มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์

ท้องฟ้าในวันถัดมายังคงปลอดโปร่งมองเห็นแสงอาทิตย์ส่องสว่างในยามสาย นาชาญกับเอวาออกมารับประทานอาหารเช้าที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางนอกที่พัก เมื่อคืนพวกเขากลับดึกจึงตื่นค่อนข้างสาย เอวามองตามกลิ่นหอมของเส้นสีขาวนวลในน้ำซุปสีเข้มมีลูกชิ้นรอบชามวางลงตรงหน้าเธอกับนาชาญ เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้นทำให้นาชาญเปลี่ยนจากจับตะเกียบเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับสายแทน

“ครับคุณมิ่งมั่น”

“ลูกชายฉันทะนงยังไม่ฟื้นเลยแต่ร่างกายกลับเป็นปกติแล้ว เขาหายใจได้และรอยช้ำบนตัวก็หายไปแล้วด้วย ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไม” 

“ใจเย็นๆ ครับ อาการเขาดีขึ้นก็เป็นสัญญาณที่ดี แล้วคุณได้ถามเรื่องบรรพบุรุษของคุณมาแล้วใช่มั้ยครับ”

“แปลกมากเลยค่ะ” มิ่งมั่นกล่าวตอบ “ญาติผู้พี่ที่เคยเล่าว่าเสียชีวิตไปก่อน เขาเสียเพราะร่างกายมีรอยช้ำและเป็นโรคปอดตาย เขาอยู่ด้วยกันกับบรรพบุรุษของเราตลอดแต่คนที่เป็นโรคปอดก็มีแค่เขาคนเดียว ก็เลยเชื่อกันต่อมาว่าอาจเป็นคำสาปเพราะเขาหนีการบูชายัญ”

“หมายความว่าเขาถูกเลือกให้เป็นเครื่องบูชายัญหรือครับ”

“เห็นว่าตอนนั้นหมู่บ้านเกิดภัยน้ำท่วมหนัก หมู่บ้านเลยคิดสร้างเสาหลักเมืองโดยใช้ชีวิตคนและสัตว์ทำพิธีกรรม ญาติผู้พี่คนนี้อาสาเป็นเครื่องบูชายัญเพื่อให้ครอบครัวได้รับเงินจำนวนหนึ่ง ครอบครัวของเขาก็มีแค่บรรพบุรุษของพวกเราที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวและยังเด็กอยู่มาก หลังจากเขากลายเป็นเครื่องบูชายัญก็ถูกห้ามไม่ให้ออกจากเรือนไม้ที่เรียกกันว่าแท่นบูชาแต่ด้วยความเป็นห่วงน้องชายเขาก็คิดหาวิธีเจอกับน้องตอนกลางคืนและหอบเอาของกินมาแบ่งให้ตลอดจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนจะถึงพิธีบูชายัญ เขาวางแผนหนีออกจากหมู่บ้านพร้อมกับน้องชายแล้วย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่น แต่หลังจากหนีไปได้เขาก็ป่วยด้วยโรคปอดและตายภายในเวลาแค่ปีเดียว บรรพบุรุษรักและเคารพญาติผู้พี่คนนี้มากก็เลยกำชับให้ลูกหลานเล่าเรื่องนี้สืบกันต่อมาและให้ช่วยดูแลสุสานของทั้งคู่ด้วย” เสียงของมิ่งมั่นเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกล่าวถามอย่างสงสัย “หมายความว่าโรคนั่นเกิดจากคำสาปหรือว่าเป็นโรคทางพันธุกรรมกันแน่คะ”

“แล้วคุณเชื่อว่าเป็นเป็นแบบไหนล่ะครับ”

“ตอนอยู่กรุงเทพไม่เคยเจอโรคแปลกๆ แบบนี้ในครอบครัวของเราค่ะ ที่จริงฉันเชื่อว่าเป็นอย่างแรกมากกว่าแต่มันก็ไม่มีเหตุผลเลย” น้ำเสียงของมิ่งมั่นเริ่มไม่มั่นใจ “ที่คุณไปเอาโกฏแล้วก็ให้ดิฉันไปถามเรื่องบรรพบุรุษก็เพราะคุณเชื่อว่าเป็นคำสาปหรือเปล่าคะ”

