หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ - ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์ โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

 'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ

สารบัญ

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 1 หมาตูดใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 5 ผู้สร้างระบบ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 8 ผจญภัยยามวิกาล,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 10 วิชาคาถามหัศจรรย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 11 สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 12 สนทนากับอาจารย์ใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 13 ร่างมนุษย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 14 ทัวร์นาเม้นต์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 15 ผู้ท้าทายในวันหยุด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 16 คืนบุกรุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 17 จักรพรรดิมารเสด็จ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 18 อาจารย์ใหญ่ ปะทะ จักรพรรดิมาร,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 19 โหมดจอมเวทย์ผู้พิทักษ์

เนื้อหา

ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์

ห้องพักภายในถูกเสกคาถาขยายพื้นที่ภายในเพื่อความสะดวกสบายของนักเรียนแต่ละคน หากมองจากด้านนอกดูเหมือนบล็อคสี่เหลี่ยมขนาดสองเมตรทุกด้านเท่ากันจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้เหยียดแข้งเหยียดขาอย่างสบาย แตกต่างจากภายในลิบลับ พื้นที่โดยรวมของห้องแบ่งเป็นสามโซนหลัก ๆ คือห้องนอน ห้องน้ำและห้องครัว จุดขายของห้องคือแชนเดเรียประดับด้วยแก้วคริสตัลห้อยลงมาจากเพดานสร้างความหรูหราอลังการได้ดีทีเดียว ส่วนเตียงนอนแบบนอนได้คนเดียว ส่วนโต๊ะข้างเตียงมีโคมไฟให้หนึ่งตัว แต่คำถามกลับเกิดขึ้นในใจเมื่อเปิดลิ้นชักออกมาั้นแรกกลับเจอถุงยางอนามัยจำนวนสามชิ้นวางอยู่ สร้างความฉงนสงสัยแก่เจ้าของห้องปัจจุบันเป็นอย่างมาก


“นายรู้จักมันหรือเปล่านัปโปะ?” อาเนียถามพลางหยิบขึ้นมาก่อนเหลือบตามองผมอย่างจับผิด


เอาล่ะสิ…รู้จักดีเสียด้วย แต่ผมจะตอบยังไงให้ไม่เกิดพิรุธกันล่ะเนี่ย


“เอาเถอะ นายเป็นหมาคงไม่รู้จักวิธีการคุมกำเนิดของมนุษย์หรอก” ผมพ่นลมหายใจออกจากปากด้วยความโล่งอก โชคดีที่อาเนียไม่ได้เป็นคนช่างจู้จี้จุกจิกขนาดนั้น เธอจึงเงียบไม่พูดอะไรมากกว่าวางมันลงที่เก่า ปิดลิ้นชักชั้นหนึ่งก่อนเปิดชั้นที่สอง แน่นอนว่ามีกล่องสินค้าผลิตภัณฑ์ตรวจครรภ์ของสตรีจำนวนห้าชิ้น พร้อมคัมภีร์ศาสนาบางอย่างเป็นรูปสามเหลี่ยมหัวคว่ำ


ผมกับอาเนียมองหน้ากันราวกับต้องการสื่อสารบางอย่าง เธอเม้มปาก ใบหน้าใบหูมีเลือดฝาดจนคล้ายผลมะเขือเทศก่อนดันลิ้นชักปิด จากนั้นจึงชักไม้กายสิทธิ์ออกมา


“เคลคิวเปอเซมเป้” แสงจากปลายไม้กายสิทธิ์เรืองสว่างขึ้นก่อนจะหายเข้าไปในโต๊ะข้างเตียงเมื่อถูกแตะ อาเนียลองพยายามเปิดลิ้นชักอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่สามารถเปิดออกได้ราวกับว่ามีบางอย่างรั้งไว้ไม่ให้เปิด “แค่นี้ก็เรียบร้อย”

“คาถาอะไรน่ะ?” ผมถาม

“คาถาปิดผนึกตลอดกาล” เธอตอบด้วยสีหน้าดูไม่ภูมิใจสักเท่าไหร่ “แม่สอนให้อีกนั่นแหละ”

