปิดตู้เก็บอัฐิแต่จะเอาเถ้ากระดูกไปทำอะไรหรือคะ รอถึงพรุ่งนี้เช้าได้มั้ย”

“ผมน่าจะเจอสาเหตุที่ครอบครัวของคุณป่วยแบบเดียวกันแล้วแต่ต้องจัดการเรื่องหนึ่งก่อน ยังไงผมขอถือวิสาสะไปเอาเถ้ากระดูกออกมานะครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะนำกุญแจมาคืนให้”

มิ่งมั่นพยักหน้าก่อนเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อนำกุญแจลงมายื่นให้นาชาญ “นี่ค่ะ แล้วคุณจะเอามาคืนเมื่อไร”

“ถ้าทันก็จะแวะมาพรุ่งนี้ครับ แต่ยังไงผมขอให้คุณช่วยถามเรื่องบรรพบุรุษของคุณโดยละเอียดกับญาติของคุณได้มั้ย ถ้าไม่รู้เรื่องนั้นน่าจะแก้ไขปัญหายากนะครับ”

“ได้อยู่ค่ะ งั้นพรุ่งนี้สิบโมงฉันโทรหาอีกทีนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ” นาชาญกล่าวพลางเดินตามเอวาไปยืนหน้าประตูบ้าน “ยังไงพวกผมขอตัวกลับก่อน ไว้พรุ่งนี้จะแวะเข้ามาอีกทีนะครับ”

เทิดเดินไปส่งทั้งคู่ขึ้นรถขับออกจากหมู่บ้านจัดสรรไป เอวาลอบมองนาชาญเป็นระยะเหมือนมีคำถามในหัวมากมายแต่ไม่รู้จะเริ่มจากเรื่องไหนก่อน นาชาญเห็นเอวาเหลือบมองตนเองหลายครั้งก็รู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุของบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในรถจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้น

“มีอะไรจะถามมั้ย”

“หลายเรื่องเลยล่ะ” เอวาตอบทันควัน “แล้วนี่นายจะไปที่สุสานจริงๆ หรือ”

“ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จคืนนี้ พรุ่งนี้วิญญาณนั่นก็จะไปที่บ้านคุณทะนงอีก ไปตอนกลางวันก็ไม่ได้ด้วย”

“ลืมไปเลย” เอวากล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วรีบเลี่ยงสายตาหันกลับมามองขาตัวเอง เธอพยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ที่นายอยากได้อัฐิของบรรพบุรุษเขาเพราะคิดว่าเป็นคนเดียวกับในความทรงจำของผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย”

“เธอมองเห็นจริงด้วยสินะ ตั้งแต่เมื่อไร” นาชาญถามอย่างสงสัย “ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเห็นวิญญาณนี่”

เอวายิ้มแหย “ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่ฝันเห็นพญานาคล่ะมั้ง”

นัยน์ตาสีดำมืดทะมึนของนาชาญสะท้อนให้เห็นแสงจากเกล็ดพญานาคบนหน้าผากของเอวา เขานิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนกล่าวกับเธอ 

“เธออาจจะต้องหาพระมาห้อยคอไว้ ถ้ากลัวอะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกนั่นล่ะก็นะ”

“มีอีกเรื่องที่ฉันอยากถามนาย ถึงจะเห็นนานแล้วก็เถอะ” เอวาสูดหายใจหันไปสบตากับนาชาญอย่างเต็มตาก่อนชะงักหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว “ทำไมตานายถึงเป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ มันน่ากลัวเหมือนไม่ใช่ตาคนอะ”

“เดี๋ยวก็ชินเองแหละ มองๆ ไปเหอะ” 

“นายไม่รู้ตัวหรือว่าตานายมันไม่มีแวว มันเป็นสีดำด้านเหมือน…” เอวากระอักกระอ่วนแต่ก็จำใจพูดออกมาตรงๆ  “เหมือนตาปลาตอนตายแล้วน่ะ”

นาชาญหัวเราะเสียงดัง “แต่คนไม่เหมือนกัน ถ้าเธอเห็นในหนังนะ ตาของผีต้องเป็นสีขาวไม่มีลูกตาใช่มั้ยล่ะ”

“ก่อนจะเห็นผี ฉันเห็นตานายไม่ใช่แบบนี้ฉันถึงได้ตกใจไงเล่าแล้วก็…” เอวาหยุดชั่งใจไม่รู้ควรจะพูดดีหรือไม่ แต่เห็นนาชาญทำหน้าตาทองไม่รู้ร้อนแล้วก็ยิ่งอยากจะจี้ถาม “นายสั่งผีได้ด้วยใช่มั้ย”

