หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ - ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

 'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ

สารบัญ

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 1 หมาตูดใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 5 ผู้สร้างระบบ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 8 ผจญภัยยามวิกาล,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 10 วิชาคาถามหัศจรรย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 11 สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 12 สนทนากับอาจารย์ใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 13 ร่างมนุษย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 14 ทัวร์นาเม้นต์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 15 ผู้ท้าทายในวันหยุด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 16 คืนบุกรุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 17 จักรพรรดิมารเสด็จ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 18 อาจารย์ใหญ่ ปะทะ จักรพรรดิมาร,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 19 โหมดจอมเวทย์ผู้พิทักษ์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 20 ช่วงเวลาบะหมี่สุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 21 ไม้กายสิทธิ์แหลกเป็นเสี่ยง

เนื้อหา

ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า

ตึกหอพักของเหล่านักเรียนแห่งโรงเรียนเอสคูเรียตั้งอยู่มุมสุดของเกาะซึ่งล้อมรอบไปด้วยทะเลเชื่อมต่อไปยังมหาสมุทร อาเนียเล่าว่ามหาสมุทรแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตจำพวกเผ่ามนุษย์เงือก คราเค่นและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เรื่องราวเหล่านั้นต้องปัดทิ้งไปเสียก่อน เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับหอพักสูงเสียดฟ้า


“อาเนียคิดว่าจะมีลิฟต์ไหม?” ผมถามเสียงสั่นเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าเธอจะให้คำตอบชื่นใจสำหรับหมาน้อยขาสั้นโหลดต่ำตัวนี้แอบหวั่นใจว่าอาจจะต้องเข้าไปอยู่ในแหวนกระเป๋าแสนน่าอึดอัดอีกครั้ง แต่นั้นจะเป็นการกินแรงผู้เป็นนายอย่างแรงเลยทีเดียว

“ไม่รู้เลย” เธอเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตึกหอพักสูงตระหง่านจนแตะเมฆชั้นสูงสุดไปแล้ว หากกระโดดเบา ๆ สักครั้งอาจหลุดชั้นบรรยากาศไปเลยก็เป็นได้ “ว่าแต่มันคืออะไร?”


เมื่อได้ยินคำถามซึ่งตอบกลับมาจากอีกฝ่ายจึงหมดหวังเรื่องตู้ขนส่งโดยสารแสนสะดวกสบายนั่นแล้ว พอกะระยะด้วยสายตา อาจมีไม่ต่ำกว่าสองร้อยชั้น…คนพวกนี้สร้างตึกสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ได้ยังไง? หากตึกสีเหลี่ยมธรรมดาสูงใหญ่ไปอยุ่ในโลกของผมคงเอาชนะตึกเบิร์จคาลิฟาทาวเวอร์ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างแน่นอน แถมเจ้าตึกนั่นยังสูงกว่าแปดร้อยเมตร หากตึกหอพักธรรมดานี่สูงกว่าอาจจะสักสองสามกิโลเห็นจะได้


“ถ้าเสกคาถาลอยตัวแล้วบินขึ้นไปล่ะ?” ผมออกความเห็นโดยขายังสั่น

“หนะ…นี่…คิดในแง่ดีหน่อยสิ ไม่แน่อาจจะมีคนส่งถึงชั้นนั้นเลยก็ได้“ อาเนียเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นระริก มือไม้มีเหงื่อชุ่มไปหมด ”อีกอย่าง…คาถาลอยตัวมันไม่สามารถเสกให้ตัวเองลอยได้ แถมยังต้องใช้สมาธิอย่างมาก“


หนทางไปสู่ชั้นที่เจ็ดสิบนั้นช่างยาวไกล แต่กระนั้นเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปผ่านประตูใหญ่จนเจอห้องโถงกลางชั้นหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนซึ่งกำลังนั่งทำการบ้านหรือกิจกรรมหลังเลิกเรียนที่โต๊ะยาวสร้างจากไม้สีดำวางเรียงรายสองแถวยาวไปจนสุดสายตา แตกต่างจากภายนอกที่ควรแคบกว่านี้ กำแพงก่อด้วยอิฐเปลือยไม่ฉาบปูนซีเมนต์มีคบเพลิงประดับห่างในระยะเท่ากัน สร้างความสว่างให้แก่ห้องโถงเทียบเท่าหลอดไฟอย่างน่าอัศจรรย์ 

