ตำนานที่เล่าขานผ่านกาลเวลา เต็มไปด้วยปริศนาแห่งอดีตชาติ

วงศ์นาคา - 2 นาคปรากฎ โดย ทิพย์ชลาลัย @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,ลึกลับ,พญานาค,โรแมนติก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วงศ์นาคา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พญานาค,โรแมนติก,แฟนตาซี

รายละเอียด

ตำนานที่เล่าขานผ่านกาลเวลา เต็มไปด้วยปริศนาแห่งอดีตชาติ

ผู้แต่ง

ทิพย์ชลาลัย

เรื่องย่อ

‘วิรัลวีร์ วงค์ภุชงค์’นักศึกษาปริญญาโทเดินทางไปภาคอีสานเพื่อหาข้อมูลเรื่องความเชื่อพญานาคมาทำงานวิจัย ขณะที่หาข้อมูลกลับมี ‘ภาธร’ชายหนุ่มปริศนาปรากฎตัวขึ้น เขามาพร้อมกับตำนานที่ไม่เคยถูกเปิดเผย ความศรัทธาและสัญญาเก่าของใครบางคนที่รอคอยอยู่กำลังปรากฎขึ้นอีกครั้งท่ามกลางดินแดนแห่งพญานาคที่เต็มไปด้วยตำนานความรักโศกนาฎกรรม แท้จริงแล้วตำนานรักจะพาไปพบกับอะไรกันแน่!?








❗️เรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียนเพื่อความบันเทิงเท่านั้น บางสถานที่ ตำนานและตัวละครไม่ได้มีอยู่จริง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ

สารบัญ

วงศ์นาคา-1 บทนำ,วงศ์นาคา-1 บทนำ(ต่อ),วงศ์นาคา-2 หมู่บ้านนาคา,วงศ์นาคา-1 หมู่บ้านนาคา (ต่ออ),วงศ์นาคา-2 นาคปรากฎ

เนื้อหา

2 นาคปรากฎ

ระยะเวลาเดินทางจากวัดพระธาตุบังพวนมาหมู่บ้านนาคปรากฎใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นหมู่บ้านนาคปรากฎเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ในซอยเท่านั้น มีคนอาศัยไม่กี่คนแต่ชาวบ้านเชื่อเรื่องพญานาคมาก อย่างที่ใครมาเยือนก็ห้ามพูดหลบหลู่องค์พญานาคที่ชาวบ้านนาคปรากฎเคารพนับถือ เมื่อถึงหมู่บ้านพวกเธอได้พบกับผู้ใหญ่บ้านวัยชราที่ต้อนรับอย่างดีและเอ็นดูทีมนักศึกษาทุกคนด้วยว่าทุกคนที่มาล้วนสนใจและชอบฟังเรืี่องพญานาคกันอยู่แล้ว จึงไม่มีใครพูดลบหลู่แน่นอน


“ทำไมที่นี่ถึงชื่อว่าบ้านนาคปรากฎคะหรือเคยมีใครพบพญานาคเหรอคะ” เป็นอทิตยาที่ยกมือถามผู้ใหญ่บ้าน


“ฉลาดมาก ความจริงแล้วบ้านนาคปรากฎของเรามีมายาวนานแล้ว…” ผู้ใหญ่บ้านเริ่มเล่าที่ไปที่มาของชื่อหมู่บ้านและความศรัทธา


