มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

หลังออกจากห้องน้ำเอวาก็เดินไปกดโทรศัพท์โทรหาเอ็มม่า เธอสงสัยตั้งแต่เห็นเอ็มม่ายอมอนุมัติใบลาง่ายดายทั้งที่นาชาญขอลากระทันหัน เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่งปลายสายก็กดรับ เอวาได้ยินเสียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ดังลอดมาจากลำโพงก็รู้ว่าเอ็มม่าคงกำลังยุ่งอยู่กับงานเป็นแน่

“คุณเอ็มม่าสะดวกคุยมั้ยคะ”

“คุยได้สิ” เธอกล่าวตอบ “แล้วก็นาชาญส่งรายงานของงานคราวนี้มาให้แล้ว ออกจะแปลกๆ อยู่แต่ญาติของผู้ป่วยไม่คัดค้านอะไร ฉันก็เลยปล่อยผ่านไป”

“เขาเขียนว่ายังไงบ้างคะ”

“อาการที่ปอดเต็มไปด้วยดินอาจไม่ใช่ดินแต่เป็นฝุ่น การสูดฝุ่นเข้าไปเป็นจำนวนมากทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด ผู้ป่วยมีความเชื่อเรื่องคำสาปบรรพบุรุษ เมื่อกลับไปที่บ้านเกิดซึ่งบรรพบุรุษเคยอาศัยอยู่ก็เลยเชื่อไปเองว่าตนเองจะล้มป่วยและตายหากได้ยินเสียงเรียก ความเชื่อแบบสุดโต่งและร่างกายที่อ่อนแอเป็นสาเหตุของอาการป่วยที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้”

เอวายิ้มแห้งได้แต่ยอมรับ “ฟังดูแปลกจริงๆ นั่นแหละ มันอธิบายไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ถูกต้องตามนั้น”

“ที่โทรมาเนี่ยไม่ใช่เรื่องรายงานใช่มั้ย มีปัญหาอะไรเรื่องที่นาชาญลาหรือเปล่า”

เอวาเหมือนปลากระโดดงับเหยื่อ “ฉันก็แค่อยากให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ท่าทางเขาเหมือนคนป่วย”

“เขาจะเป็นอะไรได้ล่ะ เขาแค่หยุดพักผ่อน ทำไมอยู่ๆ ถึงคิดมาก”

“ถ้าไม่มีสาเหตุฉันก็ไม่คิดมากขนาดนี้หรอกค่ะ” เอวาถอนหายใจยาว เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ฉันได้ยินว่ามีคำร้องจากหมู่บ้านที่เชียงรายเข้ามาด้วยใช่มั้ยคะ เรื่องยาผีบอกหรืออะไรสักอย่าง”

“ใช่ หมู่บ้านที่เกิดเรื่องอยู่ใกล้ๆ บ้านของนาชาญด้วย ตอนแรกฉันว่าจะส่งให้เขาทำหลังจากหมดเวลาพักร้อนแล้วถึงได้อนุมัติให้ลาไง หรือเธออยากจะตรวจสอบเรื่องนี้เอง”

“ก็เห็นคุณเอ็มม่าบอกว่าจะให้ทีมฉันตามเรื่องปลายฟ้าต่อ ถ้ากลับกรุงเทพเดี๋ยวก็ต้องบินมาอีกใช่มั้ย” เอวาหยุดรอให้อีกฝ่ายพูดแต่เอ็มม่ายังเงียบอยู่ เอวาจึงกล่าวต่อไปอย่างเสียไม่ได้ “ระหว่างรอข้อมูลของปลายฟ้า ก็ให้ฉันรับผิดชอบคำร้องนี้ไปเลยจะได้ไม่เสียเวลาดีมั้ยคะ”