”เลิกเรียนแล้วสินะ“ เฌอแตมเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มอันมีเสน่ห์เปี่ยมล้นจนผมถึงกับต้องหลบตาด้วยความเขินอาย ”ที่นี่ค่อยข้างซับซ้อนในการเดินทาง แต่หากฝึกคาถาหายตัวได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วล่ะ“


อาเนียพ่นลมหายใจออกทางปากราวกับว่าความอัดอั้นในใจถูกยกออกจากอกจนหมด เธอเดินตามรุ่นพี่ไปยังบันใดหินซึ่งเหลืออยู่เพียงไม่กี่ขั้น พอเงยหน้ามองขึ้นไปจะเห็นว่าห้องต่าง ๆ ถูกซอยแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นบล็อคสี่เหลี่ยมลอยเรียงรายอยู่บนอากาศอย่างเป็นระเบียบ ยาวไปจนสุดซึ่งเห็นเพียงแต่เงามืดแสงสว่างจากตรงนี้ส่งไปไม่ถึง ผมอ้าปากค้างให้กับสิ่งนี้ หากผมเดินละเมอเปิดประตูออกไปคงได้ไปเกิดใหม่อีกโลกแน่ ๆ 


"แล้วคาถาหายตัวเราจะได้เรียนกันเมื่อไหร่เหรอคะ?" อาเนียถามพลางเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนสลับกับมองแท่นบันใดสี่ขั้นสร้างด้วยหินอ่อนนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน

"คาถาหายตัวจะได้เรียนตอนปีสาม แต่พ่อแม่ของเราหัดให้ตั้งแต่ไหนแต่ไร...ดูนะ" เด็กสาวยิ้มพร้อมเขยิบตาหนึ่งข้างก่อนทำการวาร์ปหายตัวไป อากาศแสนว่างเปล่าแทนที่ในพริบตาเดียว พร้อมเสียงลมเบา ๆ จากนั้นมีนิ้วเรียวมาสะกิดใหล่อาเนียจนเธอตกใจเล็กน้อยพร้อมหันหลังขวับอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่สวยเบิกโตเป็นประกายเผยให้เห็นความดีใจแผ่เป็นออร่าสีชมพูสดใส


ผมมองการหายตัวแทบไม่ทัน แต่เชื่อเถอะว่าคาถานี้ผมอยากเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยชาติก่อน ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวจากหลายชั่วโมง 


มันช่างง่ายดายเหลือเกิน


"คาถานี้ฝึกยากกว่าคาถาลอยของอีกนะ อาจต้องฝึกกันเป็นครึ่งปีเลยทีเดียว" เธอยิ้มพลางลูบศีรษะอาเนียด้วยความเอ็นดู "เอาล่ะ เดี๋ยวพาขึ้นไปที่ห้องพักละกัน ห้องของอาเนียเบอร์อะไรล่ะ?"

"เบอร์ 704 ค่ะ" เด็กสาวตอบ ใบหน้ามีเลือดฝาดมากกว่าปกติ

"งั้นก็ชั้น 7 ห้องที่ 4 สินะ" เธอท้าวเร็วก่อนใช้ไม้กายสิทธิ์ร่ายไปที่บันไดหินสี่ขั้นก้อนนั้น มันลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย เฌอแตมพาพวกเราขึ้นมาบนนั้นก่อนเอ่ยเลขห้อง ทันใดนั้นหินอ่อนขั้นบันไดบินทะยานขึ้นไปกลางอากาศ ผมเกาะขาของอาเนียไว้แน่นกลัวว่าจะเสียหลักหล่นลงไป


เพียงไม่กี่อึดใจเจ้าหินพาขึ้นมาถึงชั้นเจ็ดห้องสี่อย่างปลอดภัยโดยแนบสนิทกับระเบียงหน้าประตูซึ่งยื่นออกมาประมาณหนึ่งเมตร ท่ามกลางความมึนงงในตัวเลขของอาเนีย ทำให้เธอแปลกใจไปชั่วขณะ


"นึกว่าเป็นชั้นที่ 70 เสียอีก" เธอว่า "ทางโรงเรียนไม่ได้แจ้งให้ชัดเจนเลยนี่"

"ปกติแหละ" เฌอแตมยักใหล่ "บางอย่างทางโรงเรียนอยากให้ตีความเอาเองเสียมากกว่า ปีที่แล้วเคยไปผิดห้องจนอายเกือบปี แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ อ้อ! ถ้าจะเปิดประตูต้องใช้ไม้กายสิทธิ์แตะที่ลูกบิดเท่านั้นนะ มันเป็นกลไกป้องกันหากผู้ไม่ใช่เจ้าของห้องบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว"

"หมาของฉันใช้เวทมนตร์ได้ ถ้ามันต้องการไปไหนมาไหนตัวเดียวจะทำยังไงดีคะ?" อาเนียถามโดยไม่มองผมที่ยังคงเกาะเรียวขาอย่างเนืองแน่น แต่เมื่อผมเงยหน้ามองบนจึงเจอกับอะไรบางอย่าง


โอ๊ะ...สีขาวลายหมีน้อยงั้นเหรอ...?


