หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ - ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

 'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ

สารบัญ

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 1 หมาตูดใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 5 ผู้สร้างระบบ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 8 ผจญภัยยามวิกาล,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 10 วิชาคาถามหัศจรรย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 11 สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 12 สนทนากับอาจารย์ใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 13 ร่างมนุษย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 14 ทัวร์นาเม้นต์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 15 ผู้ท้าทายในวันหยุด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 16 คืนบุกรุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 17 จักรพรรดิมารเสด็จ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 18 อาจารย์ใหญ่ ปะทะ จักรพรรดิมาร,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 19 โหมดจอมเวทย์ผู้พิทักษ์

เนื้อหา

ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย

"หนะ...นัปโปะ!?" อาเนียเบิกตาโตเมื่อเห็นกองทัพขนาดย่อมของสัตว์เลี้ยง ผมยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ กว่าจะฝึกคาถาแยกร่างได้สำเร็จก็แทบลากเลือด อีกทั้งยังไม่รวมฝึกคาถาอีกสองสามคาถาให้คล่องแคล่วโดยเฉพาะคาถาสำหรับโจมตี แน่นอนว่าคาถาไฟฉายนั่นผมกลับมาใช้มันคล่องแล้ว ไม่ติด ๆ ดับ ๆ เหมือนเมื่อก่อนหน้า 


ผมยิ้มอย่างภาคภูมิใจโดยลืมไปเลยว่าลานกว้างนี้มีเหล่านักเรียนที่พากันเดินทางมาลงจอดกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่น่าแปลกหากจะมีใครบางคนหยุดชื่นชมในความน่ารักของกองทัพน้อย ๆ จนกระทั่งมีถ่ายรูปด้วยกล้องมือถือ...เดี๋ยวนะ...กล้องมือถืองั้นเหรอ!?


"นี่อาเนีย! ในโลกนี้มีมือถือสมาร์ทโฟนด้วยเหรอ?" ผมกระซิบถามอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่าสมาร์ทโฟนจะมาถึงต่างโลกอันเต็มไปด้วยเวทมนตร์ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามกับวิทยาศาสตร์ เด็กหญิงทำหน้างงเล็กน้อยก่อนหยิบสมาร์ทโฟนสวมเคสสีชมพูขึ้นมาโชว์ "ก็มีกันหมดนะ โลกนี้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องงมงายก็จริง แต่มือถือพวกนี้เป็นสิ่งที่ถูกเสกมาด้วยเวทมนตร์ฉันจึงไม่คิดว่าสิ่งนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์หรอก มันก็แค่เครื่องมือเวทย์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารเท่านั้น"


'ที่หล่อนพูดมามันประกอบไปด้วยหลักวิทยาศาสตร์เกือบทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือไง...' ผมคิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา เพราะมันจะกลายเป็นว่าผมคือหมาหลุดคิวซี


"คลายคาถา" ผมเอ่ยคำร่ายพร้อมปล่อยกล้ามเนื้อที่เกร็งอยู่คลายลงทำให้หยุดการใช้คาถา ร่างแยกทั้งสิบร่างสลายหายไป นั่นยิ่งสร้างความชื่นชอบแก่เหล่าสาว ๆ ซึ่งมองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น


"ตายแล้ว น่ารักจังเลย สัตย์วิเศษเธอใช้เวทมนตร์ได้ด้วยเหรอ? มันเป็นตัวอะไรกันน่ะ ไม่เคยอ่านเจอในตำราเรียนเลย" เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาเชยชมหมาคาบไม้กายสิทธิ์ จากนั้นก็รัวคำถามใส่เป็นชุด "ว่าแต่เธอเป็นนักเรียนปีหนึ่งเหรอ? อย่างนั้นก็ปีนี้อาจจะเรียนหนักหน่อยนะ พอดีอาจารย์ใหญ่เกิดเปลี่ยนนโยบายการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล อ้อ! ลืมแนะนำตัวไปเลย เราชื่อ 'เฌอแตม' อยู่ปีสองจ้ะ ไม่ถือสาหรอกถ้าจะเรียกชื่อเฉย ๆ ได้ ว่าแต่น้องน่ารักจังเลยนะ"