“ฉันมอบหมายให้ทีมของเธอก็ได้” น้ำเสียงของเอ็มม่ากลั้วหัวเราะ “ส่วนจะให้นาชาญช่วยหรือเปล่าก็คุยกันเอาเองนะ เป็นเวลาพักร้อนของเขา มูลนิธิยังไงก็ได้ประโยชน์อยู่แล้ว”

“ขอบคุณค่ะ” เอวาเผลอกล่าวเสียงดังใส่โทรศัพท์ 

“งั้นฉันทำงานต่อล่ะนะ” เอ็มม่าได้แต่ส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนกดวางสายไป

หลังจากวางสายจากเอ็มม่าสายตาของเอวาก็ไปสะดุดเข้ากับแผงขายพระเครื่องที่วางอยู่ข้างๆ ร้านกาแฟในปั๊ม เธอเดินเข้าไปเลือกเช่าสร้อยพระเส้นหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วปลุกนาชาญที่ยังหลับสนิทแต่เขย่าตัวเท่าไรเขาก็ไม่ยอมตื่น เอวาแปลกใจจะดึงแขนของเขาที่กอดอกอยู่เพื่อให้รู้สึกตัวแต่แขนของเขาเย็นเฉียบ เมื่อเหลือบเห็นริมฝีปากซีดเซียวของนาชาญเธอก็ตกใจรีบเขย่าตัวเขาถี่ขึ้น

“นาชาญ นายยังไม่ตายใช่มั้ยเนี่ย”

นาชาญได้ยินคำว่าตายก็หายงัวเงียผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนกล่าวน้ำเสียงปนรำคาญ “ใครตาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเนี่ย”

เอวาชะงักรู้ตัวว่าพูดเกินไปจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "ไม่มี นายละเมอต่างหาก”

“จำไม่เห็นได้เลยว่าฝันอะไรถึงต้องละเมอเรื่องตาย” นาชาญลืมตามีสติมากขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นว่ายังอยู่ที่ปั๊มก็แปลกใจ “แล้ววันนี้จะไปถึงสนามบินมั้ยเนี่ย”

“ไม่ไปแล้ว คุณเอ็มม่าให้ฉันรับผิดชอบคำร้องเรื่องยาผีบอก แล้วหมู่บ้านนั้นก็บังเอิญอยู่เชียงรายพอดีเลย”

“ไม่ต้องมาบังเอิญเลย เรื่องยาผีบอกเดี๋ยวฉันจัดการเอง เธอรออยู่ที่กรุงเทพเถอะ”

“ทำไมฉันต้องรอด้วยล่ะ เราทีมเดียวกันไม่ใช่หรือ อีกอย่างนายจะลาพักร้อนอาทิตย์หน้าเพราะงั้นไม่ต้องขยันมากก็ได้”

“เรื่องคราวนี้อันตรายนะฉันบอกไว้ก่อน ถ้าเธอไปด้วยเธออาจจะเจออะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณผีเฝ้าหลักเมืองเสียอีก”

“ฉันใส่พระกันเอาไว้แล้ว” เอวากล่าวตัดบทก่อนหยิบโทรศัพท์ส่งให้นาชาญ “นายตั้งแผนที่จีพีเอสสิ บ้านนายกับหมู่บ้านนั่นอยู่ใกล้ๆ กันไม่ใช่หรือ”

นาชาญส่ายหน้าหนักใจพลางปลดเข็มขัดนิรภัย “ไม่เป็นไร ฉันขับเองน่าจะถึงไวกว่า”

จากถนนที่พวกเขาอยู่ถ้าขับรถไปยังหมู่บ้านที่เชียงรายใช้เวลาราวสี่ชั่วโมง แสงแดดเจิดจ้ายามใกล้เที่ยงทำให้อากาศภายนอกร้อนระอุเมื่อเทียบกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ เอวานั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับในขณะที่นาชาญเป็นคนขับ นาชาญนั่งเงียบมาตลอดทางที่ขับรถซึ่งเอวาก็รู้ว่าเขายังโกรธอยู่ เธอจึงเป็นฝ่ายชวนคุยโดยดึงพระเครื่องทรงสี่เหลี่ยมที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอออกมาให้เขาดู

