หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ
สุดท้ายคาลอสต้องเดินทางไปห้องพยาบาลเองเพื่อรักษาแผลหมากัดด้วยตัวเอง ผมไม่มีทางให้ไอ้ตัวผู้ตัวไหนเข้ามาแตะต้องเจ้านายเด็ดขาด
เมื่อเวลาชมรมหมดลง พวกเราลืมไปเลยว่าออกมาซื้อเสบียงที่ร้านสะดวกซื้อ แน่นอนว่ามันเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งรอบยามวิกาลมักเป็นเวลาขายแอลกอฮอล์สำหรับเหล่าอาจารย์เพื่อสังสรรค์ซึ่งไม่สมควรให้นักเรียนมาเห็นจึงออกกฎห้ามไม่ให้ออกมาจากหอหลังหนึ่งทุ่ม โดยตอนนี้เวลาหกโมงเย็นและร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลเท่าไหร่จึงมีเวลาอีกมากกว่าหอพักจะปิด
ร้านสะดวกซื้อชื่อ 'เฮดฮอต' หรือแปลตามตัวว่า 'ร้านหัวร้อน' มีมากกว่าสิบสาขาตั้งอยู่รอบบริเวณโรงเรียน ซึ่งไม่รู้ว่าใช้เงินแบบไหนซื้อ แต่สำหรับผมผู้มีเจ้านายเหนือหัว จึงสามารถใช้คำว่า 'อิ่มจังตังค์อยู่ครบ' ได้อย่างเต็มปาก
แต่ละลักษณะของสาขานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยสาขาใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางโรงเรียนซึ่งมีตึกปราสาทล้อมรอบแปดทิศ ประตูสี่ทิศทางหันหน้าเข้าร้านสะดวกซื้อรูปวงกลมขนาดใหญ่ซึ่งมีทางเข้าออกสี่ทิศเพื่อรองรับจำนวนนักเรียนที่มีมากกว่าพันคน แน่นอนว่าสาขาใหญ่ไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมดจึงมีสาขาย่อยกระจัดกระจายอยู่ทั่วโรงเรียนเพื่อใช้เป็นทางเลือกหากไม่สะดวกเข้าสาขาใหญ่
พวกเรามายังสาขาย่อยตั้งอยู่มุมหนึ่งของปราสาทตึกเรียน ห่างจากตึกหอพักสูงเฉียดฟ้าประมาณห้าร้อยเมตรจึงสามารถเดินเท้าได้อย่างสบาย แถมยังได้ชื่นชมบรรยากาศของโรงเรียนยามโพล้เพล้เหมือนมาเที่ยวยังไงยังงั้น
สาขา 'หอพัก' นั้นมีลักษณะทรงสี่เหลี่ยมเหมือนเซเว่นอีเลฟเว่นบ้านเรา รอบข้างเริ่มมืดเนื่องจากพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า มีเพียงแสงไฟจากร้านสะดวกซื้อเท่านั้นที่ยังสว่างไสวไล่ความมืดตลอดเวลา ภายในไม่ได้ตกแต่งอะไรเป็นพิเศษนอกจากสินค้าต่าง ๆ นับพันชิ้น ผมพนันหมดหน้าตักได้เลยว่าร้านนี้จะต้องร่ายคาถาขยายพื้นที่เอาไว้แน่นอน ความรู้สึกกว้างขวางกว่าภายนอกออกจะชัดเจนเกินไป มีพนักงานเป็นวิญญาณสีเงินลอยอยู่ด้านเคาน์เตอร์ แววตาพวกเขาเหมอลอยราวกับกำลังอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตก่อนความตาย หากผมตายแล้วกลายเป็นวิญญาณเหล่านี้ผมจะอาลัยอาวรณ์ต่ออะไรเป็นอย่างแรกกันนะ...
"นัปโปะบอกก่อนหน้านี้ว่าไม่ชอบอาหารเม็ดสินะ แต่ก็ต้องกินเพราะบางยี่ห้อมันมีส่วนผสมที่บำรุงร่างกายได้" อาเนียบอกอย่างเป็นห่วงพลางเบิกตาโตให้กับสถานที่อลังการเต็มไปด้วยของกิน ไม่ว่าจะเป็นขนม น้ำ อาหารและของใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ "ก่อนหน้านี้บอกว่าอยากกินเนื้อสินะ เดี๋ยวให้กินพวกไส้กรอกอะไรประมาณนี้ดีไหม?"