เมื่อก่อนบ้านนาคปรากฎเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ไม่ได้มีใครรู้จักมากมายจนตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ด้วยว่าธรรมเนียมของคนที่นี่นั้นรักสงบ ชอบฟังธรรม แต่ถ้ามีคนสนใจอยากเข้ามาศึกษาเรื่องราวของพญานาค ก็ยินดีให้เข้ามาเสมอ แต่มีกฎว่าห้ามพูดจาหลบหลู่เด็ดขาด เพราะชาวบ้านนับถือพญานาคเป็นสรณะ พญานาคที่พวกชาวบ้านนับถือเป็นพญานาคทั่วไปไม่ได้เป็นนาคาธิบดีิอะไร ไม่มีรูปร่างหน้าตาให้เห็น จนกระทั่งมีหญิงสาวในหมู่บ้านคนหนึ่งฝันว่าตนเดินลงไปถึงแม่น้ำโขง แล้วเห็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งยืนยิ้มให้ด้วยความเมตตา พร้อมกับมอบเกล็ดพญานาคเอาไว้ให้เพื่อปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้าน จากนั้นบุรุษรูปงามคนนั้นก็แปลงกายเป็นพญานาคดำลงไปในแม่น้ำโขง เมื่อเช้ามา หญิงคนนั้นนำเรื่องมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังและพากันเดินไปที่แม่น้ำโขงหลังหมู่บ้านและพบเกล็ดพญานาคเช่นเดียวกับในฝันจริงๆ ชาวบ้านจึงคิดจะนำเกล็ดนั้นมาตั้งไว้ในหอบูชากลางหมู่บ้าน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถดึงเกล็ดพญานาคขึ้นมาจากทรายได้ หญิงคนนั้นจึงอธิษฐานขอพญานาคตนนั้น จึงนำเกล็ดขึ้นมาได้ ชาวบ้านเลยเชื่อกันว่าหญิงสาวคนนั้นคงเคยเป็นอดีตคนรักของพญานาคผู้คุ้มครองที่นี่แน่ๆ หลังจากนั้นชาวบ้านจะเห็นท่านปรากฎตัวแค่วันออกพรรษาเท่านั้น จึงกลายมาเป็นหมู่บ้านนาคปรากฎ


“พวกหนูอยากลองไปดูเกล็ดพญานาคไหม?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย พลางนำเด็กๆ ลงไปที่หอบูชากลางหมู่บ้าน ภายในหอบูชามีรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่ เกล็ดสีเเดงเข้มน่าเกรงขาม ตรงหน้ารูปปั้นมีเกล็ดพญานาคสีแดงอมมุกวางอยู่บนพาน ข้างๆ มีบ่วงนาคบาศและมีดวงแก้วมณีนาคาสีแดงตั้งตระหง่านไว้


“สวยเหลือเกิน” ทุกคนอุทานออกมา เมื่อเห็นความงามอย่างประหลาดใจ


วิรัลวีร์ไม่สามารถหยิบมือถือมาบันทึกภาพได้ เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านไม่อนุญาต จึงนำสมุดเลคเชอร์คู่ใจมาจดบันทึกแทน การมาที่ภาคอีสาน ไม่ได้มาแค่นำความรู้ ความเชื่อจริงจากชาวบ้านไปทำงาน แต่มาเพื่อซึมซับอารยธรรมด้วย มา


ครั้งนี้ถือว่าเกินคุ้ม เธอไม่ได้รู้จักพญานาคแค่ผิวเผินตามตำราเรียนอีกแล้ว แต่ได้รู้จักพวกท่านมากขึ้นกว่าเดิม และมีหลายเรื่องราวที่เธอประทับใจ เช่น เรื่องที่หมู่บ้านนาคนครและบ้านนาคปรากฎแห่งนี้


“เกล็ดเป็นสีแดง แปลว่า วรกายของท่านก็คงเป็นสีแดงใช่ไหมครับ” หนึ่งในนักศึกษาถาม


“ไม่มีใครรู้คำตอบนั้น นอกจากหญิงสาวคนนั้นผู้สื่อกับพญานาคได้”


วิรัลวีร์หันมามองดวงแก้วมณีนาคา ก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว


“ใช่ กายของเราเป็นสีแดงเข้ม อันบ่งบอกถึงอำนาจของนาคนักรบ”