นาชาญเม้มปากพยายามหาคำอธิบายที่ลงตัวที่สุด “ผมไม่ได้เชื่อครับแต่ลูกชายคุณอาจจะเชื่อแบบนั้นถึงได้ยังไม่ยอมตื่น ถ้าจะแก้ปมในใจเขาใช้วิธีที่เป็นนามธรรมน่าจะได้ผลกว่าครับ”

มิ่งมั่นยังไม่ค่อยเข้าใจคำอธิบายของนาชาญนัก “แล้วคุณจะทำยังไงคะ”

“ก่อนเที่ยงคืนคุณเข้าไปบอกเขาว่าวิญญาณของหญิงสาวได้สิ่งที่เธอต้องการแล้ว เดี๋ยวเขาก็ฟื้นเองครับ”

“ง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือคะ” มิ่งมั่นย้ำคำอย่างไม่แน่ใจแต่อีกฝ่ายยังยืนยัน เธอจึงยอมเออออไปก่อน “ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ผลคุณจะทำยังไงคะ”

“ถึงตอนนั้นค่อยหาทางอื่นอีกทีครับ” 

เอวามองนาซาญที่กดปิดโทรศัพท์ก่อนกล่าวถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“นายพูดแบบนั้นจะดีหรือ”

“ไม่งั้นจะให้พูดแบบไหน เรื่องวิญญาณถ้าบอกไปตรงๆ ไม่มีใครเชื่อหรอก เรามาจากมูลนิธิไม่ใช่สำนักทรงเจ้า”

ถึงจะขัดใจแต่เอวาก็เถียงไม่ออก เธอคีบลูกชิ้นสีขาวนวลเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนลงคอก่อนจะถามนาชาญ “แล้วเมื่อคืนนายทำยังไงกับโกฏเก็บอัฐินั่นล่ะ”

“ได้คุยกันนิดหน่อย”

“คุยหรือ” สีหน้าของเอวาบ่งบอกว่าแปลกใจ “คุยเรื่องอะไรกัน เขายอมพูดด้วยหรือ”

“ไม่ทั้งหมดหรอก แค่พอรู้ความตั้งใจของเขา ยังไงก็ต้องให้พวกเขาได้พบกันเสียก่อน”

เอวาเม้มริมฝีปากกำลังชั่งใจก่อนจะลองถามออกไป “นายว่าเขารักเธอหรือเปล่า”

นาชาญนิ่งเงียบเหลือบตามองดูเอวา “แล้วเท่าที่เธอเห็นในความทรงจำของวิญญาณ คิดว่ายังไงล่ะ”

“ฉันเห็นแค่จากมุมมองของฝ่ายหญิง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายคิดยังไง” คำถามและสายตาของเอวาบ่งบอกความนัยที่นอกเหนือจากเรื่องของวิญญาณ แต่ดูเหมือนนาชาญจะไม่ได้สังเกตเห็น

“วิญญาณสื่อสารได้ไม่ชัดเจนขนาดนั้นหรอก ส่วนใหญ่ก็ออกมาครางสองสามคำแล้วก็หายไป” นาชาญตอบตามที่เขาเคยมีประสบการณ์มาโดยไม่ทันมองสีหน้าผิดหวังของเอวา

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วพวกเขากลับไปที่ลานจอดรถของโรงแรมเพื่อขับรถวิ่งต่อไปยังเวียงกุมกาม ครั้งนี้เอวาเป็นคนขับเมื่อผ่านซุ้มประตูตรงมาตามถนนเรียบทอดผ่านพื้นที่วัดกู่ป้าด้อมซึ่งมองเห็นศาลาไม้อยู่หลังลานว่างยกสูงที่มีบันไดเตี้ยๆ ทอดขึ้นสู่ลานว่าง เอวาจะจอดแวะแต่นาชาญส่ายหน้าบอกให้เธอขับต่อไปอีก 