“ฮะ” นาชาญร้องเสียงหลง “สั่งผีเนี่ยนะ คิดออกมาได้”

“ก็ฉันเห็นนายพูดทีไรผีก็ทำตามทุกทีนี่” 

“เอาเหอะ ถ้าผีมาอีกฉันจะสั่งให้นะ” นาชาญตอบแบบขอไปทีก่อนเลี้ยวรถเข้ามาจอดในวัด “แล้วเธอจะเอายังไง นั่งรอในรถมั้ย ถ้าออกไปอาจจะต้องเจออะไรที่เหนือธรรมชาตินะ”

“ขอนั่งรอในรถก็แล้วกัน ฉันยังไม่ใจกล้าขนาดนั้น”

นาชาญพยักหน้าแล้วยื่นกุญแจรถให้เอวาทั้งที่ยังไม่ดับเครื่องก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ นาฬิกาในรถบอกเวลาจะตีสามแล้ว นาชาญเดินผ่านอุโบสถหลังเล็กไปยังกำแพงวัดซึ่งเป็นที่วางตู้บรรจุอัฐิ ตู้มีลักษณะเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดเท่าสองฝ่ามือหลายช่องติดกันคล้ายตู้ล็อกเกอร์เก็บของ นาชาญมองชื่อบนพวงกุญแจก่อนจะไล่นิ้วหาชื่อที่ตรงกัน เมื่อเจอแล้วเขาก็ไขกุญแจเปิดเอาโกฏบรรจุอัฐิข้างในออกมา โชคดีที่บนโกฏมีชื่อสลักเอาไว้ด้วยจึงหยิบออกมาได้ถูกต้อง 

ในขณะที่เขากำลังปิดตู้ล็อกกุญแจอยู่นั้น นาชาญได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างกระแทกตู้บรรจุอัฐิข้างๆ เมื่อหันไปมองจึงเห็นหญิงสาวชุดแดงผมยาวปกหน้ายืนเอียงคอโขกหัวชนเข้ากับตู้บรรจุอัฐิ ทุกครั้งที่โขกหัวผมก็จะสะบัดออกนิดหนึ่งเผยให้เห็นใบหน้าบวมอืดจนมองไม่ออกว่าจุดไหนเป็นจมูกหรือจุดไหนเป็นแก้ม เนื้อที่บวมอืดปูดทับดวงตาจนเรียวเล็กไม่รู้ว่าเธอกำลังลืมตาอยู่หรือเปล่าแต่นาชาญก็ดันไปสบตากับเธอเข้าพอดี ดวงตาเรียวเล็กข้างหนึ่งนั้นเบิกกว้างราวกับเด็กได้ของเล่น เธอเคลื่อนตัวทั้งที่คอยังเอียงอยู่แบบนั้นกระแทกตู้บรรจุอัฐิเข้ามาใกล้นาชาญ นาชาญแกล้งมองไปรอบๆ เหมือนไม่เห็นเธอแล้วหันหลังเดินต่อเพื่อจะกลับมายังลานจอดรถ เธอคนนั้นยังคงเดินตามมาทะลุร่างเขาแล้วพยายามชะเง้อใบหน้าเผื่อเขาจะมองเห็นเธอ

ในขณะที่เดินผ่านอุโบสถหลังเล็กของวัดทั้งที่วิญญาณหญิงสาวยังตามติดมาข้างหลัง หางตาของนาชาญไปสะดุดเข้ากับร่างโปร่งแสงของชายวัยกลางคนที่นอนเลือดอาบอยู่ข้างๆ ตู้บริจาคเงินของวัด เมื่อเขาเห็นนาชาญเดินผ่าน เขาก็เคลื่อนตัวทั้งที่หงายท้องซึ่งมีมีดปักอยู่กลางลำตัวคลานเข้ามาข้างๆ เขา นาชาญมองตรงไปข้างหน้าทำเป็นมองไม่เห็นแต่วิญญาณชายคนนั้นก็ยังคงไม่ละความพยายามคลานมาตัดหน้าเขาบ้าง คลานตามด้านข้างเขาบ้าง กระโดดเกาะหลังเขาบ้าง กลายเป็นมีวิญญาณตามติดเขามาถึงสองตน นาชาญคิดหาวิธีสลัดวิญญาณเหล่านี้ก่อนจะไปถึงรถเพื่อไม่ให้เอวาเห็น แต่เมื่อมาถึงลานจอดรถเขาก็ชะงักก่อนเร่งฝีเท้า