“พี่เวลา อะไรของพี่เนี่ย” เตชพัฒน์ถามรุ่นพี่สาวที่ตอบออกมาอย่างกับรู้อะไร และตอนนี้สายตาของชาวบ้านและทุกคนก็จับจ้องมาที่วิรัลวีร์เป็นตาเดียว


“ก็พวกเจ้าสงสัยไม่ใช่หรือว่ากายของเราเป็นสีอะไร เรามีกายมีแดงเข้มและมณีนาคาของเราก็เป็นสีแดง พญานาคที่มีกายสีแดง ล้วนเป็นพญานาคที่มีฤทธิ์อำนาจสูงด้วยว่าเป็นสีแห่งชาตินักรบ” วิรัลวีร์ตอบเสียงคล้ายคนละเมอ


“แล้วท่านชื่ออะไรขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนถาม เพราะแน่ใจว่าตอนนี้คนที่ตอบไม่ใช่นักศึกษาสาวแต่เป็นพญานาคเจ้าของเกล็ดนี้


“ชื่อเสียงเรียงนาม สำคัญไม่ หากแต่เคารพด้วยใจก็เพียงพอ”


สิ้นสุดเสียงนั้น ชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านก็ไม่กล้าถามอะไรอีก แต่จะทำอย่างไรให้พญานาคท่านออกจากจิตของวิรัลวีร์


นี่สิ การที่เด็กสาวสื่อกับท่านได้อย่างไร ค่อยว่ากัน ตอนนี้ต้องทำให้พญานาคท่านออกจากร่างของเด็กสาวเสียก่อน แต่ยังไม่ทันทำอะไร วิรัลวีร์ก็หอบหายใจแรงราวกับคนเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเพ่งมองที่มณีนาคาอีกครั้ง


‘ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบาก แต่เราไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้ ถ้าหากคนนั้นไม่ได้มีเชื้อสายพญานาค เราจึงจำเป็นต้องยืมเจ้า’


เสียงทุ้มลอยเข้ามาในโสตประสาทของเธอ ก่อนที่จะเงียบไป เสียงนั้นดูเกรงใจและรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่เธอไม่เป็นไร เธอไม่ถือ ด้วยเข้าใจว่าท่านคงอยากคุยกับชาวบ้านแต่ไม่สามารถบอกใครได้ในเมื่อหญิงสาวคนนั้นก็จากไปแล้ว ในหมู่บ้านจึงไม่มีใครสื่อกับท่านได้อีก


“เจ้โอเคไหมเนี่ย” ฉัตรดาวรีบเข้ามาดูอาการ


“ไม่เป็นไร”


“ตั้งแต่สิ้นหญิงคนนั้นไป ก็มีแต่หนูเท่านั้นที่สื่อกับท่านได้” ผู้ใหญ่บ้านพนมมือขึ้นไหว้พญานาค


“เหรอคะ?”


“ไม่เคยมีใครสื่อกับท่านได้ขนาดนี้มาก่อน”


ท่านคงเลือกเธอนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ดีวันหลังไปเลือกเตชพัฒน์แทนนะคะ สาธุ้! นายนั่นก็เป็นเชื้อสายพญานาคเหมือนกัน วันหลังไม่ต้องเป็นวิรัลวีร์ก็ได้เจ้าค่ะ เธอแอบบ่นในใจก่อนจะออกจากหอบูชากลางหมู่บ้านไป ระหว่างทางมีดอกกาสะลองร่วงหล่นลงมาตามทาง ราวกับมีคาถาเสก ทั้งๆ ที่ไม่มีลม แต่ดอกไม้กลับร่วงหล่นจากต้นลงมามากมาย