"แบบนั้นก็ดีนะครับเจ้านาย" ผมแกล้งทำเสียงประหลาด จู่ ๆ กำปั้นของเด็กสาวโขกกลางศีรษะ
เราเดินชมของนั่นนี่กันเพลินจนกระทั่งอาเนียนึกขึ้นมาได้
"หวา! แย่แล้ว ตอนนี้มันกี่โมงแล้วเนี่ย!?" สายตาของเธอเหลือบไปมองหน้าปัดนาฬิกาซึ่งติดบนผนังบอกเวลาหกโมงห้าสิบ เธอจึงเสกคาถาให้ตะกร้าสินค้าลอยไปบนอากาศแล้ววิ่งไปทางเค้าน์เตอร์คิดเงินทันที เจ้าผีพนักงานร้านสะดวกซื้อเอาแต่ยืนบื้อไม่สนใจคิดเงิน ด้วยความใจร้อนเธอจึงตัดสินใจวิ่งมาตรงโซนจ่ายเงินด้วยตัวเอง เธอวางตะกร้าไว้บนแผ่นศิลาสีเงินปริศนา แน่นอนว่ากว่าผมจะวิ่งตามเธอมาได้ก็แทบลากเลือด อีกทั้งยังขาสั้น ความเร็วจึงมีจำกัด
"สี่เหรียญเงินงั้นเหรอ!? ทำไมมันแพงอย่างนี้! ฉันซื้อไม่ได้เยอะมากเลยนะโว้ย!!" เด็กสาวพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงใจเพราะในร้านนั้นร้างผู้คนตั้งแต่เข้ามา "ไหน!? อะไรมันถึงแพงนักหนากันฮะ!?...อ๋อ..."
อาเนียหันมามองผมด้วยสายตาอำมหิตเรืองแสงสีเขียวไสวพร้อมแผ่รังสีจิตสังหารจนเผลอหันชักไม้กายสิทธิ์ออกมาคาบไว้ที่ปากพลางสั่นด้วยความกลัว
"อะ...อาเนี...เอ้ย! เจ้านาย...จะทำอะไรผม...?"
"อาหารของแกกินไปตั้ง 1 เหรียญเงินกับอีก 5 เหรียญทองแดงเชียวนะ!!" เธอคว้าร่างผมยกขึ้นมาจากเท้าสั้นป้อมลอยเหนือพื้นพร้อมเขย่าจนโลกหมุน "เป็นหมาพูดได้ ใช้คาถาได้แล้วไง!? เป็นตัวสูบเงินชัด ๆ แม่ให้เงินทั้งเทอมมาแค่ร้อยเหรียญเงินเชียวนะ! แบบนี้จะอยู่ยันปีเทอมยังไงกัน!!"
"เดี๋ยวไปขโมยอาหารที่ห้องครัวของโรงเรียนก็ได้นี่ ในนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ทำกันบ่อยจะตายไป" ผมยกขาหน้าขึ้นมาแสดงให้เห็นว่ายอมศิโรราบพลางเผลอพูดอย่างไ้ความรับผิดชอบ
เด็กหญิงขมวดคิ้วด้วยความงงงวย
“แฮร์รี่ พอตเตอร์คืออะไร?” เมื่อเธอเห็นนาฬิกาซึ่งติดอยู่เหนือผนังว่าอีกไม่ถึงนาทีก็ถึงเวลาปิดประตูหอพักแล้ว เธอจึงโยนเหรียญเงินสองเหรียญบนเค้าน์เตอร์แล้วกวาดเหล่าเสบียงอยู่ในอ้อมอกจากนั้นจึงวิ่งออกไปในทันที ผมเห็นดังนั้นจึงดีดตัวพุ่งทะยานออกไปพร้อมกัน “ไม่ต้องทอนนะคะ!!”
“ระ…รอด้วย!!” ผมตะโกนเรียกร้องอีกฝ่ายเพราะไม่สามารถวิ่งเร็วเทียบเท่าผู้เป็นนายได้เนื่องจากขนาดความยาวของขา
“มีตั้งสี่ขาไม่ใช่เหรอ!? สับให้ตีนแตกเลยสินัปโปะ!!” อาเนียไม่สามารถลดความเร็วได้มากกว่านี้แล้ว
อีกนิดเดียวก็จะถึงประตูเข้าหอพักแล้ว
อีกนิดเดียว
อีกนิดเดียว!!
อีกนิดเดียว!!!
พลั่ก!!
