หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ - ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

 'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ

สารบัญ

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 1 หมาตูดใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 5 ผู้สร้างระบบ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 8 ผจญภัยยามวิกาล,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 10 วิชาคาถามหัศจรรย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 11 สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 12 สนทนากับอาจารย์ใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 13 ร่างมนุษย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 14 ทัวร์นาเม้นต์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 15 ผู้ท้าทายในวันหยุด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 16 คืนบุกรุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 17 จักรพรรดิมารเสด็จ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 18 อาจารย์ใหญ่ ปะทะ จักรพรรดิมาร,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 19 โหมดจอมเวทย์ผู้พิทักษ์

เนื้อหา

ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง

แค่วันแรกผมถูกแม่ของอาเนียกักบริเวณอยู่ในห้องนอน โดยมีอาหารเม็ดและน้ำเป็นมื้อเย็น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงผมสมควรได้กินเนื้อติดกระดูกด้วยซ้ำ ส่วนกำแพงที่พังเธอใช้คาถาร่ายด้วยประโยคว่า 'ฟิกซาโจ้ว' เหล่าเศษอิฐปูนและวอเปเปอร์ทั้งหลายลอยกลับขึ้นไปประสานซ่อมแซมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ผมไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วว่าค่ำนี้จะได้ดื่มด่ำอะไร เพราะสุดท้ายหมาอย่างผมคงไม่มีลิ้นรับรู้รสชาติอะไรมากนักหรอก ขนาดอาหารเม็ดยังกินแบบไม่รู้รสเพื่อยืดชีวิต ในขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารเม็ดซึ่งหยอดไส้บางอย่างเหลว ๆ ด้านในช่วยให้กลืนลงท้องง่ายขึ้น จากนั้นค่อยใช้ลิ้นกวักน้ำใส่ปากเมื่ออิ่มแล้ว


หูอันตั้งแหลมรับรู้ถึงเสียงพูดคุยจากใต้พื้น อาจเป็นไปได้ว่าห้องทานอาหารครอบครัวนี้ตรงกับห้องนอนของอาเนีย ผมจึงตัดสินใจเอาหูแนบกับพื้นไม้กระดานพลางหลับตา เวลาผ่านไปจนไม่สามารถนับวินาทีที่ผ่านไปได้ เสียงนั่นหายไปแล้ว ผมคงหูแว่วไปเองนั่นแหละ เมื่อมองขึ้นไปยังเตียงของเจ้านายใหม่เห็นว่าเป็นฟูกนุ่มเนียนเย็นสบายพร้อมเครื่องปรับอากาศซึ่งติดอยู่บนเพดานทำให้ปรับอุณหภูมิในร่างกายท่ามกลางขนเหล่านี้เปรียบเสมือนเสื้อผ้าสำหรับห่อหุ้มร่างกายปกป้องจากอากาศทั้งหลายยกเว้นไอร้อนจากพระอาทิตย์และน้ำฝนจากเมฆทมิฬ ผมเอาศีรษะไปถูกับฟูกพลางเอนตัวอิงแอบแนบชิดพลางผล็อยหลับไป


.....


ไม่กี่อึดใจต่อมา ปลายจมูกอันเปี่ยมไปด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบคมสัมผัสถึงลมอุ่น ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอชวนให้นึกถึงอ้อมกอดแม่เมื่อสมัยยังเป็นทารก กลิ่นกายหอมดอกไม้ชวนเคลิ้มให้หลับไหล แต่เมื่อลืมตาตื่นจึงเห็นว่าไม่ใช่ผู้เป็นมารดา แต่เป็นเจ้านายใหม่ของผมนั่นเอง เธอโอบผมไว้ในอ้อมกอดแสนอบอุ่น เสียงหายใจเบา ๆ ชวนให้จิตใจสงบ


"ตื่นแล้วเหรอ...? นัปโปะ?" เสียงอันงัวเงียของเด็กสาวดังขึ้น ผมสะดุ้งเล็กน้อย "ฉันคงกรนดังไปมากสินะทำให้แกตื่นเฉยเลย"


ผมไม่ตอบอะไร ทำได้เพียงซุกหัวในอ้อมอกของเธอ ด้วยความที่เด็กสาวกำลังเติบโต หน้าอกยังแบนราบจึงถือว่าไม่เป็นการล่วงละเมิดทางเพศล่ะมั้ง...?