จะว่าไปตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่มีแต่เรื่องราวที่แปลกใหม่อัศจรรย์ใจเกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่างบรรยายไม่ถูกเช่นกัน แต่เธอเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี เธอรู้สึกแค่ว่ามีคนอยู่กับเธอเสมอคอยเดินตามเป็นเงา แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร อาจจะเป็นพญานาคสักองค์ละมั้ง เธอคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็ตอนอทิตยามาสะกิดให้ไปขึ้นรถตู้เพื่อไปทานอาหารกลางวันที่ร้านแดงเเหนมเนืองซึ่งเป็นอาหารเวียดนามที่ขึ้นชื่อของจังหวัดหนองคาย ใครมาก็ต้องซื้อกลับไปฝากครอบครัว แต่เสียดายที่เธอไม่ได้กลับบ้านในเร็ววัน จึงไม่ได้หิ้วติดไม้ติดมือกลับไปฝากครอบครัว อทิตยาเล่าว่าแดงเเหนมเนืองมีสูตรเดียวกับวีทีแหนมเนืองที่จังหวัดอุดรธานีเพราะเจ้าของร้านเป็นพี่น้องกัน จึงได้สูตรมาจากตระกูลเหมือนกัน อาจจะมีก็แค่เอกลักษณ์ที่ต่างกัน แต่ถ้าใครมาเที่ยวอุดรธานีและหนองคายไม่ได้มาซื้อแหนมเนือง ถือว่ามาไม่ถึง


“ตอนเย็นไปไหนต่อดีคะอาจารย์ หนูอยากไปถนนคนเดินค่ะ” อทิตยารีบอ้อนอาจารย์ และชวนวิรัลวีร์มาเป็นลูกคู่ในการขอไปเดินเที่ยวบ้าง


“ไม่น่ามีอะไรมากหรอกมั้งเจ้ซัน ผมว่าจตุจักรยังมีของเยอะมากกว่านะครับ” เตชพัฒน์โพล่งขึ้นทำลายฝันของสาวรุ่นพี่


“ช็อตฟีล!” อทิตยาเบ้ปาก


“จตุจักรมันไม่ได้ฟีลริมโขงนี่พี่เนสท์ ถึงที่นี่ไม่ได้มีของขายมากเท่ากรุงเทพฯแต่ได้บรรยากาศริมโขงนะคะ” ฉัตรดาวอธิบาย เพราะรู้ว่าพี่ชายตนไม่ได้เข้าใจเรื่องสวยๆ งามๆ หรือการเดินช้อปปิ้งของผู้หญิงมากนัก แม้จะมีน้องสาวคนนึงก็ตาม


“อยากไปก็ไป แต่พรุ่งนี้อย่าลืมนะเราจะไปคำชะโนดดินแดนพญานาคกัน” สิ้นสุดคำอาจารย์ นักศึกษาทุกคนก็ร้องด้วยความดีใจที่จะได้เดินเที่ยวผ่อนคลายบ้าง เพราะตั้งแต่มาพวกเขายังไม่ได้ผ่อนคลายเลย


“รับทราบค่ะอาจารย์ ได้ไปคำชะโนดทั้งทีพวกเราไม่พลาดแน่นอนค่ะ เสียดายก็แต่ไม่ได้ไปภูลังกาด้วย ที่นั่นน่าจะมีเรื่องราวมากมายไม่น้อยไปกว่าคำชะโนดเลยนะคะอาจารย์” วิรัลวีร์กล่าวตามประสาผู้สนใจในเรื่องพญานาค อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่เกิดมาครอบครัวก็หมั่นเล่าเรื่ิองพญานาคให้ฟังเสมอ ทำให้เมื่อเติบโตมาเธอกลายเป็นคนชอบฟังและอยากรู้เรื่องพญานาค ไม่ได้อยากรู้ว่ามีจริงไหม แต่อยากรู้จักเรื่องราวและตำนานต่างๆ


