หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ - ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์ โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

 'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ

สารบัญ

เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 1 หมาตูดใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 2 สัตว์เลี้ยวแสนรักก่อเรื่อง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 3 คาถาแยกร่าง,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 4 โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์เอสคูเรีย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 5 ผู้สร้างระบบ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 6 หอพักสูงเสียดฟ้า,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 7 ชมรมประลองเวทย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 8 ผจญภัยยามวิกาล,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 10 วิชาคาถามหัศจรรย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 11 สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 12 สนทนากับอาจารย์ใหญ่,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 13 ร่างมนุษย์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 14 ทัวร์นาเม้นต์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 15 ผู้ท้าทายในวันหยุด,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 16 คืนบุกรุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 17 จักรพรรดิมารเสด็จ,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 18 อาจารย์ใหญ่ ปะทะ จักรพรรดิมาร,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 19 โหมดจอมเวทย์ผู้พิทักษ์,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 20 ช่วงเวลาบะหมี่สุก,เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์-ตอนที่ 21 ไม้กายสิทธิ์แหลกเป็นเสี่ยง

เนื้อหา

ตอนที่ 9 มารศาสตร์มืด

ขนทั่วร่างลุกชูชันขึ้นมาจนพองพร้อมกับความหวาดกลัวพุ่งสูงทะลุหลอด ดวงตาอันเป็นประกายจากชายชราใบหน้าอ่อนโยนนั้นจับจ้องมาที่พวกเราเพียงไม่กี่วินาทีก่อนหันกลับไป ท่ามกลางความเงียบนั้น เขากลับทำลายความเงียบขึ้น


"ผมว่าตอนนี้ยังเร็วไปที่จะไปเช็คเหล่านักเรียนว่าเข้าหอพักกันครบหรือไม่" ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ทรงพลังอย่างแปลกประหลาด เหล่าอาจารย์ทุกคนหันกลับมามองด้วยสีหน้าไม่เชื่อและเต็มไปด้วยความสงสัย

"หมายความว่ายังไงครับ? อาจารย์ใหญ่" อาจารย์เอกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ใบหน้านิ่งสนิทจับจ้องไปยังชายชราผู้ถูกเรียกว่า 'อาจารย์ใหญ่' ยิ่งทำให้พวกเราอ้าปากค้าง "นี่เป็นหน้าที่ปฏิบัติของเราอาจารย์ทุกวันแรกของการเปิดการศึกษาที่เราต้องร่ายเวทย์ป้องกันบาเรียให้แน่นหนาไม่ใช่เหรอครับ?"

"จริงด้วยครับอาจารย์ใหญ่ ผมคิดว่าบาเรียวันนี้อาจจะกันพวกมารไม่ให้เข้ามาทำร้ายนักเรียนได้นะครับ" อาจารย์สตีฟกล่าว ท่าทางของเขาเคร่งขรึมจริงจังแตกต่างจากในห้องเรียนอย่างเห็นได้ชัด "แถมวันนี้เป็นวันที่ระดับพลังบาเรียป้องกันอ่อนกำลังลงมากที่สุด ฉะนั้นหากไม่..."

"คุณบารอนบอกว่าเขาสัมผัสได้ว่ามีนักเรียนยังกลับไปไม่ถึงหอพักถูกไหมครับ?" อาจารย์ใหญ่ถามด้วยความใจเย็น สายตาอันคมกริบมองตรงไปยังภารโรงชรา แน่นอนว่าเหล่าอาจารย์หยุดฟังและผงกศีรษะ "มันก็หมายความตามนั้น ทางที่ดีเราควรออกตามหานักเรียนคนนั้นกลับมายังหอพักก่อนดีกว่า จากนั้นเราค่อยร่ายคาถาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบาเรีย"


ในขณะที่คณะอาจารย์ได้ยินดังนั้นจึงปรึกษาหารือเสียงระงม พวกเรารู้สึกว่ามนตร์เริ่มเสื่อมไปทีละน้อย ร่างกายจึงลดระดับลง อาเนียแทบหัวใจหยุดเต้นเมื่อปลายเส้นผมอันยาวสีดำไฮไลค์สีชมพูกำลังจะสัมผัสกับศีรษะอันโล้นเตียนของอาจารย์สตีฟ แต่แล้วจู่ ๆ แฮมสเตอร์หันหน้ามาทางพวกเราพร้อมส่งเสียงร้องขู่ดังลั่น ทำให้เหล่าคณะอาจารย์หันไปมันตาเดียวด้วยความสงสัย จากนั้นจึงหันไปมองบนเพดานซึ่งพวกเรากำลังแอบซ่อนกันอยู่ ทันใดนั้นเหมือนมีมนตร์บางอย่างถูกร่าย ร่างของผมและอาเนียถูกผลักติดกับเพดาน


"แกเห็นอะไรอยู่บนนั้นเหรอ ชาบู?" บารอนหันไปถามสัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วที่กำลังแยกเขี้ยวอันแหลมคม ดวงตาเรืองแสงสีดำสดน่าสะพรึงกลัว ชายชราจึงหันไปมองเห็นเช่นกัน แต่แล้วเขากลับขมวดคิ้วด้วยความงงงวย "ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ หลอนไปเองหรือเปล่า?"