“ฉันได้พระมาแล้วนะ”

นาชาญเหลือบมองดูพระเครื่องในมือของเอวา ตอนนี้นัยน์ตาของเขาไม่สะท้อนให้เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติใดๆ อีกแล้ว เขาดูไม่ออกว่าเป็นพระที่ผ่านการปลุกเสกมาหรือเปล่าแต่ก็พยักหน้าให้เธอ 

“ดีแล้ว สวมไว้อย่าถอดออกล่ะ”

หลังจากขับรถมาได้ครึ่งชั่วโมงนาชาญก็พยายามมองซ้ายขวาผ่านกระจกรถจนมองเห็นทางเลี้ยวเข้าซุ้มประตูวัดข้างหน้าไม่เกินสามร้อยเมตร เขารีบเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานจอดรถของวัดแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยท่าทางอ่อนเพลีย มือของเขาสั่นนิดหน่อยตอนดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องในรถก่อนจะรีบลงจากรถทั้งที่ไม่ได้ดับเครื่องแล้ววิ่งหายเข้าไปทางห้องน้ำของวัด เอวามองตามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เธอปลดเข็มขัดนิรภัยคิดจะตามนาชาญไปแต่นึกได้ว่าไม่มีใครเฝ้ารถ เธอก็เลยนั่งรอจนกระทั่งนาชาญเดินกลับมาที่รถจึงกล่าวขึ้นอย่างเป็นห่วง

“สลับกันมั้ย ฉันเป็นคนขับเอง ท่าทางนายเหมือนคนป่วยเลย”

“ฉันไม่ค่อยสบายก็เลยขอลาพักร้อนมา ไม่รู้เธอจะตามมาทำไม” นาชาญบ่นพึมพำ เขาทำท่าจะขับรถแต่เพ่งสายตาไปยังเส้นทางข้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนเอวาชักไม่ไว้ใจขึ้นมาจริงๆ

“ให้ฉันขับเองเถอะ นายนั่งหลับไปก็ได้ ฉันขอมาด้วยเผื่อกรณีแบบนี้ไง” เอวากล่าวพลางลงจากรถซึ่งครั้งนี้นาชาญเลิกดื้อแพ่งแล้วยอมสลับที่กับเอวาแต่โดยดี

นาชาญตั้งแผนที่จีพีเอสให้เอวาขับตามเส้นทางไป ระบบคำนวณว่าอีกราวหนึ่งชั่วโมงจึงจะถึงจุดหมาย นาชาญเริ่มมีอาการไอแต่เอวารู้สึกได้ว่าเขาพยายามฝืนให้เสียงไอเบาที่สุด เสียงไอดังถี่รัวไม่หยุดจนในที่สุดเขาก็รีบเอากระดาษทิชชู่มาปิดปากไว้ เอวาที่เหลือบมองหาจังหวะอยู่แล้วรีบกระชากมือที่ถือทิชชู่ของเขามาดูจึงมองเห็นคราบเลือดบนกระดาษทิชชู่

“นี่นาย… ป่วยหนักเลยไม่ใช่หรือ” เธอขึ้นเสียงพลางหันกลับไปมองเส้นทางข้างหน้า

นาชาญยกมือขึ้นกุมขมับในหัวยังมึนงงรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด “แค่อาการแย่ลงนิดหน่อยเท่านั้น”

“แล้วได้ไปหาหมอมาหรือยัง”

“หมอช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก”

“แล้วสรุปว่านายเป็นอะไรกันแน่เนี่ย” เอวาถามแต่ไม่สามารถจดจ่อกับบนสนทนากับนาชาญได้เพราะต้องมีสมาธิกับการขับรถบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

