หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ - ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

 'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ

สารบัญ

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 1 หมาตูดใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 5 ผู้สร้างระบบ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 8 ผจญภัยยามวิกาล,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 10 วิชาคาถามหัศจรรย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 11 สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 12 สนทนากับอาจารย์ใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 13 ร่างมนุษย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 14 ทัวร์นาเม้นต์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 15 ผู้ท้าทายในวันหยุด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 16 คืนบุกรุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 17 จักรพรรดิมารเสด็จ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 18 อาจารย์ใหญ่ ปะทะ จักรพรรดิมาร,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 19 โหมดจอมเวทย์ผู้พิทักษ์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 20 ช่วงเวลาบะหมี่สุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 21 ไม้กายสิทธิ์แหลกเป็นเสี่ยง

เนื้อหา

ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง

ภายในร้านขายสัตว์เลี้ยงซึ่งผมกำลังนอนซังกะตายนั้นมีผู้วิเศษตัวเล็กตัวน้อยเข้ามาเลือกสัตว์เลี้ยงตัวแรกของพวกเขาทั้งวันไม่ต่ำกว่าห้าสิบชีวิต พวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจหมาคอร์กี้ขาสั้นตูดใหญ่แสนนุ่มนิ่มน่าซุกรวมถึงไอ้จิ้งเหลนพ่นไฟนั่นด้วย เวลาผ่านไปไม่นานเหล่าสัตว์วิเศษภายในร้านต่างถูกขายไปจนหมด เจ้าของร้านหนุ่มเป็นชายชราหน้าตาดูใจดีโกยเหรียญทองจำนวนมากเข้ากระเป๋าใบเล็กเท่าฝ่ามือเด็กเล็กด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขล้น รอยยิ้มนั้นชวนให้นึกถึงคุณปู่ซึ่งตอนนี้กำลังป่วยติดเตียงอยู่ในโลกฝั่งโน้น 


โลกที่คาดว่าไม่มีวันได้กลับไป


"จบไปอีกวันไม่เห็นมีใครมารับข้าไปเลย" จิ้งเหลนไฟเอ่ยด้วยท่าทางเบื่อหน่ายเพราะทั้งร้านเหลือเพียงผมกับมันสองตัว อีกทั้งยังไม่ลดทอนทิฐิอีโก้ของตัวเอง "ข้าเป็นถึงจ้าวเวหาเลยนะเว้ย! ไม่มีใครอยากได้ข้าเลยหรือไงวะ? อ๋อ! เป็นเพราะค่าราคาแพงเลยไม่คู่ควรกับไอ้พวกยาจกสินะ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!"


ผมไม่พูดอะไรนอกจากชำเลืองมองป้ายราคา 2 เหรียญทองแดง ที่ติดอยู่ส่วนล่างของกรง 


ไม่ต้องเดาให้มากความก็น่าจะรู้ตัวแหละว่าเจ้าจิ้งเหลนใหญ่นี่ไม่ได้มีราคาเกินเอื้อมเลย แม้ผมไม่รู้เกี่ยวกับสกุลเงินของโลกคาโรเนียอย่างที่ฟีล่าบอกตามที


แสงอัสดงกำลังลาลับนั่นเป็นดั่งสัญญาณว่าชายเจ้าของร้านต้องปิดร้าน เขาเทอาหารเม็ดรูปร่างประหลาดลงในชามไม้พร้อมน้ำสะอาดยื่นผ่านเข้ามาในกรงโดยไม่ต้องปลดผนึก นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกหลงไหลในโลกนี้มากขึ้น


กริ๊ง! กริ๊ง!