"เจ้าหนูตัวนี้น่าจะแก่มากแล้ว สติก็เลยเลอะเลือน" อาจารย์ใหญ่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มพลางเอามือไพล่หลัง มือขวาของเขาถือไม้กายสิทธิ์โดยปลายไม้เรืองแสงสีฟ้า เขามองขึ้นมาบนเพดานอีกครั้ง "ผมไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่าและผมไม่คิดว่าเด็กนักเรียนจะมีความคิดตื้นถึงขนาดใช้คาถายกของกับตัวเองหรอกครับ ใช่ไหมอาจารย์นิต้า" อาจารย์ชรามองไปยังอาจารย์หญิงวัยสาวสวยร่างเล็กแต่ยืนด้วยท่าทางสง่า แววตาเฉียบคม

"เห็นด้วยค่ะอาจารย์ใหญ่ ตอนนี้เด็กนักเรียนปีหนึ่งยังไม่มีใครใช้คาถายกของคล่องเท่าไหร่ แต่หากว่าเป็นเด็กปีสองถึงปีหกก็ไม่แน่หรอกค่ะ"

"เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพวกเขาหรอกครับ ผมสอนเรื่องมารให้กับพวกเขาให้กลัวตั้งแต่ปีหนึ่ง ต่อให้มีเด็กปีหนึ่งออกมาเที่ยวเพ่นพ่านแถวนี้ก็น่าจะอยู่แถวนี้" อาจารย์เอกเอ่ยเสียงเรียบ "เราออกตามหากันก่อน หากเจอก็ให้บทลงโทษเป็นการคัดลายมือหนึ่งหน้ากระดาษแทนดีกว่านะครับ ส่วนพรุ่งนี้ผมมีสอนพวกเด็กปีหนึ่งพอดี จะพยายามขู่พวกเขาเรื่องมารศาสตร์มืดให้ได้มากที่สุดเองครับ"

"ถ้าอย่างนั้นก็ดี อาจารย์เอก ผมคงต้องฝากเรื่องนี้ไว้กับคุณแล้วล่ะ พยายามให้พวกเขารู้ว่า..." อาจารย์ใหญ่หยุดเพียงเท่านั้นก่อนเงยหน้ามองเพดาน ดวงตาจับจ้องมายังผมและอาเนีย "มารศาสตร์มืดเป็นสิ่งขั้วตรงข้ามกับพวกเราและต้องการกลืนกินพวกเรามากขนาดไหน"



...............


หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าคณะอาจารย์เดินไปยังทางตรงข้ามที่มุ่งสู่ตึกหอพัก บริเวณโถงทางเดินจึงว่างเปล่า ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง มนตร์เริ่มเสื่อมคลาย ร่างกายของเราถึงไม่สามารถต้านแรงโน้มถ่วงได้ไหวจึงค่อย ๆ ลงสู่พื้นอย่างช้า ๆ ความเงียบแสนอึดอัดพร้อมความมืดสนิททำให้หายใจไม่ทั่วท้อง อาเนียเม้มปากแน่นก่อนชักไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเสกคาถาแสงไฟ จากนั้นเราจึงเดินกลับไปยังหอพัก


"มารศาสตร์มืดคืออะไรเหรอ?" ผมถามขึ้นทำลายความเงียบ สีหน้าของอาเนียดูไม่สู้ดีนัก ฝีเท้าของเธอก้าวฉับเร็วขึ้นอย่างเร่งรีบจนผมเกิดคำถามในใจ 

"มันคือเหล่าผู้วิเศษที่หลงไหลในศาสตร์มืดจนของเข้าตัวแล้วกลายเป็นมารในที่สุด" เธอตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "พวกมันได้กระทำการโหดร้ายทารุณเหล่าผู้วิเศษมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล"

"ทำไมไม่เห็นมีในหนังสือประวัติศาสตร์เลยล่ะ?" ผมถาม

"ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าหากให้เดา คงไม่อยากให้นักเรียนที่เคยได้รับผลกระทบจากเหล่ามารเหมือนกับฉันต้องมานั่งหวาดกลัวหรอก" คำพูดของอาเนียทำให้ผมชะงัก จากนั้นผมจึงคิดเชื่อมโยงไปยังความสงสัยใคร่รู้มาตั้งแต่ผมก้าวเข้ามายังบ้านของเธอ


'พ่อของอาเนีย...อยู่ที่ไหน?'