เบื้องหน้าของเอวาเป็นเส้นทางถนนลาดยางทอดยาวขึ้นไปบนเขาที่ไม่ลาดชันมากนัก รอบข้างขนาบด้วยบ้านยกไต้ถุนสูงซึ่งกำแพงสร้างจากไม้ไผ่สาน บางหลังมุงหลังคาด้วยหญ้าแต่บางหลังมุงด้วยกระเบื้องหรือสังกะสี หากขับไปตามเส้นทางในจีพีเอสก็ไม่ต้องวนเข้าไปในถนนลูกรังที่ตัดเข้าสู่หมู่บ้านข้างทางที่มองเห็นอยู่ นาชาญชี้ไปข้างหน้าสุดถนนลาดยางที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป ถนนบังคับเลี้ยวเข้าด้านข้างแทนที่จะขึ้นสู่ยอดเขา 

แสงอาทิตย์ยามเย็นเหนือดอยไม่ร้อนจัดนัก ตลอดเส้นทางที่ผ่านเข้ามานอกจากหมู่บ้านแล้วยังเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม มีสายลมบางเบาพัดผ่านเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดทันทีที่ทั้งคู่ลงจากรถ เอวายืนมองบ้านสร้างจากปูนซีเมนต์สีขาวมุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้ากินพื้นที่ราวห้าสิบตารางวา เป็นบ้านที่แตกต่างและโดดเด่นที่สุดในละแวกนี้

นาชาญกดผ่านแอพลิเคชั่นในมือถือเพื่อปิดประตูรั้วไม้ทรงสูงที่ล้อมรอบบ้านไว้แล้วเดินมายกกระเป๋าลงจากรถโดยมีเอวาคอยช่วย พวกเขาลากกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้านซึ่งนาชาญหยิบลูกกุญแจขึ้นมาไขปลดล็อกที่มือจับประตู เมื่อเปิดประตูเข้าไปจึงมองเห็นห้องรับแขกที่ไม่ได้โอ่อ่าจนเกินไปและตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เห็นได้ทั่วไป ถัดจากห้องรับแขกไปหลังบ้านเป็นที่ตั้งของห้องครัวและทางขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ฝั่งตรงข้ามของห้องรับแขกเป็นห้องเล็กอเนกประสงค์ซึ่งวางโต๊ะทำงานและชั้นหนังสือเอาไว้ นาชาญนั่งพักบนโซฟาในห้องรับแขกพลางกดเปิดโทรทัศน์ส่วนเอวาเดินเข้าไปล้างมือในห้องน้ำที่อยู่ระหว่างห้องครัวและทางขึ้นบันได บ้านเหมือนพึ่งทำความสะอาดไม่นานเพราะไม่มีฝุ่นให้เห็นและน้ำประปากับไฟฟ้ายังใช้ได้ตามปกติ เอวาเข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมานั่งลงบนโซฟาที่แยกเดี่ยวออกมาตั้งอยู่ข้างๆ โซฟาใหญ่ที่นาชาญนั่งอยู่

“ที่นี่บ้านนายหรือ”

“บ้านของคุณพ่อน่ะ ตั้งแต่พ่อตายก็ไม่ได้มาอีกเลย เกือบยี่สิบปีได้แล้วมั้ง”

“แต่ดูเหมือนมีคนทำความสะอาดเรื่อยๆ นะ น้ำไฟก็ใช้ได้ปกติ”

“ลุงกับป้าของฉันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ญาติแท้ๆ หรอกแต่ฉันนับถือเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่จริงๆ ตอนนี้น่าจะไปทำธุระในหมู่บ้านคงจะกลับมาตอนหกโมง” เขาพูดพลางกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ “ข้างบนมีห้องนอนว่างอยู่สองห้อง นอกจากห้องใหญ่เธอก็เลือกเอาเลยว่าจะนอนห้องไหน”