เด็กหญิงชนกับผนังล่องหนบางอย่างจนร่างกายกระเด็นออกมานอนแผ่อยู่ที่พื้น
ในที่สุดผมวิ่งตามทันพลางหอบอย่างเหนื่อยอ่อน
“แฮ่ก! แฮ่ก! ไม่อยากสับตีนแตกขนาดนี้อีกแล้วล่ะ พอกันทีกับขาสั้น ๆ แบบนี้ แฮ่ก! แฮ่ก!” ผมหอบจนลิ้นห้อยต่องแต่ง อาเนียไม่ฟัง ใบหน้าของเธอซีดเผือก ดวงตาคู่สวยเบิกโต ขาสองข้างชันตัวให้ลุกขึ้นพลางเอื้อมมือยื่นไขว่คว้าอากาศ สุดท้ายฝ่ามือแตะโดนบางอย่างซึ่งมีลักษณะคล้ายกำแพงที่มองไม่เห็น
“หยะ…แย่แล้ว…นี่มันคาถากำแพงเวทย์แบบตั้งเวลาได้” เสียงเด็กสาวสั่นครือเหมือนกำลังจะร้องให้พลางกระหน่ำทุบกำแพงล่องหนอย่างเอาเป็นเอาตาย “เปิดสิ! เปิดสิ! เฮ้! ฉันยังอยู่ข้างนอกนี้นะ!”
“นี่อาเนีย! อย่าเพิ่งพูดเสียงดังสิ อาจจะมีเวรเผ้ายามอยู่แถวนี้ก็ได้” ผมตวาดเธอเบา ๆ ก่อนจะลากเธอออกมาให้ไกลจากประตู แต่ไม่สามารถทำได้เพราะเรี่ยวแรงของผมมีน้อยเหลือเกิน “เราต้องออกไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้ อาเนีย! ถ้าถูกจับได้ เราจะโดยทำโทษตามกฎที่เขียนไว้นะ! เธอไม่อยากโดนอย่างนั้นหรอกใช่ไหม!?”
เธอพยายามดึงสติให้นิ่ง น้ำตาไหลนองใบหน้า เข่าอ่อนปวกเปียกจนทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดหวัง
“ทะ…ทำยังไงกันดี…? นัปโปะ...”
“เราต้องซ่อน อาเนีย เราต้องซ่อน ซ่อนจนกว่าจะเช้า” ผมพูดพลางวางคู่ขาหน้าไว้บนต้นขาอันเรียวเล็กของผู้เป็นนายพร้อมสายตามุ่งมั่น “หากโชคดี เราอาจจะหาช่องลับที่เราสามารถเข้าไปแอบนอนจนกว่าจะเช้าได้”
“มันจะมีใช่ไหม?” เธอถามพลางเช็ดน้ำตา ผมยืดตัวขึ้นไปใช้ลิ้นปาดน้ำตาหยดเล็กหยดใหญ่จนแห้ง
“ประสาทออกจะใหญ่ขนาดนี้มันต้องมีสักห้องนั่นแหละ”
“ใครน่ะ!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เหมือนกับรองเท้าคอมแบ็คกำลังใกล้เข้ามา
“แย่ละสิ! เราต้องเก็บของพวกนี้ใส่กระเป๋าแหวนให้หมด” ผมคาบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากซองหนังพร้อมร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว “อะเปอลาโบซ่า!”
“ฉันได้กลิ่นนักเรียนใช้เวทมนตร์นอกห้องพัก ถ้าจับได้ล่ะก็จะลงโทษให้สาสมเลยคอยดู!!” เสียงกึ่งคำรามดังกึกก้องพร้อมกับแสงไฟสีส้มกำลังตรงมาทางเรา
เมื่อมิติแหวนกระเป๋าเปิดออก ผมเร่งเตะซองขนม น้ำรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ราคา 1 เหรียญเงินและ 5 ทองแดงใส่จนหมดก่อนจะร่ายปิดกระเป๋า จากนั้นจึงกัดข้อเท้าของอาเนียเบา ๆ เพื่อเรียกสติอีกฝ่ายแล้วกัดเสื้อคลุมของเธอดึงให้วิ่งหนี
“อยู่ตรงนั้นแหละ! เดี๋ยวบารอนผู้นี้จะจัดการจับส่งอาจารย์คุมกฎเอง!!” เสียงนั่นเริ่มใกล้เข้ามา พวกเราจึงรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีก
แต่แล้วก็เหมือนเสือปะจระเข้...