มือนุ่มเล็กเรียวขาวลูบบนศีรษะผม ความอบอุ่นสบายแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ผมจึงเอียงศีรษะเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว จากนั้นไม่นานก็มีนักเรียนหญิงอีกหลายคนต่างเข้ามารุมลูบไล้ร่างกายผมจนรู้สึกจั้กจี้ไปหมด อาเนียเห็นดังนั้นจึงแอบช็อกไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าสัตว์เลี้ยงจะได้รับความนิยมมากขนาดนี้


"มีบัญชี 'มาจิ' หรือเปล่า? อยากไปติดตามจังเลย" เด็กหญิงคนหนึ่งยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปแล้วหันมาถามเจ้าของ

"อะ...เออ ยังไม่มีค่ะ พอดีเพิ่งได้รับน้องมาเมื่อวานช่วงค่ำ เลยไม่ได้มีเวลาทำความรู้จักน้องมากกว่านี้" อาเนียตอบด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย

"เดี๋ยวสิ ฉันจำเจ้าตัวนี้ได้ เคยเห็นมันกระโดดขึ้นไปบนฟ้าแล้วหล่นลงมาเกือบตัวเละคาพื้น โชคดีที่มีแม่มดคนหนึ่งเสกให้หยุดแบบเส้นยาแดงผ่าแปด!" เสียงใครคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นยิ่งทำให้โดนลูบ จับขา หยิกแก้ม ตีก้นกันยกใหญ่ยิ่งทำให้เกิดความหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย


"เอ้านักเรียน! วัวนนี้วันเปิดปีการศึกษานะ มัวจับกลุ่มทำอะไรกันอยู่! ไปเข้าแถวได้แล้ว!!" เสียงอันทุ้มต่ำดังขึ้นทำให้นักเรียนทั้งกลุ่มถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะพากันคว้าไม้กวาดบินออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ อาเนียหันไปเจอชายร่างสูงใส่ชุดสีดำคลุมทั้งร่าง ศีรษะโล้นเตียนสะท้อนแสงวูบวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งฉกรรจ์ขั้นสุดคงเป็นดวงตาซึ่งมีผ้าปิดอยู่ แสงอาทิตย์ขึ้นสาดแสงกระทบแผ่นหลังของเขาจนเกิดเงาดำทับร่างผมและอาเนีย ช่วงเวลานั้นแรงกดดันแสนอึดอัด หากสังเกตให้ดีพบว่า ณ บริเวณลานกว้างนั้นไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว ราวกับว่าถูกดึงมาอีกโลกอย่างไรอย่างนั้น


"สัตว์เลี้ยงของนักเรียนทุกตัวจำเป็นต้องอยู่ในกรงหากเจ้าของไม่ได้อยู่ด้วย" ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนให้เกิดความสะพรึงกลัว อาเนียมองเขาตาไม่กระพริบ ร่างกายสั่นเทิ้มไปหมด 


'ฝากดูแลพี่เขาด้วยนะลูก' คำพูดของโซล่าดังเข้ามาในหัว ผมจึงร่ายคาถาโจมตีใส่อีกฝ่ายทันที 


"สไตเคลโม!" ลูกบอลพลังเวทย์สีแดงพุ่งออกจากปลายไม้กายสิทธิ์เข้าใส่อีกฝ่าย ในวินาทีนั้นท่าทีของเขาไม่ได้แสดงออกถึงปฏิกิริยาใด ๆ ผมแสยะยิ้มคิดว่าการต่อสู้ในโลกเวทมนตร์นั้นแสนง่ายดายเหลือเกิน 


แต่แล้วเวลานั้นจึงได้รู้ว่าผมดูถูกโลกนี้เกินไป


ชายผู้นั้นตวัดไม้กายสิทธิ์ปัดลูกบอลเวทย์สลายหายไปอย่างง่ายดาย ผมยอมไม่ได้จึงจะเสกคาถาโจมตีด้วยคำสาป แต่แล้วอาเนียเข้ามาคว้าร่างผมไป


"หยุดนะนัปโปะ! ขืนทำแบบนี้ฉันจะถูกไล่ออกเอานะ!!" เธอร้องพลางดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาจากปาก

"ผมไม่หยุด มันจะทำร้ายอาเนีย! ผมจะจัดการมัน! ผมเรียนรู้จากในตำราของอาเนียมาแล้ว ครั้งต่อไปไม่พลาดแน่!!" ผมพูดเสียงดังพลางแยกเขี้ยวขู่ ไม่สนคำพูดของผู้เป็นนาย

"เขาคืออาจารย์นะ!" เธอพูดพลางตีก้นผมเบา ๆ หนึ่งทีพลางหยิกแก้มผมเพื่อเรียกสติ ทำให้ไม้กายสิทธิ์ตกลงพื้น "แถมเป็นอาจารย์สอนวิชาการป้องกันตัวด้วย แกชนะเขาไม่ได้หรอก!"