“โซล่าสอนอะไรให้เยอะดีนะ แบบนี้คงสอบวิชาคาถาได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”

“คาถาพวกนี้ส่วนมากเป็นคาถาพื้นฐานที่ไม่ว่าใครก็ทำได้จ้ะ” เธอยิ้มพลางโยนโคมไฟลงพื้นจนแตก จากนั้นจึงร่ายคาถา “ฟิกซาโจ้ว” ในการซ่อมแซมสิ่งของให้กลับมาคงสภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


หลังจากจัดของเข้าที่เรียบร้อย เวลายังเหลืออีกมากกว่าปนะตูหอพักจะถูกปิดตามกฎกติกาที่ติดประกาศหลังบานประตูพร้อมใส่กรอบไม้อย่างดี


กฎกติกาสำหรับเด็กหอ


1. ห้ามกลับหอพักก่อนเวลาหนึ่งทุ่ม หากฝ่าฝืนต้องนอนนอกตากน้ำค้างและหักคะแนนความประพฤติตามสมควร

2. ล็อกประตูหน้าต่างให้แน่นหนา

3. ห้ามร่ายเวทประเภทต่อสู้ภายใน หากฝ่าฝืนโดนใบเตือน 1 ใบ (2 ใบเรียกผู้ปกครอง) (3 ใบไล่ออก)

4. ห้ามนักเรียนพานักเรียนเพศตรงข้ามเข้ามาอยู่แบบสองต่อสอง หากพบเห็นว่าฝ่าฝืน เรียกผู้ปกครองทันที

5. หากตรวจพบนักเรียนครอบครองสิ่งของศาสตร์มืดจะต้องถูกไล่ออกโดยไร้เงื่อนไขทุกกรณี


“แต่ละกฎมันล่อแหลมหมดเลยนี่หว่า…” ผมขมวดคิ้วเมื่ออาเนียอุ้มผมอ่านกฎเหล่านี้

“ฉันเองก็ไม่ได้เป็นเด็กอินโนเซ้นส์ขนาดนั้น แต่เรื่องผู้ชายนี่ไม่มีทางอยู่แล้วล่ะ” อาเนียถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย “แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ตู้เย็นในครัวไม่มีอะไรนอกจากน้ำเปล่า ออกไปหาซื้ออะไรกินกันดีกว่า รู้สึกว่าจะมีร้านขายของอยู่ข้างหอพักด้วยนี่ น่าจะมีอาหารหมาขายอยู่ด้วยล่ะมั้ง”

“ผมกินอะไรก็ได้หมดที่ไม่ใช่อาหารหมาจืด ๆ” ผมบ่นพลางทำหน้าเหยเกเมื่อนึกถึงอาหารเม็ดแสนจืดชืดเหล่านั้น ในความเป็นจริงอยากกินเนื้อติดกระดูกมากกว่า


อาเนียล็อกประตูห้องด้วยการแตะไม้กายสิทธิ์สองครั้งแล้วใช้แผ่นหินขั้นบันไดไปส่งชั้นล่าง พวกเราสอดส่ายสายตามองหาร้านสะดวกซื้อเมื่อออกไปด้านนอก แต่กลับไม่พบเห็นอะไร มีแต่เพียงกลุ่มคนกำลังมุงดูอะไรสักอย่างซึ่งสะกิดต่อมความอยากรู้อยากเห็นเป็นทวีคูณ 

ในขณะนั้นความหิวของเราได้หายเป็นปลิดเมื่อได้ยินเสียงคาถาปะทะกันพร้อมแสงกระพริบถี่ เราจึงแหวกเหล่าฝูงชนเข้าไปจึงเล่นนักเรียนชายสองคนเปลือยอกเผยให้เห็นกล้ามแน่น ดูท่าว่าน่าจะเป็นเหล่าชั้นปีหกผู้มาโชว์ทักษะก่อนจบการศึกษา โดยมีอาจารย์หัวโล้นที่ตวาดใส่เราเมื่อเช้ายืนกอดอกอยู่ด้วย