“แล้วนายไม่ขึ้นไปนอนหรือ ท่าทางนายไม่ไหวแล้วนะ”

“อยู่ที่นี่คงนอนพร่ำเพรื่อไม่ได้หรอก” ท่าทางของเขาอ่อนเพลียทำท่าจะหลับแต่ก็ฝืนเอาไว้ทุกครั้ง “ว่าแต่เธอเถอะ ยังฝันเห็นพญานาคอยู่อีกมั้ย”

“ฝันสิ โผล่มาหลอนทุกคืน ไม่รู้จักหลับจักนอน” เอวากล่าวก่อนจะนึกได้ “ไม่สิ สงสัยนอนมากไป ตอนกลางคืนเลยตาสว่างโผล่มาเข้าฝันชาวบ้านได้ตลอดเนี่ย”

“แล้วในฝันนั่นเขาทำอะไรบ้างล่ะ”

“มารัดตัวฉันแล้วดึงลงน้ำน่ะสิ” สีหน้าของเอวาหวาดกลัวแต่ก็มีความโกรธปะปนอยู่ด้วย “ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยทำอะไรอันตรายนะแต่ครั้งนี้แย่มาก ฉันหายใจไม่ออกมันก็ยังดึงลงน้ำลึกไปเรื่อยๆ  มองไปข้างล่างไม่เห็นก้นแม่น้ำ เห็นแต่หางงูใหญ่ยาวเฟื้อยเกล็ดเป็นเหลื่อมสีดำเมี่ยม ถ้าปล่อยฉันก็กลัวจะว่ายน้ำขึ้นไปไม่ได้แต่ถ้ารัดไว้ฉันก็กลัวพญานาค เลือกไม่ถูกเลย”

นาชาญยิ้มขำกับอารมณ์ขันแปลกๆ ของเอวา เขาพูดติดตลก “แล้วเคยลองฝืนหายใจดูบ้างมั้ย มันเป็นฝันนี่ เธออาจจะหายใจใต้น้ำได้นะ”

“บ้าหรือ ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงเงือกสักหน่อยจะได้หายใจใต้น้ำได้” เธอแอบหัวเราะเบาๆ  “แต่คราวหน้าจะลองดู เผื่อเปิดประสบการณ์ใหม่”

นาชาญส่ายหัวก่อนกล่าวน้ำเสียงเรียบ “เจ้านั่นอันตราย ระวังตัวหน่อยเถอะ ฉันอาจจะอยู่ช่วยไม่ได้แล้วก็ได้”

เอวาเลิกคิ้วนึกได้ว่าตั้งใจจะถามอะไรนาชาญ “หมายความว่าไง สรุปนายเป็นอะไรกันแน่ บอกมาตรงๆ ได้มั้ย”

“ฉันไม่เป็นไร แค่เหนื่อยน่ะ”

เสียงรถกระบะดังขัดจังหวะวิ่งเข้ามาจอดในลานจอดรถหน้าบ้านทำให้ทั้งคู่หันมองไปทางต้นเสียงพร้อมกัน นาชาญลุกขึ้นยืนก่อนเดินออกไปนอกบ้านโดยมีเอวาเดินตามหลังไปติดๆ  ลุงกับป้าของนาชาญลงจากรถกระบะเดินตรงมายังจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่ ชายวัยเกือบหกสิบรูปร่างผอมใส่เสื้อแขนกว้างคอวีแบบชาวเขาแต่นุ่งกางเกงยีนส์ยิ้มทักทายนาชาญ ในขณะที่สาวใหญ่รูปร่างท้วมกว่าสวมชุดเดรสแต่ลวดลายเหมือนชุดของชาวเขาแบบเดียวกันเดินตามหลังมา ในมือถือของพะรุงพะรัง

“เดินทางมาลำบากแย่เลย เป็นยังไงบ้าง” ชายที่ดูเหมือนคุณลุงใจดีกล่าวพลางมองดูใบหน้าของนาชาญชัดๆ  “ยิ่งโตหน้ายิ่งเหมือนพ่อนะ”