"ถามหน่อยสิ เธอใช้เวทมนตร์ได้ด้วยเหรอ?" เธอถามโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว เชื่อเถอะว่าผมแทบหยุดหายใจ แต่ก็นะ...เธอรู้ว่าผมขโมยไม้กายสิทธิ์เธอไปร่ายเวทย์ส่งเดชนับว่าเป็นความผิด เธอจับหน้าผมขึ้นมาสบตา ในความมืดมิด มีเพียงดวงตาอันสุสกาวของเธอที่ยังคงไสว "ฉันรู้ว่าแกพูดได้ ไม่อย่างนั้นคงร่ายคาถาไม่ได้หรอก"


เอ๊อะ!! ดิ้นไม่หลุดแล้วสินะเรา...


"ขะ...ขอโทษ..." ผมเอ่ยปากพูดพะงาบพะงาบพลางหูตกด้วยความสำนึกผิด "ไม่คิดว่าผมจะร่ายได้"

"แทบช็อกเลยนะเนี่ย แค่พูดล้อเล่นแต่ไหงกลับพูดได้ล่ะ?" เธอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ "นี่มันยิ่งกว่าคุ้มอีกนะเนี่ย"


ผมเลือกไม่พูดอะไร แต่อาเนียกลับร่ายคาถาฉายแสงบนไม้กายสิทธิ์


"แอสเซนดิโอ" ทันใดนั้นปลายไม้กายสิทธิ์มีแสงสว่างสีขาวปรากฎขึ้นไล่ความมืดเกือบสว่างไปทั่วห้อง ดวงตาของผมเบิกโตตะลึงให้กับเวทมนตร์อีกครั้ง แม้ว่าตัวเองก็สามารถใช้ได้ก็ตาม เธอยิ้มหวานให้ผมอย่างอบอุ่นแล้วลุกจากเตียงมุ่งหน้าไปยังตู้เสื้อผ้าทำจากไม้เก่า ๆ พลางเปิดลิ้นชักหนึ่งออกแล้วค้นบางอย่าง "แม้จะเป็นหมา แต่ถ้าพูดได้ ร่ายคาถาได้ จำเป็นต้องมีอะไรติดตัวบ้างล่ะ...เอ...ไปเก็บไว้ที่ไหนน้า...อ๊ะ! นี่ไงเจอแล้ว"


เธอชูไม้กายสิทธิ์อีกแท่งโดยจับปลายไม้ก่อนยื่นมาทางผม


"อันนี้เป็นไม้ด้ามแรกของฉัน แต่ตอนนี้มีด้ามใหม่แล้วจึงไม่มีเจ้าของ นับจากนี้มันเป็นของนัปโปะแล้วนะ" เธอคงรอยยิ้มแสนอบอุ่นไว้จึงมั่นใจว่าเธอไม่ได้พูดเล่นจึงคาบด้ามจับไว้ มันมีลักษณะไม่ต่างจากไม้ทั่วไป แต่ด้ามจับหนากว่าเล็กน้อย ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองก็เป็นผู้วิเศษเหมือนกับอาเนีย กลิ่นหอมของไม้แอปเปิ้ลชวนน้ำลายสอ ความหวานบาง ๆ ซึมผ่านประสาทการรับรสจึงกระจ่างว่าลิ้นไม่ได้ด้านชาอย่างที่คิด "กินอาหารเม็ดจืด ๆ คงไม่อร่อยล่ะสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้หาอะไรอร่อย ๆ ให้กินแทนนะ ไหนตอนนี้ลองร่ายว่า 'แอสเซนดีโอ' ซิ"


พอเวลาคาบไม้ไปด้วยและพูดไปด้วยรู้สึกไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่...เอาน่ะ เดี๋ยวคงต้องฝึกให้หนักแล้วสิ


"อะ...แอสเซน...ดิโอ..." ผมเอ่ยคำร่าย ในขณะเดียวนั้นปลายไม้กายสิทธิ์เกิดแสงส่องประกายสว่าง เด็กสาวเห็นดังนั้นจึงร่ายคาถาว่า 'วิกนา' เพื่อดับแสงที่ปลายไม้ของเธอ "ผะ...ผมทำได้แล้ว!" 