นักเรียนปีหกหนุ่มไว้ผมยาวสีดำขวับ ดวงตาเฉียบคมถือไม้กายสิทธิ์สีขาวยาวหนึ่งไม้บรรทัดตวัดไปบนอากาศ ลำแสงจากปลายไม้พุ่งใส่อีกฝ่ายซึ่งเป็นนักเรียนชายร่างเตี้ยผมสั้นย้อมทองติดหนังศีรษะเขาหมุนตัวหลบลำแสงนั้นได้อย่างรวดเร็วก่อนสะบัดอาวุธในมือพร้อมยิงคำสาปใส่โดยไม่ต้องเอ่ยร่ายคาถา นั่นสร้างความแปลกใจให้ผมเป็นอย่างมาก ชายผมยาวรอคอยการโจมตีนี้มานานจึงตวัดไม้รับคำสาปของอีกฝ่ายมาก่อนจะสะท้อนกับ


“ฟูลเรอเคาเตอร์!!” เขาแผดเสียงร่ายคาถา ก้อนพลังนั่นสะท้อนกลับไปหาอีกฝ่ายในทันทีด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ เสียงเอฟเฟ็กต์ดังสนั่นทำให้ผู้ชมข้างสนามต่างส่งเสียงเชียร์ในชัยชนะของชายผู้ยาวสีดำเมื่อคาถากระแทกใส่ชายผมสั้นสีทอง ร่างกายของเขาปลิวไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ


“พอเท่านี้ ‘คาลอส’ ชนะ” อาจารย์ผู้ไร้เส้นผมบนศีรษะเดินเข้ามากลางการประลองที่เพิ่งสิ้นสุดพร้อมผายมือไปทางชายผมดำยาว เสียงปรบมือดังสนั่นประสานกับเสียงกริ๊ดกร๊าดของเหล่าเด็กผู้หญิงรุ่นน้องรวมถึงรุ่นเดียวกันเสียงดังจนอยากเสกคาถาให้เสียงพวกหล่อนหายไปจริง ๆ 


”วันนี้ก็ยังชนะเหมือนเดิมเลยนะคาลอส สมกับเป็นศิษย์เอกของฉัน“ อาจารย์กอดอกพลางเอ่ยชมลูกศิษย์ของตัวเองออกหน้าออกตา

”อาจารย์ ‘เอก’ ก็ชมเกินไป“ ชายหนุ่มพูดถ่อมตนพลางเก็บไม้กายสิทธิ์ใส่ซองหนังคาดเอว สายตาของอาเนียจับจ้องไปที่มัดกล้ามอันแข็งแกร่งเห็นเส้นเลือดปูดโปนออกมาชัดเจนจนน้ำลายไหลราวกับถูกมนตร์สะกด แต่แล้วมันก็เสื่อมคลายลงเมื่ออีกฝ่ายหยิบเสื้อยืดสีดำขึ้นมาสวมเสียก่อน “ถูกบังคับให้ซ้อมมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมเรียนรู้คาถาและคำสาปสำหรับใช้ต่อสู้มาจากอาจารย์มากมายนี่นา”

“และตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะสอนแล้ว” อาจารย์เอกแสยะยิ้มอย่างภาคภูมิในลูกศิษย์พร้อมวางฝ่ามือไว้บนบ่า ”แถมยังเป็นประธานชมรมประลองเวทย์ ผู้คว้ารางวัลทัวร์นาเม้นท์มามากมาย ฉันเชื่อว่าเธอจะไปได้ดีในสายนี้ ขอเตือนว่าอย่าเดินเส้นทางเดียวกับฉันก่อนหน้านี้เด็ดขาด“


ผมเอ่ะใจในคำพูดของอาจารย์เอก แววตาของเขาเมื่อกี้เหมือนเรืองแสงสีเขียวอยู่เนือง ๆ...หรือว่าผมจะตาฝาดไป...เพราะหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที แววตาได้เปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความโศกเศร้าในทันที


"ไหน ๆ ก็ผ่านมาแล้วให้น้องเขาฝึกด้วยดีไหมครับ?" คาลอสถามพลางผายมือไปทางอาเนียซึ่งเธอไม่ขัดข้องอะไรพร้อมถามว่ารู้จักคาถาสำหรับต่อสู้อะไรบ้าง