"อันนี้ไม่รู้เหมือนกันแหะ แต่ปกติไม่มีใครเอาสัตว์เลี้ยงไปเรียนด้วยหรือปล่อยให้พวกเขาไปไหนมาไหนตามลำพังหรอกนะ" เฌอแตมบอกพลางกอดอก "ถ้าเป็นสัตว์จำพวกนกก็ปล่อยให้มันบินว่อนไปเรื่อยเดี๋ยวกลับมาเองถ้าฝึกจนเชื่องพอ แต่ถ้าเป็นน้องนัปโปะไม่น่าจะยากเท่าไหร่ ถ้าจะไปไหนก็ใช้ไม้กายสิทธิ์เรียกแผ่นหินมาได้ หรือไม่อย่างนั้นเรียนคาถาหายตัวไว้ไม่เสียหาย เอาใจช่วยอยู่นะจ๊ะ"


ใบหน้าของผมแดงก่ำเมื่ออีกฝ่ายเขยิบตาให้


"เอาล่ะ เข้าห้องเถอะ จะได้พักเอาแรงให้เต็มที่ พรุ่งนี้ยังมีเรียนอยู่ อย่าลืมทำการบ้านก็แล้วกัน ไม่ได้ตั้งใจขู่นะ แต่การบ้านของที่นี่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ไปแล้สนะ บ๊าย! บาย!" เฌอแตมโบกมือก่อนหายตัวไปกลางอากาศ


อาเนียหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาพร้อมแตะปลายไม้ที่ลูกบิดประตูทำด้วยทองเหลือง ทันใดนั้นเองได้ยินเสียง 'กริ๊ก' เปรียบดั่งสัญญาณว่าประตูถูกปลดล็อกเป็นที่เรียบร้อย เธอจะเปิดประตูเข้าไป


ภายในห้องกว้างขวางกว่าที่เห็นจากด้านนอกถึงสองเท่า มีแชนเดอเรียประดับด้วยแก้วคริสตัลห้องลงมาจากเพดานอย่างหรูหราอลังการมากมาย รูปร่างของห้องเป็นรูปสี่เหลี่ยม ทาสีผนังด้วยสีขาวนวล มีหน้าต่างบานขนาดกลางรอบทิศซึ่งเปิดออกมาเจอกับข้างห้องพอดี สำหรับเด็กผู้หญิงต้องการพื้นที่ส่วนตัวแบบมิดชิดจึงยากกว่าหากไม่มีผ้าม่าน แน่นอนว่ามันปิดทึบแนบสนิทมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกลุกล้ำความเป็นส่วนตัว


เมื่อมองไปรอบห้องมีโต๊ะญี่ปุ่นกว้างสองเมตรตั้งวางอยู่กลางห้อง พื้นปูเสื่อทาทามี่นุ่มเท้ายามได้เหยียบย้ำลงไปสร้างความสบายเนื้อสบายตัวจนอยากทิ้งตัวลงนอนตรงนั้นเลยทีเดียว จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีทั้งเนื้อตัวแนบไปกับพื้นเสื่อแสนเย็นนุ่มเป็นที่เรียบร้อย 


"เสื่อนุ่มสบายจัง จะให้นอนกลิ้งไปมาอย่างนี้ทั้งวันยังด้าย!" ผมกลิ้งไปกลิ้งมาพลางหลับตกก่อนพลาดท่าศีรษะโขกขาโต๊ะจนภาพสะเทือน 


อาเนียร่ายคาถาเปิดแหวนกระเป๋าแล้วร่ายคาถายกของออกมา ซึ่งมีกระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลอ่อนใบใหญ่หนึ่งใบ กระเป๋าเป๋สำหรับสะพายไปเรียน ออกไปเดินเล่น และออกไปเที่ยว จากนั้นค่อยร่ายปิดกระเป๋า


"แบบนี้ต้องช่วยกันแล้วนะนัปโปะ จะได้ฝึกใช้คาถายกของได้คล่อง ๆ" เธอบอกก่อนนั่งลงกับพื้นข้างตัวแล้วอุ้มร่างผมขึ้นมากอดราวกับตุ๊กตา จากนั้นซุกหน้าลงกับหน้าท้องแล้วสูดกลิ่นจนเต็มปอด "กลิ่นหมานี่มันหอมจริง ๆ เลย"