"ใช่! เก่งมากเลยหมาน้อยของฉัน!" เธอโผเข้ามากอดพร้อมลูบศีรษะอย่างเอ็นดูจากนั้นริมฝีปากประทับที่แก้ม ทันใดนั้นความเขินทำให้หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าปกติ


"อาเนีย!!" ความสุขจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อเสียงของแม่ดังมาจากชั้นล่าง อาเนียพยายามตั้งสติก่อนบอกคำร่ายให้ดับไฟก่อนอุ้มผมขึ้นไปนอนจากนั้นก็ซุกหน้าบนท้องนุ่ม ๆ ของผมก่อนแกล้งทำเสียงกรนเหมือนกับหลับไปแล้ว ผู้เป็นแม่เปิดประตูเข้ามา ผมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่ซ่านมาจากด้านหลัง สุดท้ายจึงหลับตาแกล้งทำเป็นหลับเหมือนกับเด็กหญิง


........


เช้าวันรุ่งขึ้นอาเนียตื่นแต่เช้า เธอใช้เวลาอาบน้ำ กินมื้อเช้าอย่างว่องไว ส่วนผมที่กำลังสวาปามอาหารเมล็ดแสนจืดชืดกับน้ำเปล่าไร้รสชาติอย่างรีบเร่งเพราะเด็กสาวจำเป็นต้องเอาผมไปที่โรงเรียนด้วย เธอบอกว่านี่เป็นปีแรกของเธอที่จะเข้าไปเรียนโรงเรียนเวทมนตร์อันดับหนึ่งของประเทศคาโรเนียหลังจากดั้นด้นเรียนวิชาการจากโรงเรียนประจำตำบลมาเป็นเวลานาน แม้เด็กก็สามารถใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียนได้ แต่จะมีเวทมนตร์สะกดคาถาอันตรายร้ายแรงเท่านั้น พอเมื่อครบอายุสิบแปดปี คาถานั้นจะเสื่อมไปโดยทันที


ไม้กายสิทธิ์ของผมถูกเหนบไว้ในช่องหนังที่ 'โซล่า' แม่ของอาเนียเป็นคนเสกให้หลังเหตุการณ์กำแพงเป็นนรูเมื่อคืน เธอพูดคุยกับลูกสาวในขณะที่ยังลงโทษผมว่าแปลกใจที่สัตว์เลี้ยงธรรมดาอย่างหมาคอร์กี้สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เธอบอกว่าจะซื้อไม้กายสิทธิ์ให้ผมหนึ่งแท่งเป็นกรณีพิเศษ แต่พอตอนเช้าเธอเห็นผมคาบไม้และร่ายคาถาฉายแสงไฟเธอยิ่งชอบใจเข้าไปใส่ เธอกอดรัดฟัดเหวี่ยงผมแตกต่างจากเมื่อคืนที่ไม่แม้แต่จะมองหน้า ในตอนนี้ผมมีเข็มขัดหนังสีน้ำตาลเข็มผูกติดส่วนเอว และมีซองหนังสีเดียวกันสำหรับเก็บไม้กายสิทธิ์อันเก่าของอาเนีย


ซึ่งตอนนี้เป็นของผมแล้ว


"ฝากดูแลพี่เขาด้วยนะลูก" หญิงสาวบอกพลางอุ้มผมขึ้นมาในระดับสายตา พอมองดี ๆ แล้วพอจะรู้ได้ว่าอาเนียได้ความสวยมาจากใคร ดูเหมือนว่าผมจะกลายเป็นบอดี้การ์ดให้เธอแล้วสินะ

