หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ
สุดท้ายอาเนียจึงไปขออนุญาตอาจารย์ 'สตีฟ' เพื่อให้สัตว์เลี้ยงอย่างผมเข้าเรียนด้วย และยังอ้างว่าผมเป็นหมาที่มีสติปัญญา สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี เขาจึงทดสอบผมโดยให้ชี้ไปยังนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก ด้วยท่าทางแสนมั่นใจในตัวเองสูงปิ๊ดซึ่งมองออกด้วยสีหน้าและแววตาภายใต้แว่นตากรอบทรงสี่เหลี่ยมไร้ขอบ ศีรษะโล้นเตียนไว้เคราสั้นเต็มครึ่งใบหน้า แววตาฉายแววความฉลาดเล่ห์กลอันหาใครเปรียบไม่ได้
"ไหนลองดูซิว่าแกจะชี้ถูกคนหรือเปล่า?" เขาพูดอย่างเย้ยหยันพลางกอดอกโดยไม่ได้สนใจลูกศิษย์ซึ่งเข้ามารุมล้อม โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ในความน่ารัก แต่ทำไมไม่รู้ถึงได้มาลูบก้นแทนที่จะลูบหัวกันก็ไม่รู้
นอกจากกรอบรูปชิ้นส่วนมือถือไอโฟนจำนวนสิบหกรุ่นตีบนกำแพงเรียงรายอย่างเป็นระเบียบขนานกับพื้นไร้ที่ติ ยังมีกรอบรูปของเหล่านักวิทยาศาสตร์มากมายติดบนผนังเรียงกันสะเปะสะปะไม่มีแพสเทิร์นตายตัว แน่นอนว่าผมรู้จักพวกเขาทั้งหมดในนี้ ไม่ว่าจะเป็น 'อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์' , 'กาลิเลโอ กาลิเลอิ' , 'โทมัส อัลวา เอดิสัน'...อ๊า! นี่ไง...'เซอร์ ไอแซก นิวตัน' ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก
ผมกระโดดลงจากโต๊ะวิ่งไปทางรูปสีน้ำมันขาวดำของชายวัยกลางคนใบหน้าเคร่งขรึมไว้ผมยาวดัดลอนเหมือนเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก่อนเผยิดหน้าแตะปลายจมูกกับรูปภาพ ประสาทสัมผัสทางจมูกของผมไวเป็นพิเศษจึงได้เปลี่ยนสีน้ำมันบาง ๆ ออกมาจากรูปภาพ นั่นหมายความว่ารูปพวกนี้อาจเป็นภาพของจริงหรือภาพเลียนแบบจากอดีตกาลของโลกผม
"ดูสิ ก้นน้องน่ารักมากเลย" เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดด้วยเสียงเล็กแหลม ใบหน้าแดงเจ้อย่างมาความสุขชอบใจ
"น้องมีไม้กายสิทธิ์ด้วย ฉันจำได้แล้ว เป็นน้องที่สามารถร่ายคาถาแยกร่างนั่นได้ไงล่ะ" เด็กผู้หญิงคนอีกบอก ทำให้ผมแอบเขินจนฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
"น้อนฟังรู้เรื่องด้วย! ดูสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย"
ด้วยคำตอบของผมทำให้อาจารย์สตีฟถามคำถามผมอีกสองสามคำถามเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เชื่อเถอะว่าไม่เอ่ยปากพูดสักคำ สร้างความตื่นเต้นแก่นักเรียนทั้งชั้น พวกเขาตกหลุมรักผมอย่างง่ายดายจนชายวัยกลางคนค่อนไปทางชรายอมแพ้ทั้งรอยยิ้มกว้างพร้อมผายมือให้เกียรตินั่งบนโต๊ะอาจารย์เพื่อรับฟังการเรียนการสอน แน่นอนว่าเนื้อหาวิชานี้เปรียบเสมือนวิชาแสนงมงายสำหรับเหล่าผู้วิเศษ ไม่ต่างอะไรกับนิยายขายฝันเหมือนโลกผมซึ่งเวทมนตร์นั้นเป็นเรื่องสมมุติ ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม แม้กระทั่งเทคโนโลยีเอไอที่ใช้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่ยังมีการถกเถียงกันว่าเอไอนั้นไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ออกมาเลย มันเป็นเพียงเครื่องปั่นรวมผลงานของทุกคนบนโลกรวมกันแล้วออกมาเป็นผลงานใหม่ ซึ่งนั่นอาจผิดหลักจริยธรรมก็เป็นได้ แน่นอนว่าในโลกของผมมีการถกเถียงจนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงตามโซเชียลมากมาย
ในขณะที่ผมนั่งฟังจึงสังเกตนักเรียนคนอื่นกำลังสัปหงก อาเนียยังตั้งใจฟังอาจารย์เล่าอธิบายเนื้อหาอย่างตั้งใจ แววตาของเธอเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด
"หาวว..." พอฟังเรื่องที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้วจึงรู้สึกง่วงขึ้นอย่างกระทันหัน สุดท้ายผมจึงนอนราบกับโต๊ะอาจารย์ เปลือกตาค่อย ๆ หนักอึ้งจนจิตวิญญาณหลุดสู่ห้วงนิทรา
.......