หูของผมตั้งชันขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งคุ้นหู ไม่ใช่ไหนไกล เป็นกระดิ่งแขวนเหนือบานประตูเป็นสัญญาณว่าลูกค้ามาแล้ว


"อ้าา! ยินดีต้อนรับสู่ร้านขายสัตว์เลี้ยงลีครับ ต้องขออภัยสำหรับหนูน้อยนะ วันนี้มีสัตว์ให้เลือกแค่สองตัวเท่านั้น" ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดี "ถ้าวันพรุ่งนี้มาใหม่ยังไม่สายนะ คิดว่าจะมีสัตว์เข้ามาเพิ่มมากมายจนเลือกไม่ไหวเลยทีเดียว"

"ระ...โรงเรียนหนูเปิดวันพรุ่งนี้แล้วน่ะค่ะ ถ้าไม่มีสัตว์เลี้ยงไปสักตัว หนูต้องแย่แน่ ๆ เลยค่ะ" เด็กหญิงอายุประมาณสิบสองหรือสิบสามพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง 


ผมพยายามยื่นหน้าออกไปดู เธอมากับผู้เป็นแม่ซึ่งหน้าตาสวยสง่าเปี่ยมไปด้วยออร่าสีเงินพวยพุ่งออกมา...เดี่ยวนะ...? ทำไมผมถึงมองเห็นออร่าได้กันล่ะเนี่ย?


"สกิลต้นของคุณทอมคือ 'มองเห็นออร่า' ค่ะ สีของออร่าสามารถบอกระดับพลัง อารมณ์ความรู้สึกได้อย่างแม่นยำ" ฟีล่าอธิบาย "อย่างตอนนี้ออร่าของคุณแม่เด็กเป็นสีเงินซึ่งบ่งบอกว่ามีพลังแข็งแกร่งในตัวอย่างมากค่ะ ส่วนอารมณ์ยังไม่สามารถระบุได้ แต่หากเปลี่ยนสีนั่นหมายความว่าอารมณ์ได้แปรเปลี่ยนไปค่ะ"

"แบบนี้เอาคู่มือให้อ่านเลยก็ได้นะ" ผมกระซิบเบา ๆ พลางมองไปยังไอ้จิ้งเหลนพ่นไฟซึ่งตอนนี้มันใช้มือเกาะกรงแล้วพยายามยื่นศีรษะออกไปอย่างบ้าคลั่ง


ดูเหมือนอยากถูกรับเลี้ยงขนาดนั้นเลยสินะ...


"เลือกข้าสิ เลือกข้าสิ เลือกข้าสิ เลือกข้าสิแม่หนูน้อย" เจ้าจิ้งเหลนพ่นไฟดวงตาเรืองแสงเป็นประกายสีแดงอย่างน่ากลัว ผมถอนใจยาวก่อนฝุบลงนอนโดยไม่ลืมใช้ลิ้นกวักน้ำเข้าปากดับกระหาย

"เลือกน้องตัวนี้ค่ะ" เสียงเด็กหญิงคนนั้นดังกระชิดตัวจึงทำให้สะดุ้งตื่น 


ใบหน้าของเด็กหญิงกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผม ซึ่งแอบใจหายไม่น้อย


เธอเลือกผม?


"คุณลุงคะ หนูจะเอาตัวนี้" เธอหันไปมองชายชราเจ้าของร้านพร้อมชี้มายังผมเหมือนกับเป็นการจับจองไว้เพียงผู้เดียว

"ใช่ตัวนี้หรือเปล่าที่ได้ข่าวว่าสร้างความวุ่นวายบนถนน" ผู้เป็นแม่เข้ามาถามอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม สายตาของหล่อนเฉียบคมอีกทั้งยิ่งแต่งของตาเฉี่ยวคมราวกับนางเสือยิ่งชวนน่าหลงไหลขยี้ชายใจหนุ่ม ส่วนลูกสาวน่าตาพอไปวัดไปวาได้ สวมแว่นตากรอบดำทรงกลม ใบหน้าขาวสะอาดเนียนเรียวรูปไข่ ผมสีดำไฮไลค์สีชมพู แต่งตัวด้วยชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีดำ ภายในสวมเสื้อยืดสีขาวและมินิสเกิร์ตสีดำแถบขาวสองเส้นเผยเรียวขาเล็ก...อะ...เออ...น้องเขายังไม่อายุสิบแปดเลย เรามองไปถึงตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ทำเอาขาสั้น ๆ ป้อม ๆ ของเราเข้าคุกไปแล้วข้างนึงไหมล่ะ


"เห็นว่าเป็นอย่างนั้นครับ แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนก็ลองเป็นลูกมังกรตัวนี้ได้นะครับ ราคาแค่สองเหรียญทองแดงเท่านั้นเอง" ชายชราผายมือไปทางเจ้าจิ้งเหลนพ่นไฟซึ่งมันทำสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก


หน้าระรื่นเชียวนะแก


"มังกรตัวนี้ทำไมราคาถูกจังคะ?" ผู้เป็นแม่ถามพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เจ้าจิ้งเหลนอย่างสนอกสนใจในขณะที่ตัวลูกสาวกำลังจ้องมองมายังผมด้วยดวงตาอันเป็นประกายสดใส ออร่าของเด็กหญิงเป็นสีชมพูสดใสห่อหุ้มไปทั้งตัว ผมยืนขึ้นแล้วเอาขาหน้ายันลูกกรงพลางแลบลิ้นยาวออกเพื่อเรียกร้องความสนใจด้วยความน่ารักของตัวเอง แน่นอนว่ามันได้ผล

"แต่หนูอยากได้ตัวนี้ค่ะแม่จ๋า" สาวน้อยหันไปหาผู้เป็นมารดาพลางทำสีหน้าออดอ้อน


ดีมาก สู้เขาเจ้าหนู ถ้าเธอได้ผมไปจะทำให้มีความสุขไปชั่วชีวิตเลย


"แต่มันแพงเกินไปหรือเปล่า ตั้งสองเหรียญทองเลยนะ เทียบกับมังกรตัวละสองเหรียญทองแดงยังดูคุ้มกว่าอีก" หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่สนความรู้สึกของลูกสาวแม้แต่น้อย

"ว่าแต่ครับคุณผู้หญิง วันนี้ผมขายสัตว์เลี้ยงไปมากจนหมดร้าน เหลือแค่สองตัวที่ยังไม่มีใครสนใจอยากไปเลี้ยง การที่ผมตั้งราคาสองเหรียญสองไม่ได้หมายความว่าต้องการขูดเลือดขูดเนื้อแต่อย่างใด" เจ้าของร้านชราพยายามโน้มน้าวอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ดวงตาของเขาสุสกาวเปี่ยมไปด้วยพลังรวมถึงออร่านั้นอบอุ่นยิ่งกว่าใคร "ผมไม่คิดว่ามังกรตัวนี้จะเหมาะกับลูกสาวแสนน่ารักของคุณเท่าไหร่ เทียบกับหมาตัวนี้ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุดในร้านย่านนี้แล้วนะครับ"

"เอายังไงดีล่ะ...?" ผู้เป็นแม่ลังเล "เงินเดือนของพ่ออีกนานกว่าจะออก...ถ้าจะเอาตัวนี้จริงคงต้องงดมื้อพิเศษค่ำนี้แล้วล่ะจ้ะ"

"ถ้าอย่างนั้น..." ชายชราก้าวเข้ามาตรงหน้าพร้อมร่ายคาถาปลดผนึกด้วยไม้กายสิทธิ์ ในขณะเดียวกันลูกกรงซึ่งกักขังได้สลายออกเปิดช่อง มืออันเหี่ยวย่นแต่ใหญ่พอที่จะอุ้มร่างของผมออกมาอย่างทะนุถนอม ผมและเขาสบตากัน ตลอดทั้งวันที่ได้สังเกตการทำงานนั้นนับว่ามีจิตเมตตากรุณาต่อสัตว์ไม่ต่างจากลูกหลาน แม้ว่าสัตว์ตัวนั้นมีความดุร้ายเพียงได้ เหมือนมีมนตร์สะกดบางอย่างทำให้รู้สึกเชื่องอย่างว่าง่าย


เขายื่นผมให้แก่เด็กหญิง ดวงตาของเธอเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ


"ฉันซื้อเจ้านี่มาแพงก็จริง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าหมาและหนูน้อยคนนี้เหมือนจะเหมาะสมกันดี หากว่าขัดสนเงินทองนิดหน่อยผมอาจจะมองข้ามเรื่องนั้นได้" เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "อาชีพขายสัตว์เลี้ยงของผมนั้นมีเป้าหมายในการหาบ้านที่เหมาะสมกับพวกเขาเพื่อความสุขอันไม่มีวันสิ้นสุด เอ้า! รับไปสิ เจ้าหมาก้นใหญ่นี่เป็นของหนูแล้ว ลุงไม่คิดเงิน"