ทันใดนั้นจึงฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า เธอยังเด็กเกินกว่าจะคุยเรื่องซีเรียสในเวลาอันไม่สมควร ผมจึงเงียบไม่คิดจะถามอะไรอีกทั้ง ๆ ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด


เมื่อกลับมาถึงหน้าตึกหอพัก เด็กหญิงเอามือยื่นออกไป ปรากฎว่าบาเรียนั่นไม่มีอยู่แล้ว พวกเราจึงรีบวิ่งไปยังแผ่นหินขั้นบันไดก่อนร่ายเวทย์พาขึ้นไปยังห้องพักของตัวเอง มีอยู่จังหวะหนึ่งที่แผ่นหินกำลังลอยเหนือพื้น ผมหันไปด้านหลังแล้วเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตึกหอพักพร้อมโบกไม้กายสิทธิ์สร้างบาเรียขึ้นมาปกป้องทางเข้าออกอย่างแน่นหนา คงจะเป็นหนึ่งอาจารย์นั่นแหละ


.................


"มารศาสตร์มืดมีต้นกำเนิดมาจากผู้วิเศษอย่างเราค้นหาเรียนรู้ศาสตร์มืดเพื่อความแข็งแกร่งของตัวเอง" อาจารย์เอกอธิบายในคาบวิชาการป้องกันตัวพร้อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แน่นอนว่าผมได้สิทธิ์เรียนในห้องเหมือนมนุษย์ปกติ แถมยังมีเหล่านักเรียนให้ความสนใจต่อผมเป็นพิเศษ แต่แล้วเมื่ออาจารย์เอกเริ่มพูดหัวข้อเกี่ยวกับมารศาสตร์มืด หน้าตาของเหล่านักเรียนเริ่มดูไม่ดีซีดเผือกไม่มีเลือดมาเลี้ยงกันเลยทีเดียว "มันสร้างความโกลาหลต่อโลกคาโรเนียมาเป็นเวลานาน ความดำมืดค่อย ๆ กัดกินจิตใจเหล่าผู้ที่ต้องการพลังจนหันไปฝักไฝ่สายมืดแม้กระทั่งทิ้งครอบครัวไปเลยก็มีโดยอ้างว่าทำเพื่อพวกเขา แต่ในความเป็นจริงพวกเขาทำเพื่อตัวเอง"


สีหน้าของอาเนียไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมจึงยกเท้าหน้าอันสั้นนุ่มแตะต้นขาของเธอ สีหน้าอีกฝ่ายดีขึ้นเมื่อเห็นผมฉีกยิ้มให้จึงน่าจะช่วยเยียวยาหัวใจได้ระดับหนึ่ง ผมไม่เข้าใจหรอกว่ามารศาสตร์มืดเหล่านั้นเคยย่ำยีหัวใจอันขาวสะอาดของเด็กผู้หญิงแสนบอบบางนี้ได้ยังไง


"อาจารย์เองเคยเป็นหนึ่งในมารศาสตร์มืดเช่นกัน" เมื่อพูดจบประโยคอาจารย์เอกจึงถอดเสื้อเปลือยท่อนบนโดยไม่อายเหล่านักเรียน เผยให้เห็นรอยสักลวดลายซับซ้อนแปลกประหลาดทั่วร่างกายอันกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามสุดแกร่งจนทำให้นักเรียนหญิงส่วนใหญ่หน้าแดงก่ำ แต่คนอื่นกลับทำหน้าตกใจอย่างมากจนอ้าปากค้าง ผมเองก็เช่นกัน 


อาจารย์เอกมีสีหน้านิ่งเรียบ 


"รอยสักพวกนี้จะปรากฎขึ้นเมื่อได้ศึกษาศาสตร์มืดจนบรรลุ จำนวนรอยสักคือตัวกำหนดระดับพลังของมารตัวนั้น ๆ"

"งั้นแสดงว่า..." เสียงนักเรียนชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าพูดขึ้น เสียงของเขาสั่นเครือเหมือนทำท่าหวาดกลัว