เอวาขับช้าๆ ได้แต่มองร่องรอยประวัติศาสตร์ผ่านวิหาร อุโบสถและเจดีย์ของวัดโบราณที่ส่วนใหญ่ยังคงเหลือโครงสร้างอิฐผสมศิลาแลงค่อนข้างสมบูรณ์ บางแห่งยังมีพระพุทธรูปให้ได้สักการะบูชา จนกระทั่งรถวิ่งเข้าสู่พื้นที่ของวัดปู่เปี้ย นาชาญรีบหันไปบอกเอวาให้หยุดรถ เธอจึงหาที่จอดใกล้ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะจากรถ

“ในที่สุดก็ยอมให้ลงสักที มีตั้งหลายที่ที่ฉันอยากแวะแต่นายทำเหมือนทัวร์ชะโงกน่ะ”

“ขอโทษนะแต่เราไม่ได้มาเที่ยวกัน” นาชาญถอนหายใจพลางเดินนำเอวาลงไปยังพื้นสนามหญ้าซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดปู่เปี้ย

วัดปู่เปี้ยสร้างจากอิฐผสมศิลาแลงยกพื้นสูงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นชั้นๆ ฐานชั้นแรกใหญ่ที่สุด ชั้นที่สองรองลงมาและชั้นที่สามเล็กที่สุดมีบันไดยาวตรงกลางทอดขึ้นสู่เจดีย์มณฑปซึ่งตั้งเด่นอยู่ในสุด ข้างๆ ลานที่ทอดสู่เจดีย์มณฑปมีลานเล็กอีกแห่งหนึ่งที่สร้างขนานกันแต่ไม่มีเจดีย์ ตรงหน้าทางขึ้นบันไดลานเล็กเยื้องไปทางขวาเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำทรงกลม เอวาเดินขึ้นลานไปดูเจดีย์ในขณะที่นาชาญเดินสำรวจรอบๆ วัด เขาเดินไปหยุดตรงหน้าบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากลานทั้งสองออกไปไม่ไกลนัก ในดวงตาสีดำทะมึนของเขาสะท้อนภาพของไอสีดำลอยขึ้นจากบ่อน้ำ เขาหันไปรอบๆ มองหาเอวาก่อนเดินเข้าไปคุยกับเธอ

“ที่นี่เปิดแปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นใช่มั้ย”

“ใช่ นี่บ่ายสามแล้ว นายจะกลับเลยหรือ”

“ฉันจะอยู่ที่นี่จนถึงเที่ยงคืน เธอขับรถกลับไปก่อนแล้วค่อยกลับมารับฉันตอนเที่ยงคืนได้มั้ย”

“แต่ฉันรออยู่ข้างนอกเท่านั้นนะ เข้ามาข้างในเวียงกุมกามไม่ได้หรอก”

“รู้แล้ว ฉันจะเดินออกไปเอง”

“ถ้าถูกจับได้โดนเล่นทั้งคู่แน่” เอวายกมือกุมขมับ “ก็ได้ ฉันจะส่งที่อยู่ในแผนที่จีพีเอสตอนขับมารับก็แล้วกัน อย่าหลงทางนะไม่งั้นฉันไม่รอจริงๆ ด้วย”

“ตามนั้น ยังเหลือเวลาก่อนที่นี่จะปิด เธออยากเที่ยวไหนก็ตามสบายเลย” นาชาญกล่าวก่อนผายมือให้เธอเดินนำไปขึ้นรถ เอวายิ้มดีใจในที่สุดโอกาสเที่ยวของเธอก็มาถึง