ภายในความฝัน
ผมยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าแสนดำมืด ไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือตัวเอง แต่สังเกตจากการขยับร่างกาย ดูเหมือนว่าผมกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แทนที่จะเป็นหมาคอร์กี้แล้วสินะ
.
.
.
ว่าแต่...ผมอยู่ที่ไหน?
"สวัสดีทอม" เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวโดยไม่ทันตั้งตัว เสียงนั่นฟังไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่มันทับซ้อนกันอย่างแปลกประหลาดไม่สามารถแยกออกสร้างความฉงนใจจนกระทั่งกระจ่างในประโยคถัดมา "เกิดเป็นหมาเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นฟีโลโซเฟอร์บอกว่าถูกไล่ออกมานี่ เธอทำอะไรให้นายไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?"
"คุณเป็นใคร? รู้จักกับฟีล่าแบบนี้แสดงว่าเป็นผู้สร้างระบบงั้นเหรอ?" ผมถาม โดยมีสิ่งหนึ่งตะโกนเข้ามาในใจว่าห้ามเชื่อเข้าคนนี้เด็ดขาด...ให้ตายสิ สัญชาตญาณของผมในช่วงนี้ยิ่งเฉียบคมอยู่เสียด้วย จึงก้าวถอยหลังไปเพียงหนึ่งก้าว แต่อีกใจกลับสงสัยใคร่รู้ คำถามมากมายผุดขึ้นเต็มหัวจนไม่สามารถเรียงลำดับก่อนหลังอย่างชัดเจน
"เดาได้ถูก เป็นไงล่ะ? ไม่นึกฝันมาก่อนเลยล่ะสิว่าจะได้เจอฉันเร็วขนาดนี้" อีกฝ่ายพูด เห็นได้ชัดในจินตนาการว่ากำลังยิ้มเย้าะอยู่
"เปล่าเลย ผมมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน...มัน...วิเศษมาก ๆ" ผมพูดตามความจริง "โลกทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?"
ผู้สร้างระบบเงียบไปพักหนึ่งก่อนภาพนับร้อยทะลักเข้ามาในสมองราวกับแผ่นฟิล์มเร่งความเร็วสูงสุด ผมมองเห็นภาพเหล่านั้นตีตาจำขึ้นใจ
ภาพของภรรยาสาวในงานศพของผมกำลังร้องให้กับเสี่ยรถเฟอร์รารี่โดยมีพ่อกับแม่ของผมมองด้วยสายตาอาฆาตแค้น ในความเป็นจริงภรรยา...ไม่สิ...อดีตภรรยาสาวนั้นแสยะยิ้มพลางบีบน้ำตาให้ไหลอาบแก้ม ช่างเป็นการแสดงแสนแนบเนียนจนผู้ร่วมงานไม่สังเกตเห็นยกเว้นแม่ เธอพุ่งเข้าไปกระชากเส้นผมอดีตลูกสะใภ้แรงจนเส้นผมหลุดจากหนังศีรษะกระจุกอยู่ในมืออันเหี่ยวย่นสั่นเทิ่มไปด้วยความโกรธราวเพลิงนรกลุกโซนอย่างบ้าคลั่ง เข่าคู่ทรุดลงกับพื้น น้ำตาอุ่นไหลอาบใบหน้าเมื่อเห็นหยาดน้ำไหลอาบแก้มของผู้เป็นมารดา
ผมผิดเองที่พาผู้หญิงคนนั้นเข้าบ้านทั้ง ๆ ที่ใครต่อใครห้ามเตือนแล้ว ความดื้อดึงของผมในวันนั้นกลายเป็นดาบสองคมย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ภาพเหล่านั้นตัดกลับมาดำมืดอีกครั้ง
"เห็นแล้วใช่ไหมว่าหลังนายตายเป็นอย่างไร สุดท้ายแม่นายก็ถูกจับเข้าคุกข้อหาทำร้ายร่างกาย ชู้รักของอดีตเมียนายเป็นถึงลูกนักการเมืองเชียวนะ สถานะอย่างแกตอนนี้ไม่ได้ขี้เล็บเลยสักนิด" ผู้สร้างระบบพูดด้วยน้ำเสียงเยอะเย้ยอีกครั้ง คราวนี้โทสะค่อย ๆ บันดาลขึ้นจนพุ่งเข้าไปอัดหน้าให้หงายโดยลืมไปว่าดวงตามองไม่เห็น "ใจเย็น ๆ สิ จะปล่อยให้ความโกรธมันครอบงำแบบนี้ต่อไปไม่ดีหรอกนะ ตอนนี้แกอยู่ชาติไม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับชาติก่อนแล้ว จะบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่สามารถส่งแกกลับไปชาติที่แล้วได้"
"แกจะบอกอะไรกันแน่?"