“ภูลังกาอยู่บึงกาฬ ค่อนข้างไกลพอสมควร ถ้าหากมีเวลาค่อยไปกันนะเด็กๆ แต่ผมคิดว่าแค่เรื่องที่คำชะโนดก็น่าจะมากพอที่พวกคุณจะไปทำงานต่อได้” อาจารย์ชายยิ้ม ก่อนจะเรียกนักศึกษาขึ้นรถตู้เพื่อไปเที่ยวที่ถนนคนเดินริมโขงของจังหวัดหนองคาย




เวลาประมาณหกโมงเย็นที่ถนนคนเดินเริ่มมีคนเยอะ เพราะน่าจะเป็นเวลาที่หลายคนเพิ่งเลิกงาน


หรือไม่ก็เป็นเวลาที่ทุกคนเริ่มออกใช้ชีวิตตอนเย็น ถนนคนเดินหนองคายไม่ได้มีของขายอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่ได้บรรยากาศริมโขงอย่างที่ฉัตรดาวว่า นี่คือสิ่งที่หาในกรุงเทพฯไม่ได้ การที่มองออกไปแล้วเห็นแม่น้ำโขงอยู่ข้างๆ แม้เวลาจะค่ำจนเริ่มมองไม่เห็นสายน้ำ แต่ก็ยังได้กลิ่นอายของมนต์ขลัง อทิตยาชวนฉัตรดาวไปซื้อไอศกรีมมะพร้าวที่ตักใส่ลูกมะพร้าวจริงๆ เรียกว่าไอศกรีมบาหยัน ส่วนเตชพัฒน์ก็เดินไปหาของกินจำพวกไส้กรอกอีสาน ยำวุ้นเส้น


วิรัลวีร์จึงเดินดูของมาเรื่อยๆ จนเกือบจะสิ้นสุดซอย ระหว่างทางก็เหลือบเห็นมีของขายหลากหลายแนว ไม่ว่าจะของเล่นเด็ก ของกิน ของใช้ เสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ ระหว่างที่สนใจเครื่องประดับแฟชั่นอยู่ เธอพบกับใครคนหนึ่งอีกแล้ว


ผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคนนั้น เขาหันหลังเหมือนกับตอนที่วัดพระธาตุบังพวน ทว่าครั้งนี้เธอไม่รอให้เขาหายไปต่อหน้าต่อตาเธออีกแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที


“ฉันเจอคุณที่วัดพระธาตุบังพวนเมื่อเช้า แล้วเย็นนี้ฉันก็เจอคุณอีก บังเอิญดีนะคะ” วิรัลวีร์ทักทายชายปริศนา


ชายหนุ่มหันหลังกลับมาพบกับวิรัลวีร์แล้วยิ้มบางๆ ให้ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางลักษณะดูใจดี อ่อนโยนเขาสบตาของหญิงสาวที่ยังสงสัยในตัวเขาไม่น้อย ก่อนที่จะตอบเธอกลับไปเสียงเรียบว่า


“คุณคิดว่ามันคือเรื่องบังเอิญหรือครับ? องค์มุจลินท์นาคราชอยู่ที่ไหนผมก็อยู่ที่นั่นเสมอ”


“คุณหมายความว่าอะไรคะ” เธอขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกทะแม่งๆ กับคำพูดที่ดูเป็นปริศนาของเขา






--------


ในที่สุดเขาก็เจอกันอย่างเป็นทางการแล้วค๊าาทุกค้นนน ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีมีงานที่มหาลัยเข้ามาแล้วก็แอบไปปั่นบทที่ 7 อยู่😅  หายไปตั้งนานกกลังได้บทที่ 7 เอง คืองานมันสเกลใหญ่มากค่ะ เล่นกับจินตนาการดังนั้นมันอาจจะต้องค่อยเป็นค่อยไปนะทุกคน แต่พยายามสุดมากๆเพื่อให้ทุกคนอ่านแล้วอินตามม ฝากติดตามต่แไปด้วยนะคะ บอกเลยว่าเรื่องราวของเราไม่ได้มีเท่านี้หรอกก มันลึกลับกว่านั้นเยอะ