"ครับ...แม่..." ผมตอบพลางตะลึงในความสาวและสวยของเธอ สิ่งต่อไปที่ไม่ได้คาดคิดได้เกิดขึ้น เธอดึงเข้ามากอดแน่น ๆ อย่างรักใคร่แรงจนแทบหายใจไม่ออก อีกทั้งหน้าอกเบียดเสียดใบหน้าผมจนแทบลมจับเลยทีเดียว


เมื่อถึงเวลาต้องไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ อาเนียเก็บเหล่าสัมภาระต่าง ๆ ไว้ในแหวนกระเป๋า ซึ่งต้องร่ายคาถาเปิดกระเป๋าว่า ''อะเปอลา โบซ่า"


แหวนกระเป๋าสีดำฉายแสงสีแดงบางอย่างขึ้นมาเป็นประตูมิติกว้างพอที่จะยัดกระเป๋าเดินทางใบโตได้หลายใบ อาเนียบอกให้ผมเข้าไปอยู่ในกระเป๋าแหวนเนื่องจากการเดินทางนั้นต้องใช้ไม้กวาดเพียงอย่างเดียวจึงอาจเกิดอันตรายได้ แน่นอนว่าผมทำตามที่เธอบอกอย่างว่าง่ายเพราะไม่อยากเสี่ยง อีกทั้งจะได้นอนเล่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงโรงเรียน


ภายในแหวนกระเป๋าเป็นเหมือนมิติไร้สิ้นสุด ข้าวของสัมภาระต่าง ๆ กระจัดกระจายล่องลอยในอากาศไร้แรงโน้มถ่วง นับเป็นครั้งแรกที่ผมลอยเคว้งคว้างเหมือนนักบินอวกาศแบบไร้ทิศทางแต่อิสระ แต่สำหรับผมมักเป็นฝันร้ายเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้นอนอย่างสงบแน่ ๆ เมื่อกระเป๋าถูกปิดด้วยคาถาผมจึงวางแผนหัดใช้คาถาต่าง ๆ ในมิตินี้มีกระเป๋าสำหรับใส่ตำราเรียนของอาเนียอยู่ ผมจึงเปิดมันออกพร้อมหยิบหนังสือปกแข็งลวดลายโบราณโดยหน้าปกเขียนว่า 'ประวัติศาสตร์โลกคาโรเนีย'


"แหวะ...เราล่ะเกลียดวิชาประวัติศาสตร์ที่สุด" ผมทำหน้าเบ้ก่อนยัดเข้าที่เดิมก่อนหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมา


'คณิตศาสตร์สำหรับผู้วิเศษ' อีกเล่ม 'วิทยาศาสตร์ปะทะเวทมนตร์' อีกเล่ม 'สัตว์วิเศษและถิ่นกำเนิด' อีกเล่ม 'ศาสตร์การปรุงยาขั้นเริ่มต้น' อีกเล่ม 'คาถามหัศจรรย์' อีกเล่ม....ไม่สิ เล่มนี้ถูกแล้ว!!


ตั้งแต่ค้นตำราในกระเป๋าจึงรู้สึกว่ามีเล่ม 'คาถามหัศจรรย์' นี่แหละเข้าท่าสุดแล้ว


เมื่อเปิดหน้าแรกก็พบกับคาถา 'ควบคุมลม'


"โห...เปิดมาหน้าแรกก็ของยากเลยเหรอเนี่ย...?" ผมทำสีหน้าเหยเกพร้อมเปิดหน้าต่อไปเจอคาถา 'แยกร่าง' นั่นทำให้ผมเกิดแววตาเป็นประกาย "เฮ้ย! เหมือนกับวิชาในการ์ตูนเลย! ไหน ๆ คำร่ายว่าไง...เออ...เวอร์..ซาโต้...คอร์...โป...เวอร์ซาโต้ คอร์โป สินะ คำนี้ยาวไปหน่อยแต่ก็ไม่ยากที่จะจำ"