หลังจากเอวาขับรถกลับที่พักแล้ว นาชาญใช้เวลาเดินสำรวจวัดอื่นๆจนกระทั่งนาฬิกาข้อมือของเขาหยุดที่เวลาห้าทุ่มตรง ท้องฟ้ายามกลางคืนที่นี่ไม่มืดสนิทนัก มีแสงจันทร์และแสงจากไฟฉายมือถือส่องนำทางทำให้เขาพอมองเห็นบ่อน้ำที่เล็งเอาไว้เมื่อตอนกลางวัน บ่อน้ำตื้นเขินเมื่อลงไปยืนจะโผล่พ้นขึ้นมาครึ่งตัว เขาหยุดฝีเท้าก่อนวางโกฏใส่อัฐิของชายหนุ่มไว้ที่หน้าบ่อน้ำ วิญญาณของชายหนุ่มก้มหน้านิ่งอยู่ใกล้กับโกฏราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาเช่นกัน

ไม่นานนักวิญญาณของหญิงสาวในชุดคอจีนแขนกระบอกนุ่งผ้าซิ่นสีขาวย้อมด้วยสีแดงเลือดก็ลอยขึ้นจากบ่อน้ำ เสาหลักเมืองคงจมอยู่ในบ่อระหว่างภัยน้ำท่วมและสงครามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา วิญญาณหญิงสาวเอื้อมแขนที่บิดเบี้ยวไปโอบคอวิญญาณของชายหนุ่มช้าๆราวกับเธอกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ ใบหน้าที่เหลือแต่โครงกะโหลกบุบยุบจนนัยน์ตาปูดโปนลอยเข้าไปแนบชิดข้างๆชายหนุ่มที่ก้มหน้านิ่ง เธอยังหวีดร้องโหยหวนถามขึ้นด้วยเสียงแบบเดิม

“กลับมา...”

“ข้ากลับมาแล้ว” 

เสียงของชายหนุ่มแหลมเล็กเสียดเข้าหูของนาชาญพร้อมกับความทรงจำและความรู้สึกของทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเขา ทุกครั้งที่ต้องดื่มยาหลังอาหารชายหนุ่มจะเทยาทิ้งไปเพราะเขาวางแผนที่จะหนีเพื่อไปดูแลญาติผู้น้องของเขาที่ยังเด็กอยู่มาก เพราะเขาไม่เคยดื่มยาจึงไม่เคยได้รับผลจากฤทธิ์ยาเลย แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นหญิงสาวดื่มยาความเจ็บปวดแล่นผ่านในจิตใจของเขา เขาอยากปัดมันทิ้งทุกครั้งแต่ก็กลัวว่าเธอจะไม่เห็นด้วยจึงได้แต่กัดฟันมองดูเธอดื่มมันเข้าไป และในช่วงเวลาอาหารค่ำมื้อสุดท้ายก่อนถึงวันทำพิธีบูชายัญ เขานั่งมองเธอแทบไม่อยากละสายตาจนกระทั่งเธอฟุบลงไปกับโต๊ะเพื่อจดจำทุกท่วงท่าของเธอ เมื่อเห็นเธอฟุบไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่กล้าที่จะหันกลับไปอีกเพราะกลัวว่าจะอดใจดื่มยานั่นไม่ได้

ใบหน้าบูดเบี้ยวและร่างกายผิดรูปของหญิงสาวเปลี่ยนกลับเป็นสาวน้อยวัยสะคราญในชุดขาวบริสุทธิ์ เธอปล่อยมือที่โอบเขาช้าๆ ริมฝีปากบางบนใบหน้ารูปไข่พึมพำออกมาเบาๆ มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า 

“ขอโทษ”

นาชาญมองดูวิญญาณของชายหนุ่มลอยหายขึ้นไปในอากาศ ความรู้สึกผิดจากความอาฆาตและโดดเดี่ยวที่ทำให้เธอสาปแช่งชายหนุ่มและผู้มีสายเลือดเดียวกับเขาตอนที่รู้สึกถึงการมีอยู่ของสายเลือดพวกเขาในพื้นที่ของเธอค่อยๆ จางหายไปแล้ว นัยน์ตาสีดำทะมึนของนาชาญยังมองเห็นไอสีดำปนอยู่ในวิญญาณของหญิงสาวแต่มันจางลงมาก เขาจึงกระโดดลงไปในบ่อแล้วใช้มือแตะสัมผัสบนพื้นบ่อซึ่งเดิมเคยเป็นที่ตั้งเสาหลักเมืองของหมู่บ้าน แสงสีฟ้าจากมือของเขาช่วยสลายไอดำจากพื้นบ่อและวิญญาณของเธอจนหายไปหมดสิ้น 