"อะ...เออ...หนูรู้จักแค่คาถาปลดอาวุธเท่านั้นเองค่ะ" เด็กสาวตอบ

"ถ้าอย่างนั้นให้ดวลปลดอาวุธ นับหนึ่งสองสาวแล้วเสกคาถา ไม้กายสิทธิ์ใครหลุดจากมือก่อนคือแพ้" อาจารย์เอกกล่าว นักเรียนทุกคนต่างพยักหน้า หลายคนในนั้นล้วนเคยดวลการปลดอาวุธไม่รู้กี่รอบ


อาเนียจับคู่กับนักเรียนหญิงคนหนึ่งผมสั้นประบ่าสวมแว่นตาทรงกลมสีดำ มีแผลเป็นบากผ่านดวงตาข้างขวา แววตาคมเข้ม กรอบหน้าเรียวขาวได้รูป เธอชักไม้กายสิทธิ์ออกมาท่ามกลางเหล่าสมาชิกในชมรมร้องเชียร์เป็นการใหญ่


"ฟองเบียร์ออกมาแล้ว!" เสียงหนึ่งพูดเสียงดังขึ้น

"ร้อยวันพันปีปฏิเสธการดวลปลดอาวุธมาตลอด วันนี้กลับก้าวออกมาอย่างง่ายดาย!!" อีกเสียงหนึ่งพากย์ราวกับเป็นกรรมการข้างสนาม ย่ิงทวีความตื่นเต้นให้กับเหล่าสมาชิก


เหตุการณ์นี้ทำให้อาเนียเกิดหวั่นใจในระดับหนึ่ง สัญชาตญาณของเธอรับรู้ได้ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร เหงื่อเม็ดเล็กใสไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า มือไม้สั่นระริก ในฐานะสัตว์เลี้ยง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ


"ฟังนะ" อาจารย์เอกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "กติกาของการดวลครั้งนี้แค่การปลดอาวุธ หากมีการกระทำเกินกว่านั้น ฉันจะปรับฟาวล์แพ้ในทันที ทั้งสองคนเข้าใจนะ?"

"เข้าใจค่ะ" อาเนียตอบทันที ในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำตอบ สายตาจับจ้องไปที่อาเนียราวกับต้องการจะกินเลือดกินเนื้อ


เหล่าสมาชิกเขยิบถอยหลังเพื่อสร้างสนามให้ใหญ่ขึ้น อาเนียและฟองเบียร์ยืนเผชิญหน้ากัน ไม้ในมือทั้งสองเรืองแสงสีแดงเป็นดั่งสัญญาณพร้อมร่าย อาจารย์เอกยืนอยู่ข้างสนามกับผมจับจ้องไม่มีล่อกแลก ส่วนผมทำได้แอบเป็นห่วงในใจ


"สาม..."


อาเนียกำไม้กายสิทธิ์แน่นด้วยความกดดันแล้วยกมันขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างที่เคยเรียนกับผู้เป็นแม่


"สอง..."


ฟองเบียร์ยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นกัน


"หนึ่ง...เริ่มได้"


"เอ็กซ์เปลซิมัส!!" ทั้งสองแผดเสียงร่ายคาถาและตวัดไม้กายสิทธิ์แทบจะพร้อมกัน ลำแสงสีแดงพุ่งทะยานออกจากปลายไม้ปะทะกันกลางอากาศ ฟองเบียร์ไม่รอช้าสะบัดไม้สุดแรง กระสุนแสงสีแดงพุ่งจากปลายไม้ตรงไปกระแทกกับข้อมือของอาเนีย ส่งผลให้ไม้กายสิทธิ์หลุดจากมือกระเด็นออกไปไม่ไกล


"พอแค่นี้!" อาจารย์เอกตัดสิน แต่ไม่ทันพูดต่อ ฟองเบียร์ร่ายคำสาปใส่อาเนียอีกชุดในทันที 

"ริคแอมบิโอ!"