"จะบอกให้แกมูฟออนยังไงล่ะ"
"พูดง่ายเหลือเกินนะ ติดอยู่ในร่างหมาแบบนั้นมันไม่สะดวกเอาซะเลย" ผมกัดฟันแน่น
"แต่ยังดีกว่าร่างมนุษย์ล่ะน่า" ผู้สร้างกล่าว "จะบอกอะไรให้ว่า ฉันส่งวิญญาณมาเกิดที่นี่หลายครั้ง แกคือคนแรกที่ใช้เวทมนตร์ได้"
"อย่ามาเล่นลิ้นเปลี่ยนเรื่อง ตอนนี้ฉันอยากแก้แค้นให้บ้านั่นมากขนาดไหนรู้บ้างไหม?" ผมแยกเขี้ยวขู่
"หวา ๆ น่ากลัวหยั่งกับหมาแน่ะ ท่าทางเริ่มชินกับร่างหมาแล้วสินะ แถมยังเป็นหมาอันมีชื่อเสียงอีกด้วย ถ้าเปิดบัญชีโซเชียลในโลกนั้นคงมีคนตามเป็นล้านได้ไม่ยาก"
ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกมามากกว่านี้ มีบางอย่างพุ่งเข้ามาปิดปากแนบสนิท
"ฉันเบื่อที่จะต้องดูแกใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งแล้ว คงเร็วเกินไปที่แกจะมาพบฉันจริง ๆ นั่นแหละ" ผู้สร้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังก่อนเสียงดีดนิ้วดังขึ้น
เป๊าะ!!
.......
"นัปโปะ...นี่นัปโปะ ตื่นได้แล้ว! เย็นมากแล้วนะ" เสียงอาเนียดังเข้ามาในโสตประสาทฉุดประชากให้ตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริง เปลือกตาถูกยกขึ้น แสงสว่างสาดส่องเข้ามาทำให้ร่างกายรีบูทกลับมาทำงานได้อย่างเดิม ใบหน้าสวยของอาเนียจับจ้องอยู่ สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเลิกเรียนไปเพียงวิชาเดียว เส้นผมสีดำไฮไลค์สีชมพูยุ่งเหยิงเหมือนผ่านลมกรรโชคอย่างหนักหน่วง
"อะ...อาเนีย...หาววว!!" นี่ผมหลับไปหรือเนี่ย งั้นแสดงว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝันงั้นเหรอ? "ไปเรียนวิชาต่อไปกันเถอะ"
"พูดอะไรของเธอน่ะ พอคาบของอาจารย์สตีฟจบลงแล้วแกยังไม่ถึง เลยฝากกับอาจารย์ไว้แล้วฉันก็ไปเรียนอีกสองวิชาจนเลิกเรียนแล้วต่างหาก" เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หากสังเกตให้ดีเสื้อคลุมสีดำของเธอมีรอยเปื้อนเล็กน้อย
"สมบุกสมบันน่าดูเลยสินะ" ผมยิ้มตอบ
"สัตว์วิเศษพูดได้แบบนี้มีให้เห็นไม่มากในโลกคาโรเนียสักเท่าไหร่" อาจารย์สตีฟซึ่งนั่งตรวจการบ้านนักเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้งต่ำแต่เรียบเย็น ดวงตาหลังเลนส์แว่นชวนน่าพิศมัยจับจ้องไปยังงานตรงหน้าอย่างสบายใจ เขาถอดแว่นตาออกวางทับกระดาษการบ้านของเหล่านักเรียน "ดีใจที่ได้เจอนะ นัปโปะ จากนี้ก็เป็นเด็กดีแก่อาเนียเขาด้วยล่ะ วันนี้ดูเหมือนว่าจะสนุกกับคลาสเรียนของผมมากเลย ขอให้เป็นแบบนี้ไปตลอดนะครับ"
สายตาของเขาจับจ้องมายังผมราวกับต้องการบ่งบอกอะไรสักอย่าง แต่ไม่สามารถตีความสิ่งเหล่านั้นออกมาได้
...............