ทันทีที่ไอดำสลายหายไปมันก็กลับกลายเป็นคลื่นสีขาวสะท้อนเข้าหาตัวนาชาญ เขาชะงักนิดหนึ่งเกิดความรู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ เหมือนบางอย่างในร่างกายกำลังรวน เมื่อวิญญาณของหญิงสาวหายกลับลงไปประจำเสาหลักเมืองเหมือนเดิมแล้ว นาชาญก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูข้อความจากเอวาที่ส่งที่อยู่ปัจจุบันของรถในแผนที่จีพีเอสให้

นาชาญเดินโซซัดโซเซถือโกฏในมือพยายามพยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปให้ถึงรถ ยังเดินไปไม่เท่าไรเขาล้มลงนั่งแล้วยกมือปิดปากไอสำลักติดๆ กันจนเห็นเลือดเป็นลิ่มๆ ติดอยู่ที่มือ เขาเช็ดมือกับพื้นดินเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนถือโกฏลุกขึ้นเดินต่อไป เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นไม่ต้องดูชื่อก็รู้ว่ามาจากเอวาแน่นอน

“นายอยู่ไหนเนี่ย ฉันรอนานแล้วนะ” เสียงโวยวายแหลมเสียดหูดังขึ้นจากปลายสาย นาชาญยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูเหมือนยังไม่พร้อมรับสถานการณ์สักเท่าใดนัก

“กำลังจะถึงรถแล้ว ขอเวลาหน่อย”

เอวาเลิกคิ้วได้ยินเสียงของนาชาญสั่นและแผ่วเบาผิดจากปกติ “นายเป็นอะไรหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าถูกผีเข้า”

นาชาญหรี่ตากับการคาดเดาที่ห่วยแตกที่สุดของคู่หู “ไม่เป็นไร เธอรออยู่ที่รถนั่นแหละ”

เอวามองเห็นนาชาญผ่านกระจกข้างเดินตรงเข้ามาใกล้รถของเธอที่จอดอยู่ เขาเปิดประตูหลังแล้ววางโกฏไว้ก่อนจะเดินมานั่งบนเบาะข้างคนขับ เอวารีบออกรถให้พ้นจากเขตเวียงกุมกามมุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรมที่พักก่อนจะกล่าวกับนาชาญ

“สรุปว่าจบเรื่องแล้วหรือ แก้คำสาปได้แล้วใช่มั้ย”

“จบเรื่องแล้ว แต่ยังต้องรอดูอาการของคุณทะนงก่อน ถ้าหายดีแล้วเราค่อยไปตามเรื่องปลายฟ้าต่อ” นาชาญมองดูโกฏผ่านกระจกหลัง “แล้วก็ต้องเอาบรรพบุรุษของเขาไปคืนด้วย”

“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะโทรถามคุณมิ่งมั่นให้ว่าสะดวกให้เราเข้าไปมั้ย” เอวาเหลือบดูโทรศัพท์ตนเองที่วางอยู่หน้ารถ “คุณเอ็มม่ายังไม่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับปลายฟ้ามาเพิ่มให้เลย”

“ก็ดี ฉันว่าจะขอพักสักหน่อย” น้ำเสียงของนาชาญอ่อนเพลียทำให้เอวาแปลกใจ

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางเหมือนไม่ค่อยสบาย”

“แค่อดนอนเพราะถูกผีกวนน่ะ” เขาตอบแบบติดตลก “กลับที่พักแล้วเตรียมเก็บกระเป๋าดีกว่า ถ้าไม่มีข่าวเรื่องปลายฟ้าอาจจะต้องกลับสำนักงานแทน”