เสียงกลุ่มคนจำนวนหยิบมือกำลังตรงเข้ามาหาเช่นกัน พนันได้เลยว่าต้องเป็นเหล่าคณะอาจารย์แน่นอน ในตอนนี้พวกเราอยู่บนทางเดินยาวคคเคี้ยวไปมาไม่มีทางลับให้ซ่อนได้ เงาของพวกเขาซึ่งกระทบบนกำแพงกำลังเคลื่อนตัวเข้าหาทำให้ทั้งเด็กหญิงและผมต่างกระวนกระวายยกใหญ่ ในหัวพลางคิดถึงคาถาสักบทที่สามารถใช้ได้ในสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานนี้
“นึกออกแล้ว!” ผมคาบไม้กายสิทธิ์อีกครั้งพร้อมร่ายมนตร์ซึ่งไม่เคยทำสำเร็จมาก่อน เมื่อครั้งชาติที่แล้วเคยดูการ์ตูนเกี่ยวกับการร่ายคาถานั้นต้องมีพลังใจอันแน่วแน่ไม่ลังเล ผมคิดว่าเวลานี้เหมาะสมมากในการร่ายคาถาให้สมบูรณ์แบบ “อียอนน่า!”
ในเวลาเพียงไม่ถึงอึดใจเท้าของอาเนียค่อย ๆ ลอยเหนือพื้น ในวินาทีแรกเพียงไม่กี่นิ้ว พอพยายามเร่งพลังมากขึ้นเธอจึงลอยติดเพดานโถงทางเดินในทันที เมื่อนั้นทั้งแสงไฟสีส้มจากเจ้มของเสียงกึ่งคำรามพร้อมกับเสียงพูดคุยจอแจของเหล่าขณะอาจารย์กำลังใกล้เข้ามาบรรจบกัน ด้วยความหวาดหวั่นหูทั้งสองข้างตกลงปลายแหลมจ่อพื้นในทันที
“อียอนน่า…” เท้าของผมลอยเหนือพื้นขึ้นไปติดเพดาน อาเนียโผเข้ามากอดพร้อมใช้มือปิดปากเราทั้งคู่ รวมถึงพยายามหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่นาน เหล่าคณะอาจารย์จำนวนกว่ายี่สิบคนเดินผ่านเข้ามาพร้อมพูดคุยกันจอแจ บางคนถึงกับพูดเสียงดังเพื่อต่อล้อต่อเถียงยืนยันในทฤษฎีอันล้ำเลิศของตัวเองนั้นสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักศาสตร์มืด แต่กลับมีอาจารย์หลายท่านไม่เห็นด้วย พวกท่านส่วนใหญ่อายุเข้าสู่วัยกลางคน แต่มีเพียงท่านหนึ่งดูมีอายุมากกว่าหลายเท่า นั่นคือท่านที่เดินอยู่ท้ายแถว เขาไม่พูดอะไร แต่ดูน่าเคารพหวั่นเกรงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเหล่าอาจารย์เดินผ่านพวกเราไปไม่กี่วินาที จู่ ๆ ชายชราถือตะเกียงเจ้าพายุส่องแสงไฟสว่างไสวไล่ความมืดเข้ามาปะกับเหล่าผู้มีปัญญาเฉียบคม พวกอาจารย์ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่ได้เจออีกฝ่ายในยามวิกาลแบบนี้เลย
“สายันต์สวัสดิคุณบารอน งานตรวจยามวิกาลเป็นไปได้ด้วยดีนะครับ” อาจารย์รูปร่างอ้วนเตี้ยสวมชุดสูทเสื้อคลุมติดกระดุมจนปริเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ครับพวกท่าน” บารอนเป็นชายร่างเล็ก สวมเสื้อคลุมสีเขียวแก่ซีดขาดวีน หากสังเกตว่าคิ้วเข้มหนาบนใบหน้าของเขาจะขมวดเข้าหากันตลอดเวลา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยโทสะ ทำจมูกฝึดฝัดเหมือนวัวกระทิง ศีรษะโล้นเตียนแต่มีผมยาวเพียงเส้นเดียว โดยบนไหล่ขวาจะมีหนูแฮมสเตอร์ขนาดตัวเท่ากำปั้นเกาะอยู่ มันกำลังใช้ประสาทรับกลิ่นดมไปทุกที่ “ผมสัมผัสได้ว่ามีนักเรียนกลับไม่ถึงห้องพักตัวเองครับ ถ้าผมเจอมัน ผมจะทำโทษให้หนักข้อหาไม่ทำตามกฎ”
ทันใดนั้นเอง อาจารย์ชราผู้ยืนอยู่หลังสุดได้เงยหน้ามามองพวกเราอย่างช้า ๆ ดวงตาอันเป็นประกายของอีกฝ่ายจับจ้องพวกเราพร้อมรอยยิ้มแสยะ
____________________________________
To Be Continue Ep.9