เมื่อปล่อยผมลงและหันไปเปิดกระเป๋าเดินทางออก ในทีแรกผมคิดว่าภายในจะเสกคาถาขยายพื้นที่เสียอีก เสื้อผ้าต่าง ๆ สำหรับมนุษย์เพศเมียอัดแน่นกันอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด กางเกงยืน กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม กระโปรง ชุดนักเรียน ชุดนอน รวมถึงชุดชั้นในหลากหลายสีชวนให้ผมเกิดหน้าแดง ถูกมนตร์สะกดของมันเล่นงานจนล็อกดวงตาไม่สามารถล่อกแลกไปไหนได้


"จะจิ้มให้ตาแตกเลยนัปโปะ แกเป็นตัวผู้ไม่ใช่เหรอ?" อาเนียหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ รังสีอำมหิตแผ่มาจากด้านหลัง จู่ ๆ ไม้กายสิทธิ์เรืองแสงสีเขียวจ่อที่ต้นคอ ทำเอาเสียวสันหลังไปยกใหญ่ 

"ถ้าบอกว่าเราเป็นตัวเมียล่ะ?" ผมพยายามเล่นลิ้นเบี่ยงเบียนประเด็น แต่ในความเป็นจริงเหงื่อออกตามรูขุมขนชุ่ม

"มีผลลองกองแบบนี้ยังกล้าบอกว่าเป็นตัวเมียอีกเหรอ เจ้าหมาโรคจิต!" อาเนียพลิกร่างผมนอนหงายกับพื้น ลองกองสองลูกโผล่เซย์ฮาย ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกมนุษย์ข่มขืนทางจิตใจ นิ้วอันเรียวยาวชี้ไปยังลองกองป๋องแป๋งจนไม่เหลือศักดิ์ศรี ปากผมอ้ากว้างด้วยความเขินอายสุดขีด "แล้วไอ้สองลูกกลมนี่คืออะไร ถ้าไม่ต้องใช้จะตัดมาออกให้เอาไหม?"

"ไม่! ไม่! ไม่! ขอร้องล่ะ เจ้านายสุดที่รัก ผมจะไม่รุกล่วงล้ำอะไรเจ้านายเลยครับ!" ผมพูดเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว เขินอายและศักดิ์ศรีลูกผู้ชายทั้งแท่งถูกทำลายย่อยยับไม่มีชิ้นดี ดวงตาเบิกโพล่งมีน้ำตาคลอ


จู่ ๆ อาเนียหัวเราะ หึหึ ในลำคอก่อนระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง แน่นอนว่าอยู่ด้วยกันมาไม่ถึงสัปดาห์ ไม่เคยเห็นผู้เป็นนายแสดงความรู้สึกแบบเด็ก ๆ ออกมาเลยนอกจากนิ่งขรึมเป็นบางช่วงชวนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่มากกว่า


แต่แบบนี้มันดีเหมือนกันที่เธอแสดงอารมณ์ได้สมวัยกว่า


"เอาเถอะ เป็นหมาก็ยังดีกว่าเป็นคน แต่ถ้ามาทำหื่นใส่ละก็โดนร่ายคำสาปให้ตัวพองติดเพดานทั้งวันแน่เข้าใจนะ" ปลายไม้กายสิทธิ์ของเธอเรืองแสงขึ้นอีกครั้งเป็นดั่งสัญญาณให้ผมพยักหน้ารับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"นัปโปะรับทราบครับ" ผมยืนด้วยขาหลังพร้อมเอาเท้าหน้าด้านชวาสะเบ๊ะ ทำให้อาเนียหลุดหัวเราะออกมา

"ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ตลกอ่ะนัปโปะ!" เธอหยิบมือถือขึ้นมาจ่อเลนส์กล้องมาที่ผม "อยู่นิ่ง ๆ นะ ขอถ่ายเอาไปลง ' มาจิ' ก่อน"

"มาจิคืออะไร?" ผมเอาเท้าทั้งสี่ข้างลงพื้นเมื่ออาเนียถ่ายเสร็จแล้วใช้นิ้วจิ้ม ๆ บนหน้าจอ


ให้ตายสิ...คิดถึงมือถือของตัวเองจัง

หวังว่าคงมีใครสักคนใจดีลบประวัติการค้นหาให้นะ...


______________________________________________


To Be Continue Ep.7