ท้องฟ้าสีม่วงยามเช้าตรู่มองเห็นดวงอาทิตย์ผ่านม่านเมฆบางๆ  แสงอาทิตย์ยามเก้าโมงเช้าส่องสว่างไปทั่วทิวทัศน์งดงามของจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เอวากับนาชาญก็เดินไปเก็บกระเป๋าเดินทางไว้หลังรถ นาชาญเป็นคนขับเพื่อเดินทางไปที่บ้านของมิ่งมั่น เอวาย่นคิ้วมองดูโทรศัพท์

“เมื่อวานนายส่งเมล์ไปขอลาพักร้อนกับพี่เอ็มม่าหรือ ฉันไม่เคยเห็นนายลานานขนาดนี้เลย”

“ฉันว่าจะกลับบ้านที่เชียงราย จากเชียงใหม่ขับรถกลับไปใช้เวลาไม่นานก็เลยขอลาช่วงนี้เลย”

“ไปทำอะไรที่เชียงรายหรือ”

“แค่อยากกลับบ้าน ฉันเหลือวันลาพักร้อนตั้งเยอะยังไม่เคยใช้เลย” เสียงของนาชาญขาดๆ หายๆ เหมือนคนหายใจติดขัด “ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อยด้วย”

เอวาขมวดคิ้วลอบมองอีกฝ่าย มีบางอย่างในตัวเขาเปลี่ยนไปแต่เธอบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร “งั้นฉันต้องกลับกรุงเทพคนเดียวหรือ ทำไมกะทันหันจังเลย” 

นาชาญเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของมิ่งมั่น เทิดมารอรับทั้งคู่ก่อนเดินนำเข้าไปในบ้าน เขาพาทั้งสองเข้าไปในห้องของทะนงซึ่งตอนนี้ลุกขึ้นมารับประทานข้าวต้มมื้อเช้าได้แล้ว ลมหายใจของเขาก็ดูลึกสม่ำเสมอไม่ติดขัดอีก ทันทีที่มองเห็นนาชาญกับเอวาเขาก้มหัวให้นิดหนึ่งพลางวางชามข้าวไว้บนโต๊ะข้างเตียง

“พวกคุณคงเป็นคนจากมูลนิธิเหรียญปราชญ์สินะครับ”

 นาชาญกับเอวาพยักหน้ารับ เอวาเป็นฝ่ายกล่าวทักทายกลับไป “สวัสดีค่ะ เมื่อวานเราก็มาเยี่ยมแต่อาการของคุณต่างกับวันนี้มาก”

“ใช่ครับ” ทะนงขยับมือขยับแขนให้ดู “ผมหายใจได้และเรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาแล้ว น้องชายเล่าให้ฟังว่าตอนแรกในปอดของผมเต็มไปด้วยเศษดินเลยทำให้หายใจไม่ออก แต่ตอนนี้ผมหายใจคล่องขึ้นแล้ว ปอดผมคงกลับเป็นปกติแล้ว”

“พวกคุณได้ไปทำอะไรหรือเปล่าคะ” มิ่งมั่นที่ยืนอยู่ข้างเตียงพูดแทรกขึ้น “พอทำอย่างที่คุณบอกเมื่อคืนนี้หลังเที่ยงคืนเขาก็ฟื้น ผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียวเขาก็เริ่มบ่นว่าหิวแล้วก็ทานข้าวได้อย่างที่เห็น”

“ไม่ครับ ผมว่าเป็นเพราะคุณทะนงเชื่อเรื่องบรรพบุรุษกับคำสาปมากเกินไปเลยมีผลต่อร่างกายน่ะครับ” นาชาญเห็นสายตาของมิ่งมั่นกับเทิดที่ยังเต็มไปด้วยคำถาม เขาจึงตอบแบบง่ายๆ “เป็นจิตวิทยารูปแบบหนึ่ง เหมือนที่บางคนเชื่อจริงจังว่าตัวเองป่วยก็จะมีอาการป่วยแบบนั้นแต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอะไรเลย”