พวกเราแปลกใจกับชายชราเจ้าของร้านผู้นี้อย่างมาก โดยเฉพาะเจ้าจิ้งเหลนพ่นไฟที่ตอนนี้แสดงความโมโหโกรธาเป็นฟืนเป็นไฟ


ผมไม่รู้ว่าควรแสดงความดีใจอย่างไร เพียงโผเข้ามาแลบลิ้นเลียหน้าอย่างหิวกระหาย...แก้มเด็กสาวนี่มันนุ่มนิ่มเหมือนซาลาเปาไม่มีผิดจริง ๆ


"กำลังคิดอกุศลอยู่หรือเปล่าคะ?" ฟีล่าถามขึ้น

"ปะ...เปล่า!! แค่ทำให้สิ่งที่หมาตัวหนึ่งควรทำเท่านั้นเอง" ผมคิดในใจโต้เถียงกับระบบ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะราวกับว่าหัวใจของชายหนุ่มในร่างหมากำลังตกหลุมห้วงบางอย่างกับเด็กสาวคนนี้เข้าให้แล้ว 


หนะ....น่ารักแหะ...เป็นไปไม่ได้หรอก...ผมเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอนับจากนี้แล้วนี่


"ฉันชื่ออาเนียนะ ยินดีที่ได้รู้จัก หลังจากนี้ฉันจะตั้งชื่อให้แกว่า 'นัปโปะ' แล้วกันนะ"

.

.

.

หะ...


หนะ...นัปโปะ...นัปโปะ หม่ำ ๆ...หม่ำ ๆ กู๊ดบอยอะนะ...?


"ม่ายยยยย!!" ผมกรีดร้องในใจ


นี่ผมกลายเป็นหมาตั้งร่างกายและชื่อไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย!!


...............


บ้านของน้องอาเนียอยู่ท่ามกลางทุ่งนาซึ่งตอนนี้เหลืองอร่ามไปด้วยรวงข้าวโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร แม้จะเป็นเวลากลางคืนสายลมเย็นพัดพาความร้อนปลิวหายสร้างความสดชื่นระดับหนึ่งแก่ดวงใจที่ร้อนรุ่ม หลังจากอาเนียพามาถึงบ้านโดยถือผมซึ่งอยู่ในกระเป๋ากรงสีชมพูบ้องแบ๋วหวานแหววเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกหมาน้อยอย่างผม แต่รู้สึกว่าอยู่ในสถานที่คับแคบแอบทำให้หงุดหงิดขึ้นมายังไงยังงั้น นี่สินะสาเหตุที่สัตว์เลี้ยงทั้งหลายเกิดอาการเครียดเพราะอยู่ในที่แคบ ต่อให้อ่านสาเหตุมาจากหลายบทความก็ตาม ไม่สามารถสู้ประสบการณ์จริงได้เลยสักนิด


ผมนอนหมอบพยายามข่มตาหลับกลับทำไม่สำเร็จเพราะความหวาดเสียวที่ต้องเดินทางด้วยการขี่ไม้กวาด เชื่อเถอะว่าประสบการณ์เหินฟ้าครั้งแรกนั้นทำเอาขาอ่อนยวบทรุดลงไปเลยทีเดียว


ภายในบ้านตกแต่งด้วยชั้นหนังสือมากมายเรียงรายกันราวกับห้องสมุด ขนาดบ้านมองจากภายนอกไม่ได้ใหญ่โตเพียงใด กลับกลายเป็นว่าภายในกว้างขวางกว่าที่คิด อาเนียวางผมไว้กว้างบ้านก่อนเปิดประตูกรงด้วยไม้กายสิทธิ์


"คิสคูรเบลอ" เธอตวัดไม้เบา ๆ จากนั้นประตูกรงเหล็กได้อ้าออก รู้สึกถึงอิสรภาพอีกครั้ง


ผมก้าวเท้าน้อย ๆ ออกมาจากกรงสัมผัสกับความนุ่มของพรมก่อนพุ่งตัวออกไปมองรอบ ๆ จากนั้นหันหลับกลับมามองเจ้าของใหม่ซึ่งตอนนี้กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่


"วิ่งเล่นสำรวจได้เต็มที่เลยนะ เดี๋ยวฉันขอไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อน" อาเนียพูดพลางร่าไม้กายสิทธิ์ย่อขนาดกรงให้เล็กลงแล้ววางไว้บนชั้นวางของติดผนังรวมกับสิ่งของอย่างอื่นซึ่งถูกทำแบบเดียวกัน 


นี่น่ะเหรอโลกที่เวทมนตร์กลายเป็นชีวิตประจำวัน 


ถ้าผมใช้เวทมนตร์ได้แทนที่จะเป็นสกิลล่ะ?