“ไม่หรอกครับคุณลุง” นาชาญตอบก่อนหันไปแนะนำเอวา “นี่เพื่อนผมจากกรุงเทพชื่อเอวาครับ”

“เพื่อนหรือแฟนล่ะ” คุณป้าของนาชาญถามขึ้นจนเอวายิ้มเขิน นาชาญจึงตัดบทด้วยการแนะนำลุงกับป้าให้เอวารู้จักบ้าง

“นี่ลุงเซียวกับป้าหลิน ทั้งคู่ดูแลครอบครัวฉันตอนมาอยู่ที่เชียงราย”

“สวัสดีค่ะ” เอวายกมือขึ้นไหว้ทั้งคู่ซึ่งทั้งคู่ก็รับไหว้ ลุงเซียวจึงพาทั้งคู่เข้าไปในบ้าน เอวากับนาชาญช่วยลุงกับป้าถือของ

“พวกเอ็งขึ้นไปเก็บของข้างบนก่อน เดี๋ยวป้าหลินทำอาหารเสร็จแล้วจะได้ลงมาทานกัน” เขากล่าวในขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าไปวางของในห้องครัวเสร็จแล้วและป้าหลินเตรียมสวมผ้ากันเปื้อน

เอวากับนาชาญเดินไปลากกระเป๋าสัมภาระของตนเอง ลุงเซียวเห็นท่าทางอ่อนเพลียแปลกๆ ของนาชาญก็จับมือเขาไว้พลางกล่าวถามสีหน้าเครียดนิดหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้น ทำไมกลับเป็นแบบเดิมอีก”

เอวาหยุดฝีเท้าสนใจเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน แต่นาชาญรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาไว้คืนนี้ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอตัวขึ้นไปบนห้องก่อนนะครับ”

ลุงเซียวยอมปล่อยมือทำให้นาชาญรีบโบกมือให้เอวาเดินขึ้นบันได เขาจะได้เดินขึ้นไปบ้าง เอวารู้สึกขัดใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมทำตาม เธอยกกระเป๋าขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเลือกห้องเล็กที่อยู่สุดทางเดิน นาชาญจึงเข้าห้องตรงกลางแล้วปิดประตูเงียบไป เอวาได้แต่เลิกคิ้วสงสัยก่อนจะเข้าห้องตัวเองไปจัดเก็บข้าวของบ้าง

เวลาล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว ป้าหลินตะโกนเรียกทุกคนให้ลงมารับประทานอาหารเย็น เอวากับลุงเซียวเดินมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารซึ่งป้าหลินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ข้าวสวยร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมอยู่บนจานสีขาวขอบทองที่วางตรงหน้าที่นั่งทั้งสี่ที่ ตรงกลางมีอาหารพื้นบ้านที่ใช้วัตถุดิบง่ายๆ อย่างไข่เจียวทรงเครื่อง ยำผักสมุนไพรกับน้ำพริก ไก่ย่างเตาถ่าน และพริกมะเขือย่างไฟ กลิ่นควันจางๆ ของเตาถ่านลอยปะปนกับกลิ่นเฉพาะตัวของน้ำพริกกระตุ้นให้ท้องร้องได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าเก้าอี้ตัวหนึ่งยังว่างอยู่ทำให้ทุกคนยังลงมือรับประทานอาหารไม่ได้

“ฉันจะขึ้นไปตามนาชาญนะคะ” เอวาอาสาแต่ลุงเซียวห้ามเอาไว้

“ฉันไปเองดีกว่า พวกเธอทานกันไปก่อนได้เลยนะ”