“ผมยอมรับว่าเชื่อ ครอบครัวของผมถึงได้คอยดูแลอัฐิของบรรพบุรุษทั้งสองเป็นอย่างดี” ทะนงตอบแต่ยังรู้สึกคาใจ “แต่จิตใจจะมีผลต่อร่างกายขนาดนั้นเลยหรือ ตอนแรกในผลเอ็กซเรย์ปอดก็เจอดินเต็มปอดจริงๆ นะครับ”

“อาจจะเป็นฝุ่นเฉยๆ ก็ได้ครับ พอผ่านไปช่วงระยะหนึ่งก็หายไป” นาชาญกล่าวพลางมองไปรอบๆ ห้องรวมถึงรอบๆ ตัวของทะนง ถึงแม้จะไม่มีร่องรอยวิญญาณหรือบรรยากาศแปลกๆ ให้เห็นอีก แต่นาชาญกลับไม่มั่นใจกับสายตาของตนเองนัก เขากล่าวสั้นๆ  “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราขอตัวกลับก่อนนะครับ”

เทิดเดินมาส่งเอวากับนาชาญขึ้นรถก่อนเดินกลับเข้าบ้านไป เอวาขึ้นนั่งฝั่งคนขับในขณะที่นาชาญดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด ตอนที่เอวาติดเครื่องยนต์จับพวงมาลัยเพื่อออกรถ นิ้วของเธอก็ไปสัมผัสถูกของเหลวบางอย่างบนพวงมาลัย เมื่อลองดึงนิ้วมือออกมาดูให้ชัดจึงพบว่าเป็นรอยเลือด เอวาจะหันไปถามนาชาญที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับแต่เขากลับนอนหลับไปเสียแล้ว เธอจึงจำใจขับรถออกไปทั้งที่ยังสงสัย

หลังขับรถมาได้ระยะหนึ่งเอวาก็แวะเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อจะแวะซื้อกาแฟสักแก้วจากร้านค้าในปั๊ม ทันทีที่รถจอดสนิทนาชาญก็ลืมตาตื่นขึ้น เขาหันซ้ายหันขวามองผ่านกระจกรถเห็นว่ายังไม่ถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ก็กล่าวถามเอวา

“ทำไมถึงจอดล่ะ เดี๋ยวไปถึงสนามบินช้าก็ตกเครื่องหรอก”

“ฉันก็ง่วงเป็นนะ ขอยืดเส้นยืดสายหาอะไรดื่มแก้ง่วงได้มั้ยล่ะ” เอวามองดูอีกฝ่ายที่ท่าทางงัวเงีย “แล้วหลังจากฉันไปสนามบินแล้ว นายจะขับกลับเชียงรายไหวหรือ ท่าทางยิ่งกว่าคนเมาค้างอีก”

“ฉันไม่มีปัญหาหรอกแค่นอนพักสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” นาชาญกล่าวก่อนหลับตานิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

เอวาหน้าบูดใช้มือเขย่าตัวอีกฝ่ายให้ตื่น “นายน่ะ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน รอยเลือดบนพวงมาลัยรถนี่มันอะไรกัน”

นาชาญลืมตาข้างหนึ่งมองไปทางพวงมาลัยรถ “รอยเลือดอะไร”

“ของนายไม่ใช่หรือ เมื่อเช้าก็มีนายคนเดียวที่ขับรถน่ะ”

เขานิ่งเงียบพักหนึ่งก่อนจะหลับตานอนต่อ “สงสัยนิ้วโดนอะไรบาดมั้ง”

“แต่รอยเลือดนี่มันเยอะเกินกว่าจะเป็นแค่รอยบาดธรรมดานะ” เอวาสังเกตท่าทีของนาชาญแต่เขาไม่ยอมตอบคำถาม เธอจึงจำใจปล่อยผ่าน “เอาเหอะ ถ้าเป็นอะไรก็บอกแล้วกัน”