"อาจารย์เคยเป็นมารศาสตร์มืดขั้นสูง สามารถใช้คำสาปถึงตายทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว จะว่าแกร่งที่สุดในบรรดามารเลยก็เป็นได้" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูน่าสะพรึงกลัว "แต่แล้วอาจารย์กลับสู่เป็นผู้วิเศษเหมือนเดิมเพราะได้อาจารย์ใหญ่คอนเนอร์ช่วยไว้ ส่วนคุณแจ็ก ผมดีใจที่คุณกลัวศาสตร์มืด เพราะมันทุกทรมาณยิ่งกว่านรกเจ็ดขุม ต่อให้ตายก็ไม่มีวันได้เกิด ต้องชดใช้กรรมจนจิตวิญญาณถูกฉีกชาดเสียหายไปข้างหนึ่ง"


เด็กผู้ชายคนนั้นถึงกับหน้าเจือนลงในทันที ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปหมดไม่ต่างจากนักเรียนปีหนึ่งที่เหลือ


"พวกเธอยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจของโลกผู้ใหญ่" อาจารย์เอกสวมเสื้อกลับมาอย่างเดิม แต่ลวดลายอันแสนน่าสะพรึงกลัวยังติดตาพวกเรา ผม"ทางรัฐบาลได้ทำการตามล่าเหล่ามารและสามารถสังหารได้ทันทีอาจไม่สามารถจับเป็น"


จากห้องเรียนวิชาป้องกันตัวที่ควรสนุกและได้เรียนการต่อสู้ กลับกลายเป็นว่าอาจารย์เอกเล่าเรื่องหดหู่ทำเอาบรรยากาศอึมครึมไปทั่ว จนไม่อยากมีนักเรียนคนไหนมีใตอยากเรียนอีกต่อไป 


.................


หลังคาบเรียนวิชาป้องกันตัวตรงเวลาเที่ยงวันมื้อกลางวัน นักเรียนส่วนใหญ่มักมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อสาขาใหญ่ใจกลางโรงเรียน ผมและอาเนียยืนมองเหล่านักเรียนรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันต่างเบียดเสียดพยายามเข้าไปซื้อมื้อเที่ยงด้วยความหมดหวัง ท้องของเราเริ่มส่งเสียงครวญครางอย่างบ้าคลั่ง


"รู้สึกว่าเราจะต้องหาเวลามาเหมาของในร้านพวกนี้แล้วล่ะ" ผมพูดพลางถอนหายใจนึกถึงเนื้อติดกระดูก

"เงินในกระเป๋าตอนนี้จะให้ซื้อของกินที่นี่ไม่ได้ยันจบปีหรอก" อาเนียพูดพลางหยิบถุงเงินออกมาเขย่าแล้วถอนหายใจ 

"ยังมีอีกหลายคนที่เจอปัญหาอย่างเรานะ" ผมมองไปรอบ ๆ เห็นนักเรียนหลายคนยืนมองร้านสะดวกซื้อสาขาใหญ่ที่มีคนอัดแน่นไม่ต่างจากปลากระป๋อง แต่แล้วอาเนียหันไปเจอใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันมาก

"เราไปช่วยคนนั้นดีไหม?" อาเนียถามพลางเดินเข้าไปหานักเรียนปีหนึ่งที่เพิ่งเรียนห้องเดียวกัน "เข้าไปในร้านไม่ได้สินะแจ็ค วันนี้คนเยอะมากเลย"

"ไม่นึกว่าคนจะเยอะได้มากขนาดนี้ เมื่อวานคุณแม่ทำมื้อเที่ยงมาให้กินเลยไม่มีความจำเป็นต้องมาซื้ออะไร แต่วันนี้กลับแตกต่าง" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาเป็นเด็กหนุ่มตัดผมสั้นสีดำขวับเปิดหน้าผาก ใบหน้าเรียวขาว ดวงตาคมและจมูกเป็นสัน ในขณะนั้นอาเนียถึงกับตะลึงในความหล่อเหลาของเด็กหนุ่มจึงหน้าแดงก่ำราวมะเขือเทศในทันที "ขอโทษที เมื่อกี้เราเรียนอยู่ห้องเดียวกันสินะ ผมชื่อแจ็ค ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"


เขายื่นมือออกมา อาเนียลังเลอยู่เพียงไม่กี่อึดใจก่อนยื่นมือไปจับอีกฝ่าย ผมที่มองค้อนด้วยสายตาอำมหิตพร้อมเสกคาถาสักบทสาปไอ้เจ้าเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากลายเป็นคางคกแล้วกัดให้จมเขี้ยวจริง ๆ

_______________________________


To Be Continue Ep.10