ท่าทางของลุงเซียวดูจริงจังจนไม่มีใครกล้าทักท้วง คล้อยหลังลุงเซียวไปแล้วเอวากับป้าหลินจึงเริ่มลงมือทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน รสชาติอาหารอร่อยปากแต่กลับถูกบรรยากาศตึงเครียดทำให้ไม่อยากอาหารสักเท่าใดนัก เอวารู้สึกอึดอัดจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

“คุณป้ากับคุณลุงดูแลนาชาญมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยหรือคะ”

ป้าหลินกลืนข้าวลงในคอเสร็จจึงตอบคำถามของเธอ “ไม่หรอกค่ะ คุณวุฒิกับคุณนภาพานาชาญมาอยู่ที่นี่ตอนอายุสามขวบเพราะคุณวุฒิเป็นนักธุรกิจที่มาติดต่อเรื่องซื้อขายใบชาที่ไร่ชาไม่ไกลจากที่นี่ เราคงไม่ได้รู้จักกันถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น” 

เอวาหูผึ่งน่าจะถามเรื่องของนาชาญจากป้าหลินได้บ้าง “เรื่องนั้นที่ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่นาชาญกำลังป่วยอยู่หรือเปล่าคะ”

“นาชาญเล่าเรื่องนั้นให้หนูฟังหรือ” เอวาแกล้งพยักหน้าเออออ ป้าหลินหยิบสร้อยพระที่คอมากำเอาไว้ก่อนยอมเล่าต่อราวกับอัดอั้นมานาน “อาการของนาชาญเหมือนกับตอนนั้นเลย หลังจากที่ไปปลุกคุณวุฒิให้ตื่นเขาก็ล้มป่วยแทนน่าสงสารจริงๆ  ยังดีที่ป้าไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายแต่ลุงเซียวก็ให้สร้อยพระเพื่อคุ้มครองป้าไว้”

“คุณลุงกับคุณป้าใช่ผู้มีวิชาหมอผีที่นาชาญรับสืบทอดหรือเปล่าคะ” 

“เขาเล่าเรื่องรับสืบทอดวิชาให้ฟังด้วยหรือ” น้ำเสียงของป้าหลินแสดงความแปลกใจ “แล้วหนูไม่คิดว่าเขาเสียสติอย่างนั้นหรือ”

“ไม่หรอกค่ะ พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อยทำให้หนูมองเห็นผีได้ ก็เลยรู้ว่าเขาพูดความจริงน่ะค่ะ”

“งั้นก็คุยกันง่ายหน่อย ลุงเซียวเป็นหมอเมืองของหมู่บ้านนี้ ลุงเขารู้วิชาสมุนไพร วิชาแพทย์แผนโบราณแล้วก็วิชาเกี่ยวกับไสยศาสตร์ต่างๆ คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ถ้ามีปัญหาเรื่องสุขภาพก็จะมาหาลุงเซียวนี่แหละ”

“งั้นคุณลุงก็เป็นคนรักษานาชาญตอนนั้นน่ะสิคะ”

“รักษาไม่ได้หรอก ฤทธิ์ยาจากผีนางไม้แบบนั้น ถ้าคุณวุฒิไม่ยอมเสียสละชีวิต พิธีรับขันธ์ของนาชาญก็คงไม่สำเร็จ”

“นาชาญทำพิธีรับขันธ์กับคุณลุงเซียวงั้นหรือคะ”

“ลุงเขาแค่ช่วยทำพิธีให้ แต่ผีฟ้าที่นาชาญรับเข้ามามีเงื่อนไขอื่นที่ใช้อัญเชิญอยู่ ไม่ใช่ใครก็สืบทอดได้นะ”

เอวาเกาหัวเริ่มไม่เข้าใจคำศัพท์หลายๆ อย่าง “ผีนางไม้กับผีฟ้านี่คืออะไรหรือคะ”