ผมเห็นท่าไม่ดีจึงพุ่งเข้ามาเอาร่างกายบังลำแสงนั่นทันเวลาพอดี ความเจ็บปวดเหมือนถูกหอกปลายมนกระแทกอย่างแรง


"อั๊ก!!" ผมกระเด็นลงไปนอนกับพื้นหมดสภาพ บริเวณท้องมีรอยไหม้เล็กน้อย อาจารย์และเหล่าสมาชิกในชมรมต่างตกใจกับเหตุการณ์อันไม่คาดฝันขึ้นก่อนวิ่งเข้ามารุมล้อมทันที

"นัปโปะ!" อาเนียเข้ามาช้อนร่างผมขึ้นมากอดพร้อมน้ำตาไหลออาบแก้ม "อย่าเป็นอะไรไปนะนัปโปะ!!"

"อย่าเข้ามารุมล้อม! ให้ตายสิ ทำไมไม่ฟังกันบ้างนะ!" อาจารย์เอกพูดเสียงดังด้วยความหัวเสีย ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธที่ฟองเบียร์ไม่เคารพกติกาการประลอง เขาอุ้มร่างผมจากอาเนียพร้อมจ่อไม้กายสิทธิ์ที่บาดแผลซึ่งตอนนี้มีของเหลวสีแดงไหลซึมออกมาเปรอะขนแถบสีขาว "เวนเดคาร์ลิจีโอเน่"


เสียงสีเขียวจากปลายไม้กายสิทธิ์พุ่งเข้ามาครอบคลุมบาดแผล ความเย็นสลับอุ่นแผ่ขยายไปทั่วร่างกาย สติอันเลืองรางถูกดึงกลับมาอย่างเชื่องช้า บาดแผลช้ำภายในเริ่มเลือนหาย รวมถึงบาดแผลภายนอกสมานกันอย่างช้า ๆ จนไม่เหลือร่องรอย ดวงตาของผมกลับมาเป็นประกายอีกครั้งพร้อมลุกเดินวิ่งได้ ทุกคนในสมาชิกต่างโล่งอก อาเนียกอดผมแน่นอย่างใจหายและกล่าวขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยรักษาแผล


"เป็นหมาที่รักเจ้าของมากเหลือเกินนะ พูดได้ ใช้คาถาได้ แถมยังพุ่งเข้ามารับคำสาปทันทีอีก" เขาหันไปทางฟองเบียร์ซึ่งตอนนี้หายตัวหนีไปแล้ว มือของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน "ผมจะต้องเรียกกักบริเวณฟองเบียร์สักเดือนเป็นการลงโทษและไล่ออกจากชมรมเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้"

"แบบนี้ไม่ไล่ออกจะดีเหรอคะอาจารย์?" อาเนียถาม

"อำนาจของผมในตอนนี้ไม่สามารถรับมือกับพ่อแม่ของพวกเขาได้หรอก" อาจารย์เอกเอ่ยพร้อมแววตาเศร้าสร้อย "แต่ช่างเรื่องนั้นเถอะครับ ต้องขอโทษเรื่องนั้นแทนอดีตสมาชิกในชมรมด้วย เป็นความผิดอาจารย์เองที่ไม่สามารถสั่งสอนเขาให้ดีพอ"

"หนูไม่โอเคเท่าไหร่เลยที่เขาไม่เล่นตามกติกาแบบนี้ ถ้านัปโปะไม่มาช่วย หนูน่าจะตายไปจริง ๆ แล้วหรือเปล่าคะ?"


"คาถาหอกแสงนั้นจริง ๆ มันไม่ได้ทำใครตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว" คาลอสเดินเข้ามาพร้อมยื่นไม้กายสิทธิ์ของอาเนียที่ถูกทำให้หลุดจากมือไปพร้อมยิ้มให้อย่างอบอุ่น เธอรับไว้พร้อมเอ่ยขอบคุณพร้อมใบหน้าใบหูแดงก่ำ ผมที่อยู่ในอ้อมกอดของอาเนียสังเกตเห็นจึงแยกเขี้ยวขู่ "เจ้านี่มันดุจริง ๆ นะเนี่ย"


เมื่อมืออันใหญ่หยาบกร้านของชายหนุ่มจะเข้ามาลูบศีรษะ ผมจึงกัดมืออีกฝ่ายเต็มแรง


______________________________________________


To Be Continue Ep.8