คำพูดของอาเนียทำให้ผมค่อย ๆ ดึงสติของตัวเองกลับคืนมา...ใช่...พอมามองดูดี ๆ แล้ว เจ้าหมอนี่มันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สามารถเเอาชนะได้เลย...ผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้เวทมนตร์เป็นไม่ถึงชั่วโมงอย่างผมกลับท้าทายอาจารย์ประลองออกจะห้าวเป้งเกินไปหน่อย ผมทำได้เพียงแยกเขี้ยวขู่เบา ๆ ก่อนเอาหน้าซุกอ้อมอกของผู้เป็นนาย ภายในใจเกิดความกดดันและหวาดกลัวอยู่เนือง ๆ


"เล่นกันแค่นี้แหละ ฉันไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่เจ้าสัตว์ก้อนขนนี้บังอาจยิงคำสาปใส่" อาจารย์วัยกลางคนกล่าวพลางพลางเก็บไม้กายสิทธิ์สีดำทมิฬใส่ลงใต้เสื้อคลุมตัวขาวถึงตาตุ่มสีดำ ดวงตาสีขาวราวมรกตจับจ้องมายังผม เชื่อเถอะว่าแววตาของเขาแทบเชือดเฉือนจิตใจผมเป็นเสี่ยง ๆ จึงไม่กล้าสบตา "ส่วนเธอก็หัดฝึกสอนดูแลสัตว์เลี้ยงยิงคำสาปให้ดีหน่อย ไปเข้าแถวได้แล้ว พิธีเปิดภาคเรียนกำลังจะเริ่ม"


เมื่อพูดจบเขาจึงวาร์ปหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งรอยแผลในจิตใจรอยหนึ่งไว้ จนผมแอบตั้งเป้าหมายว่าจะเอาชนะอาจารย์คนนี้ให้ได้


...............


ในห้องโถงใหญ่แห่งโรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์ เอสคูเรีย มีนักเรียนมากมายจากทั่วประเทศ หากนับกันด้วยสายตาอาจจะมีเกินพันคนเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าสัตว์เลี้ยงอย่างผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน จึงขอให้อาเนียเก็บผมไว้ในแหวนกระเป๋าโดยผมใช้เวลาในนั้นศึกษาเรื่องเวทมนตร์ แน่นอนว่าปกติผมไม่ชอบอ่านตำราเรียน แต่ตำราเรียนของโลกนี้ไม่ต่างอะไรกับนวนิยาย จึงอ่านได้อย่างไม่มีวันเบื่อ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์เวทมนตร์มีการบันทึกสงครามมากมาย การก่อกบฎของเหล่าเอลฟ์และไฮเอลฟ์ รวมถึงการสูญพันธุ์ของเหล่าออร์ค ผมใช้เท้าหน้าพลิกกระดาษตั้งแต่หน้าแรกอ่านไปเรื่อย ๆ ทุกตัวอักษรจนถึงหน้าสุดท้าย แน่นอนว่าไม่ลืมหยิบปากกาขนนกจุ่มหมึกขีดเส้นใต้จำความสำคัญของแต่ละบทเพื่อให้อาเนียเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น


ชาติที่แล้วผมค่อนข้างชอบเก็บตัวอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นเนิร์ดใส่แว่นที่ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนเพราะไม่เจ๋งพอ ข้อดีของผมมีอยู่ที่ผลการเรียนอันดีเลิศ คะแนนตัวเลขสวยหรูจนกระทั่งติดเกียรตินิจมอันดับหนึ่งของคณะ สวนทางกับชีวิตวัยทำงานอันขมขื่น สังคมมนุษย์เงินเดือนสำหรับนักศึกษาจบใหม่


พอได้มาโลกนี้ ผมจะเก่งจนทุกคนในโลกนี้จะต้องยอมรับในตัวผมในฐานะคอร์กี้จอมเวทย์ให้ได้


"นับโปะ ขอหนังสือวิชาประวัติศาสตร์หน่อยสิ" อาเนียยื่นมือเข้ามาในมิติแหวนกระเป๋า ผมพับมุมหนังสือก่อนคาบมันยื่นให้ ด้วยความที่มันเป็นหนังสือปกแข็ง รอยฟันของผมจึงไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อีกทั้งความหนาประมาณห้าร้อยหน้าขากรรไกรจึงตึงเล็กน้อย