วิญญาณตนหนึ่งห้อยตัวหัวทิ่มอยู่บนกิ่งไม้เหนือรถก่อนปล่อยร่างให้ตกใส่หลังคารถเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่า เอวาที่นั่งอยู่ในรถสีหน้าซีดไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกจึงเปิดกระจกชะเง้อออกไปดู ใบหน้าโชกเลือดบนกะโหลกศีรษะที่ผิดรูปโผล่พ้นหลังคารถก้มมามองดูเธอ คางของเขาแตก ดวงตาข้างหนึ่งถลนออกจากเบ้า เขาค่อยๆ เลื่อนหัวลงมาจึงเห็นส่วนคอเคลื่อนบิดไปคนละทางกับลำตัวที่พาดอยู่บนรถ เอวารีบดึงตัวเองกลับเข้ามาในรถแล้วปิดกระจกรู้ตัวแล้วว่ากำลังเผชิญกับอะไร วิญญาณดวงนั้นใช้มือที่กระดูกบิดเบี้ยวทุบกระจกรถรัวๆ แต่เอวาไม่ยอมหันไปมอง เขาจึงเคลื่อนเปลี่ยนทิศทางก่อนปล่อยให้ร่างตกลงมาข้างประตูที่นั่งคนขับซึ่งเปิดอ้าไว้ เขาคลานขึ้นมาบนเบาะที่นั่งคนขับทั้งที่ยังนอนราบอยู่พลางยืดมือสุดแขนเพื่อสัมผัสตัวเอวาที่นั่งแข็งทื่อเปล่งเสียงไม่ออก เธอตัวสั่นงันงกน้ำตาไหลพรากทำอะไรไม่ถูก 

“เห็นใช่มั้ย ช่วยเราด้วย” เสียงหวีดหวิวโหยหวนจากวิญญาณในรถและวิญญาณอีกสองตนที่ตามนาชาญมาสะท้อนก้องในหูพลางพุ่งตัวเข้ามาหาเอวาที่กำลังยกมือขึ้นปิดหู มันทั้งสามรู้แล้วว่าเธอมองเห็นมัน

นาชาญที่พึ่งมาถึงหน้ารถจึงเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ “กลับไปซะ”

สิ้นเสียงของนาชาญร่างวิญญาณทั้งหมดก็เหมือนถูกสายลมรุนแรงเป่าพัดจนหายไปในอากาศ เอวายังไม่กล้าลืมตาขึ้นมาทำให้นาชาญต้องเดินเข้ามาในรถแล้วปิดประตู เอวาได้ยินเสียงปิดประตูรถก็ลืมตาข้างหนึ่งมองไปข้างๆ ด้วยความหวาดระแวง พอเห็นเป็นนาชาญเธอก็ยอมปล่อยมือออกจากหูแล้วหันมาจะคุยกับเขาแต่กลับได้เห็นนัยน์ตาสีดำทะมึนที่ราวกับมีหมอกสีทึบบดบังอยู่ของเขาแทน เธอจะกรีดร้องออกมาแต่ถูกนาชาญปิดปากเอาไว้

“ฉันเอง นาชาญ” เขากล่าวแล้วยื่นมือไปแตะบ่าเธอเบาๆ ทำให้เธอเริ่มสงบลง “ถ้าร้องล่ะก็พวกนั้นได้มากันเป็นขบวนพาเหรดแน่”

เอวาพยักหน้าไม่กล้าพูดอะไรต่อปล่อยให้นาชาญขับรถออกจากเขตวัดเสียก่อน เธอมองดูโกฏใส่อัฐิที่วางอยู่บนเบาะหลังซึ่งแน่นอนว่าข้างๆ โกฏนั้นมีร่างวิญญาณของชายสวมเสื้อคอจีนนุ่งผ้าซิ่นสีขาวนั่งอยู่ เอวาเหลือบเห็นร่างวิญญาณนั้นนั่งก้มหน้าผ่านกระจกมองหลังจึงพอคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเจ้าของอัฐิในโกฏ การแต่งกายของเขาคล้ายวิญญาณหญิงสาวที่ทำร้ายทะนง โชคดีที่ท่าทางของเขาเรียบร้อยผิดกับวิญญาณในวัดเมื่อครู่นี้ เอวานั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

“เราจะไปที่ไหนกันหรือ”

“กลับที่พักก่อน วันนี้คงทำได้แค่หาความจริงจากวิญญาณในโกฎนั่น”