“คิดอยู่แล้วเชียวว่าหนูน่าจะไม่เข้าใจ ชาวล้านนามีความเชื่อเกี่ยวกับผีแต่ผีในที่นี้ก็แบ่งเป็นผีหลายประเภท ไม่ใช่หมายถึงผีตายโหงหรือวิญญาณเร่ร่อนอย่างเดียว” ป้าหลินหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ผีฟ้าหมายถึงเทพหรือเทวดาที่อยู่ในภพภูมิระดับสูง ส่วนผีนางไม้คือพวกคนธรรพ์ที่เป็นอมนุษย์กึ่งเทวดาระดับต่ำสุดอาศัยอยู่คนละภพภูมิกับมนุษย์แต่เป็นภพภูมิในโลกใบเดียวกัน พวกผีนางไม้มีทั้งดีและเลว มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นดินแดนของพวกเขาได้ แต่พวกเขาไปมาระหว่างสองภพภูมิได้”

เอวาพยักหน้าเหมือนจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น “แล้วฤทธิ์ยาของผีนางไม้ที่ว่านั่นเป็นยังไงหรือคะ นาชาญบอกแต่ว่าเขาป่วยแต่ไม่ได้บอกว่าหนักแค่ไหน”

“ยาสมุนไพรของผีนางไม้ก็คือสมุนไพรจากภพภูมิของคนธรรพ์ หาไม่ได้ในภพภูมิมนุษย์ หากสิ่งที่พวกเขาให้ดื่มคือยาพิษ ในภพภูมิของมนุษย์ก็ไม่มียาแก้พิษสมุนไพรจากภพภูมิของคนธรรพ์ได้ ถ้าจะมีก็ต้องเป็นสมุนไพรหรือวัตถุดิบของภพภูมิอื่นอย่างเช่นมักกะลีผลหรือเกล็ดพญานาค ซึ่งก็เป็นแค่ตำนานไม่เคยมีใครเห็นของจริง”

 “ไม่มียาแก้พิษหรือคะ” เอวาย่นคิ้วพยายามคาดคั้นป้าหลินต่อ “แล้วพิษที่ว่ามีผลยังไงบ้าง”

“ยาพิษที่ทำลายอวัยวะภายในสำคัญโดยเฉพาะปอดและหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้ในร่างกายเป็นเวลานานตับก็จะเสียไปด้วย” คำพูดของป้าหลินทำให้เอวานึกทบทวนอาการที่นาชาญแสดงออกมาหลังจากขับรถออกจากบ้านของทะนงที่เวียงกุมกาม “ตอนที่โดนพิษ เขาไอเป็นเลือดตลอดแล้วยังเสี่ยงกับอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้ทุกเมื่อ ลุงเซียวได้แต่ใช้ยาสมุนไพรประคองอาการเอาไว้ พอทำพิธีรับขันธ์สำเร็จนาชาญถึงได้รอด”

เอวาสีหน้าซีดเผือดถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วถ้าอยู่ๆ เขาก็กลับไปป่วยแบบเดิมอีก จะช่วยเขายังไงคะ”

“เป็นไปไม่ได้หรอก เขาทำพิธีรับขันธ์เป็นร่างทรงให้ผีฟ้าแล้วก็เหมือนยกขันธ์ห้าของตนเองให้กับผีฟ้า ไม่มีทางที่จะป่วยไข้ได้อีก” ป้าหลินขมวดคิ้ว “ยกเว้นแต่จะทำพิธีคืนขันธ์หรือไม่ได้เป็นร่างทรงแล้ว เขาถึงจะกลับไปมีอาการแบบเดิม”

เอวารู้สึกปวดหัวเริ่มคิดตามไม่ทัน เธอนึกถึงเรื่องงานที่มูลนิธิมอบหมายมาให้ก่อนกล่าวถามอย่างใคร่รู้ “ยาสมุนไพรของผีนางไม้ที่ว่านี่เกี่ยวกับเรื่องยาผีบอกที่ทำให้คนในหมู่บ้านป่วยอยู่ตอนนี้หรือเปล่าคะ”