หลังจากนั้นผมจึงหยิบหนังสือ 'คณิตศาสตร์สำหรับผู้วิเศษ' ออกมาอ่าน เนื้อหาของมันค่อนข้างง่ายสำหรับระดับความสามารถของผม ไม่รู้ว่าระดับการเรียนรู้ของอาเนียอยู่ในระดับไหน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากช่วยเหลือผู้เป็นนายแสนดีและเมตตาต่อผม


สุดท้ายจึงใช้เวลาอ่านหนังสือวิชาคณิตศาสตร์จนกระทั่งมืออันเรียวเล็กขาวยื่นเอาหนังสือประวัติศาสตร์คืนแล้วเรียกให้ออกมา


"นัปโปะหลับหรือยัง? ออกมาได้แล้วนะ" เสียงเด็กหญิงเรียก ผมจึงกระโดดออกมา ตอนนี้คาบวิชาเรียนประวัติศาสตร์ได้จบลงแล้ว ต่อไปเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ ในกรณีนี้ผมเป็นงงกับชื่อวิชาและพอเดาได้ไม่ยากว่าต้องใช้หนังสือเล่มไหนในการเรียน


เมื่อสังเกตภายในห้องเรียนแต่ละวิชานั้นการตกแต่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ตกแต่งด้วยเครื่องดับจากหลายยุคหลายสมัยราวกับว่ากำลังนั่งเรียนอยู่ในพิพิธภัณฑ์โบราณยังไงยังงั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจานชามปั้นดินเผาสีเทาดำ รูปภาพสีซีด ไม้กายสิทธิ์หักสองท่อนจำนวนมากหลากรูปแบบติดประดับบนกำแพง หากมองดี ๆ มันเหมือนรูปหน้าประหลาดซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นตัวอะไร 


ส่วนห้องเรียนวิทยาศาสตร์นั้นช่างแตกต่าง บนกำแพงมีแขวนกรอบรูปภาพติดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของมือถือ 'ไอโฟน' ตั้งแต่รุ่นแรกจึงรุ่นปัจจุบัน แน่นอนว่าผมเบิกตาโตที่ของใช้ในชีวิตประจำวันจากโลกของผมมาอยู่ในโลกนี้ ขากรรไกรผมอ้าค้าง ขาสั้นป้อมหยุดชะงักอยู่กับที่จนอาเนียต้องอุ้มขึ้น


"มองอะไรอยู่น่ะ?" เด็กสาวมองตามสายตา "อ๋อ! ของพวกนั้นเป็นเรื่องสมมุติขึ้นมาน่ะ วิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องงมงาย วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาเลือกตั้งแต่สมัยเรียนอยู่โรงเรียนประจำตำบลแล้ว ถูกนับว่าเป็นวิชาที่ไร้สาระน่ะ"

"แต่ดูเหมือนว่าเป็นวิชาบังคับของที่นี่สินะ" ผมกระซิบ


อาเนียพยักหน้า


"เด็กปีหนึ่งยังไม่มีสิทธิ์เลือกวิชาเรียนของตัวเองหรอก" อาเนียบอกพร้อมวางผมบนโต๊ะเรียน "ต้องสักประมาณปีสี่ถึงจะเลือกเรียนเองได้ ทั้งหมดต้องเรียนหกปีจบน่ะ"

"ก็เหมือนระดับชั้นมัธยมสินะ..." ผมพูดเบาในลำคอ "งั้นตอนนี้เทียบได้ว่าอาเนียอยู่มัธยมหนึ่งน่ะสิ...เมคเซ้น ๆ"

"พูดอะไรอยู่คนเดียว เอ้า! เข้าไปอยู่ในกระเป๋าเถอะ อีกแปปก็จะเริ่มเรียนแล้วนะ" อาเนียร่ายเวทย์เปิดมิติกระเป๋าแหวนขึ้นมา ในขณะเดียวกันผมเกิดนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ 


ผมทำสายตาอ้อนวอนจนเจ้านายสาว


"นัปโปะเป็นอะไร? ทำไมทำสายตาแบบนั้น?" เธอถามด้วยความตกใจ

"อยู่ในกระเป๋ามันเหงาง่ะ...ขอเรียนด้วยได้ไหม...?"


____________________________________


To Be Continue Ep.5