“ไม่ไปที่เวียงกุมกามหรือ เขาคือคนในความทรงจำของวิญญาณผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย”

“ก่อนจะให้เจอกัน ฉันต้องรู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจจะจบเรื่องไม่ได้” นาชาญกล่าวพลางถอนหายใจ “อยู่ๆจะให้สั่งวิญญาณให้ไปสู่สุคติมันทำสำเร็จยากนะ ยิ่งเป็นวิญญาณเฝ้าเสาหลักเมืองด้วยแล้ว”

“แต่นายสั่งวิญญาณให้หายไปได้เหมือนที่ทำเมื่อครู่นี้นี่” เอวานึกถึงเหตุการณ์ในลานจอดรถที่วัด “แล้วทำไมตอนอยู่ในวัดไม่ทำตั้งแต่แรก แถมปล่อยให้มันตามมาหาฉันถึงในรถอีก”

“พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ฉันคิดจะหาทางไล่ไปอยู่เหมือนกันแต่ดันมาเจอเธอโดนเล่นงานซะก่อน” นาชาญหันมองเอวาสลับกับเส้นทางถนนตรงหน้า “พวกนั้นต้องการหาร่างคนเป็นที่มองเห็นตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอก็ดันไปแสดงให้พวกนั้นเห็นว่าเธอมองเห็นน่ะสิ พวกนั้นก็เลยวิ่งเข้าไปหาเธอ ครั้งหน้าก็แค่ทำเป็นไม่เห็นซะ พวกเขาก็จะคิดว่าเธอมองไม่เห็นแล้วก็ไม่มายุ่งกับเธอ”

“จะไปทำได้ยังไง นายก็เห็นสภาพพวกเขามันปกติที่ไหน ถ้าวิ่งหนีได้ฉันคงรีบวิ่งหนีไปแล้ว”

“อย่าเชียวนะ ต่อให้พวกเขาวิ่งเข้าหาก็ต้องปล่อยให้เดินทะลุตัวไป ไม่อย่างนั้นพวกเขารู้แน่ๆ ว่าเธอมองเห็น”

เอวาย่นคิ้วทำสีหน้าเหมือนไม่อยากนึกถึง “ไม่ไหวหรอก ถ้าเอาหน้าโชกเลือดลอยเข้ามาใกล้หน้าฉัน ก็ต้องปล่อยให้ผ่านทะลุตัวไปอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ ตอนที่เธอมองไม่เห็นก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย พวกเขาเอาหน้าแบบนั้นมาแนบหน้าเธอตั้งหลายหนแล้วแต่เธอไม่รู้ตัวเท่านั้น” นาชาญเริ่มสนุกกับการแกล้งเอวา

“ไม่เห็นก็ไม่รู้ไง แต่ตอนนี้เห็นแล้วจะทำเป็นไม่รู้ได้ยังไง”

“หรือไม่ก็ห้ามออกจากบ้านตอนกลางคืนอีก ทำได้มั้ยล่ะ”

เอวาหันมองนาชาญอย่างมีความหวัง “หมายความว่าจะเห็นเฉพาะเวลากลางคืนหรือ”

“ใช่ พวกนั้นกลัวแสงแดด” เขายังคงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “กลางแสงแดดต่อให้พวกเขาพยายามปรากฏตัวก็ไม่มีแรงพอหรอก คล้ายๆ กับเปิดไฟฉายกลางแสงอาทิตย์ คิดว่าจะมองเห็นแสงไฟฉายมั้ยล่ะ”

“ทำไมนายพูดเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย” น้ำเสียงของเอวาเริ่มจะผ่อนคลายลงมาก “แต่ก็จริงของนาย ยังไงซะฉันก็ไม่ค่อยออกจากบ้านตอนกลางคืนอยู่แล้ว น่าจะรอดตัวได้”

นาชาญเห็นเอวาใจเย็นลงแล้วจึงเหลือบมองวิญญาณชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง “เรื่องวิญญาณนั่นฉันจะจัดการเอง กลับที่พักแล้วเธอก็พักผ่อนก่อนได้เลย”

“พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องไปเจอวิญญาณนั่นใช่มั้ยล่ะ” เอวาบ่นพึมพำพลางมองดูรถเลี้ยวเข้าไปในลานจอดของโรงแรมที่พัก นาชาญดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงจากรถ เธอจึงเดินตามนาชาญเข้าที่พักทั้งที่ยังเหนื่อยใจ