"ฟีล่า นอกจากสกิลที่มีแล้ว ฉันจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่า?" ผมกระซิบถามในขณะที่คุณแม่เดินเข้าห้องครัวพร้อมกับอาเนียที่วางไม้กายสิทธิ์ไว้หลังเตาผิงแล้ววิ่งหายขึ้นไปชั้นสอง

"คุณ 'นับโปะ' ไม่ได้เรียนรู้การใช้เวทมนตร์มาก่อน จะให้ใช้ได้ในตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ค่ะ...คิคิ...นับโปะ..." ฟีล่าแอบหัวเราะอย่างเรียบเย็นก่อนปิดระบบชั่วคราว

"ให้มันได้อย่างนี้สิ ฉันเองก็ไม่อยากจะเป็นเพียงหมาโง่ ๆ คอยประดับตัวเจ้าของเหมือนในเกมหรอกนะ" สักพักผมก็นึกอะไรได้อย่าง "เผลอ ๆ หมาในเกมอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเราในตอนนี้ก็ได้"


ผมเงยหน้ามองไม้กายสิทธิ์ของอาเนียพลางนึกบางอย่างออก


"ฟีล่า...เฮ่! ฟีล่า ถ้าฉันจะใช้สกิลกระโดดสูงแบบก่อนหน้านี้ต้องทำยังไง?" ผมถามโดยที่ดวงตายังคงจับจ้องเป้าหมาย

"แค่นึกในใจว่า 'เปิดใช้สกิลกระโดดสูง' ระบบก็จะทำงานค่ะ" เสียงเอไอสาวตอบ

"งั้นก็..." ผมย่อตัวลงเล็กน้อยพยายามกะแรงให้ถูก เพราะไม่อยากกระโดดลอยไปเฉียดอวกาศอย่างเมื่อคราวก่อน "เปิดใช้สกิลกระโดดสูง"


ออร่าสีแดงห่อหุ้มร่างกายผมอีกครั้งก่อนสะกิดพื้นเพียงเล็กน้อย ร่างกายทะยานขึ้นไปเกือบแตะเพดาน ทันทีที่จำนนต่อแรงโน้มถ่วง ผมอ้าปากคว้าไม้กายสิทธิ์มาได้สำเร็จ


"เยี่ยมเลย!!" ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจโดยยังคาบไม้กายสิทธิ์ในปาก "เอาล่ะ...ก่อนหน้านี้เหมือนเคยได้ยินคนเสกคาถาว่าไงนะ...เอ็กซ์เปวซีมัส"


จู่ ๆ ปลายไม้กายสิทธิ์เกิดแสงสีแดงวูบวาบก่อนจะเกิดสายฟ้าสีเดียวกันพุ่งใส่กำแพงส่งผลให้วอลเปเปอร์ฉีกขาด 


ตูม!!


อีกทั้งอิฐฉาบปูนยังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่งผลให้คุณแม่ผู้ซึ่งกำลังปรุงมื้อค่ำต้องวิ่งมาดู


"เกิดอะไรขึ้น!?" เธอถามเสียงดัง ใบหน้าขึ้นตระหนกพร้อมยกไม้กายสิทธิ์ชี้ไปรอบห้อง แต่เมื่อเห็นผมกำลังคาบไม้กายสิทธิ์อยู่ยืนตะลึงไปชั่วครู่ แน่นอนว่าสีหน้าของผมบ่งบอกได้ถึงความบรรลัยที่จะเข้ามาเยือนในเวลาต่อมา


ผมปล่อยไม้กายสิทธิ์ลงพื้น


______________________________


To Be Continue Ep.3