"ขออภัยค่ะคุณนัปโปะ ดิฉันคิดว่าดิฉันไม่มีความจำเป็นต่อคุณอีกต่อไปแล้วน่ะค่ะ" จู่ ๆ ฟีล่าเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "ทางเบื้องบนได้เล็งเห็นว่าคุณสามารถฝึกฝนเวทมนตร์ได้จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่งระบบอย่างดิฉันแล้วค่ะ หลังจากนี้ดิฉันจะโดนดึงออกจากร่างของคุณเพื่อรับใช้ผู้ที่มาจากต่างโลกท่านอื่นค่ะ"

"ทำไมเพิ่งมาบอกกันล่ะ แล้วฉันจะยังพูดได้อยู่ไหม?" ผมถามอย่างตกใจ "อาเนียจะต้องเสียใจมาก ๆ ถ้าฉันกลายเป็นหมาพูดไม่ได้ ไหนจะสกิลเอ่ย เลเวลเอย?"

"ทั้งสกิลและเลเวลจะหายไปค่ะ แต่ดิฉันให้ของขวัญแก่คุณนัปโปะให้ยังสามารถพูดได้อยู่ค่ะ" คำตอบของฟีล่าทำให้ผมเบาใจ อย่างน้อยทั้งสกิลและเลเวลหายไป แต่ผมยังสามารถพูดและเรียนรู้เวทมนตร์ได้ จึงไม่มีอะไรจะต้องเสียใจ "แล้วพบกันนะคะ อ๋อ! ลืมบอกไปว่า หากไม่มีดิฉันแล้วการเรียนรู้และการร่ายมนตร์จะยากขึ้นนะคะ ขอให้โชคดีในโลกเวทมตร์ค่ะ"


เจ้าระบบสาวตัวแสบเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนสลายหายไป ผมตะโกนเรียกอยู่นานจนมั่นใจว่าเธอไปแล้ว พลางคับแค้นใจเล็กน้อยที่เอาเรื่องสำคัญที่สุดมาพูดเรื่องสุดท้าย


หลังจากนี้คงร่ายมนตร์ยากขึ้นเหรอ?

ขี้จุ๊ล่ะสิ!


ผมหยิบไม้กายสิทธิ์จากซองเก็บคสบไว้ในปากพร้อมร่ายคาถา 'แอสเซนดิโอ' เป็นอย่างที่คิด แสงไฟสว่างขึ้นมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ แต่ไม่กี่อึดใจต่อมามันกระพริบจนดับไปในที่สุด


ในช่วงเวลานั้นเองจึงทำให้ผมรู้ว่า...งานหยาบแล้วไง!


................


ไม่กี่อึดใจต่อมาอาเนียได้ขี่ไม้กวาดมาลงที่ลานกว้างซึ่งเบื้องหน้าเป็นประสาทสูงเสียดฟ้า แทนที่จะมีเมฆดำปกคลุมท้องฟ้ากลับว่างเปล่าจนแสงแดดสาดส่องไปทั่วมุม เด็กนักเรียนแต่ละคนแต่งตัวชุดนักเรียนอย่างเสื้อเชิ้ดสีขาวผูกโบว์สีดำ กระโปรงสั้นเหนือเข่าสีดำพร้อมถุงน้องยาวสำหรับนักเรียนหญิง ส่วนนักเรียนชายแต่งด้วยกางเกงขายาวสีดำ และเสื้อคลุมตัวยาวถึงข้อพับหลังเข่าสีดำ


"เฮ้อ! ถึงสักทีนะ" เด็กหญิงวาดไม้กายสิทธิ์ไปบนอากาศพร้อมร่ายคาถาเปิดแหวนกระเป๋า "อะเปอลา โบซ่า"


มิติกระเป๋าเปิดขึ้น ผมเดินออกมาพร้อมกับกองพลหมาคอร์กี้นับสิบจากนั้นเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งโดยมีผมยืนอยู่หน้าสุดพร้อมคาบไม้กายสิทธิ์ไว้ในปาก


---------------------------

To Be Continue Ep.4