ดวงตะวันค่อย ๆ ตกลงจากฟ้าสู่ท้องทะเลแสนมืดมิด รอคอยวันที่ได้ลอยเหนือพ้นน้ำอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายามโพล้เพล้ สีน้ำเงินโทนม่วงไล่สีไปถึงสีแดงราวกับภาพวาด อากาศรอบข้างไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ลานกว้างเต็มไปด้วยนักเรียนปีหนึ่งคละพวกรุ่นพี่ซึ่งชวนกันเข้าชมรมต่าง ๆ ตั้งแต่ชมรมขี่ไม้กวาด ชมรมปรุงยา ชมรมร่ายคำสาป ชมรมคณิตคิดนอกใจ แม้กระทั่งชมรมกลับหอพักก็ยังมีซึ่งผมไม่เข้าใจเลยว่าจะจัดตั้งเพื่ออะไร
อาเนียใช้คาถายกสิ่งของที่เพิ่งเรียนมาจากวิชาคาถาวันนี้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เสื้อคลุมของเธอเปรอะเปื้อน เนื่องจากเธอไม่ต้องการขนของด้วยกำลังอันแสนน้อยนิดของตัวเอง แน่นอนว่าผมเองที่ไม่เคยเรียนรู้คาถานี้จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้
"ฉันรู้ว่าอาจขอมากไป แต่คาถาร่ายยกของให้ร่ายว่า 'อียอนนา' ไหนลองร่ายดูซิ" อาเนียวางหนังสือเล่มโตลงกับพื้น ผมทวนคำร่ายสองสามครั้งก่อนหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาพร้อมเอ่ยคำร่ายชัดเจน
"อียอนน่า!"
.
.
.
เงียบ...
"ทำไมละ?" ผมอ้าปากค้างจนไม้กายสิทธิ์หล่นลงพื้น
"เอาเถอะ คาถายกของมันร่ายยากมาก กว่าฉันจะทำสำเร็จก็หลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน" เธอชักไม้กายสิทธิ์ขึ้นพร้อมร่าย "อียอนน่า!"
หนังสือเล่มหนาต้านแรงโน้มถ่วงลอยขึ้นกลางอากาศมาอยู่บนมือ
"วันนี้เธอเรียนหนักมากไปหรือเปล่า เพราะของสัมภาระทุกอย่างอยู่ในแหวนกระเป๋านั่นหมดแล้วไง" ผมบอกพลางใช้เท้าอันนุ่มนิ้มเขี่ยน่องเบา ๆ แต่จู่ ๆ เล็บของผมดันไปเกี่ยวกับถุงน่องจนขาด อาเนียจึงโขกหัวผมเบา ๆ หนึ่งที
"มันก็จริง วันนี้เรียนหนักเกินไปนั่นแหละ งั้นปัญหาคลี่คลาย เราไปนอนกลิ้งบนหอพักให้สบายกันเถอะ!" เด็กสาวดีใจที่ปัญหาถูกเคลียร์อย่างงง ๆ ก่อนเดินไปยังจุดหมายซึ่งมีป้ายเขียนบอกทางนำมาถึงตึกหอพักสูงตระหง่านไปจนถึงท้องฟ้า
ผมและอาเนียอ้าปากค้าง เธอหยิบซองจดหมายขึ้นมาอ่าน
"ห้อง 704..." เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ่มร่างกายสั่นเทิ่มไปด้วยความกดดัน "นั่นหมายความว่า..."
"ชั้น 70 ห้อง 4 งั้นเหรอ...?"
_____________________________________
To Be Continue Ep.6