หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ
เฌอแตมบังเอิญผ่านมาพร้อมกับขนมปังสอดไส้เนื้อฉีกสามชิ้น เธอคือผู้รอดชีวิตจากสงครามร้านสะดวกซื้อสาขาใหญ่และยังให้ข้อมูลมาอีกว่า ร้านสะดวกซื้อสาขาใหญ่นั้นมีอาหารที่ดีกว่าสาขาย่อย เพื่อความอิ่มหนำสำราญของเหล่านักเรียน
"แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเอาตัวรอดจากโรงเรียนนี้เลย" เด็กสาวตอบพลางเขมือบขนมปังสอดใส้เนื้อจนหมดก่อนยื่นให้อาเนียและแจ็ค "เด็กปีหนึ่งควรรู้สึกทางหนีทีไล่ของโรงเรียนนี้บ้างก็ดี ที่นี่ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น"
เมื่อได้ยินสิ่งที่รุ่นพี่พูดออกมาทำให้ผมเกิดขนลุกขึ้นมากระทันหัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าโรงเรียนใหญ่ยักษ์หยั่งกับประสาทฮอกวอลส์ไม่ได้รับประกันความปลอดภัยแก่นักเรียนเลยงั้นเหรอ!?
แต่ว่า...ไอ้โรงเรียนเวทมนตร์ของอังกฤษนั่นสุดท้ายก็เละไม่เป็นท่านี่หว่า...
อาเนียรับขนมปังสอดไส้เนื้อควันฉุย กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูกชวนน้ำลายสอ เสียงท้องน้อย ๆ ร้องครวญคราง สีหน้าของผมเหยเกด้วยความหิว แต่แล้วเฌอแตมยื่นเนื้อฉีกมามือกำมือพร้อมรอยยิ้มราวกับพระแม่มารี
"คงจะหิวแล้วใช่ไหมจ๊ะ เจ้าหมาน้อย" เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อสังเกตดูดี ๆ เธอเป็นเพียงนักเรียนปีสองรูปร่างสมส่วน ผมดำสนิท ดวงตาสีนิลเป็นประกายราวกับแสงสุดท้ายท่ามกลางความมืดมน ผิวขาวเนียนแบบลูกคุณหนูซึ่งได้รับการดูแลมาอย่างดี เรียวมือขาวสวยจนผมแอบน้ำลายสอแม้ว่าจะมีเนื้อฉีกควันฉุยวางอยู่ ผมแทบไม่สนใจเนื้อตรงนั้นแต่พุ่งเข้าเขมือบมันอย่างตะกละตะกามรวมถึงใช้ลิ้นเลียฝ่ามือของเธอจนไม่เหลือแม้แต่คราบมันจากเนื้อแม้แต่นิดเดียว...ให้ตายสิ...ฝ่ามือของเธอช่างเรียบเนียนเหมือนผิวเด็กทารกจริง ๆ
"นี่นัปโปะ ไม่ได้นะไปกินของเขาได้ยังไง ของฉันก็ยังมีอยู่" เธอหยิบเนื้อออกมาวางบนมือ แต่มันกลับลวกมืออันเรียวขาวของอาเนียจนเผื่อทำของกินตกพื้น ผมมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง
"ฉันจะไม่ยอมก้มลงไปกินเด็ดขาด..."
........................
คาบวิชาคาถาเป็นวิชาเรียนโปรดของนักเรียนหลายคน อีกทั้งยังมีอาจารย์สาวสวยอย่างอาจารย์นิต้าซึ่งเป็นผู้วิเศษเชี่ยวชาญคาถาได้มากกว่าหนึ่งพันคาถา สร้างความน่าสนอกสนใจต่อนักเรียนชายวัยกำลังเจริญพันธุ์อย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่ยังสาวสะพรั่งอายุยี่สิบต้น ๆ เส้นผมสีม่วงสว่างราวกับกุหลาบ รูปร่างหุ่นนาฬิกาทราย ส่วนเว้าส่วนโครงชัดเจน ดวงตาสีฟ้าครามเป็นประกายดูมีเสน่ห์ แม้แต่ผมเองยังเกือบหลวมตัวเข้าให้
เราเจอเธอครั้งแรกโดยบังเอิญเมื่อยามวิกาล แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเราซ่อนตัวบนเพดาน บอกตามตรงว่าบุคลิกของอาจารย์สาวผู้นี้ช่างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักนักเรียนทุกคนเหมือนน้องชายน้องสาวอีกทั้งยังเอ็นดูสัตว์เลี้ยงอย่างผมจนถึงขนาดถูกอุ้มไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเหมือนตุ๊กตายังไงยังงั้น แถมยังรู้อีกว่าผมเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถร่ายเวทย์เหมือนผู้วิเศษทั่วไปได้ แน่นอนว่ายามที่ใบหน้าได้ซุกร่องอกของอาจารย์สาวนางนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามตัวเองชวนให้เหล่านักเรียนชายต่างอิจฉากันยกใหญ่
ผมแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมหันไปหาเหล่านักเรียนชายพลางพูดกระซิบในลำคอ
"อิจฉากันล่ะสิเจ้าพวกเล็กน้อย"
เมื่อถึงเวลาเริ่มเรียนกันจริงจัง อาจารย์นิต้าไม่ได้เอ่ยถึงพวกมารศาสตร์มืดแม้แต่คำเดียว แต่กลับใช้คำว่า 'สิ่งชั่วร้าย' แทนเพื่อรักษาจิตใจของนักเรียน จากนั้นทำการสอนคาถาที่พอใช้ในชีวิตประจำวันได้ ข้อดีของวิชานี้คือไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือเรียนเนื่องจากเป็นวิชาปฏิบัติ การร่ายคาถาให้มีผลลัพธ์ร้อยเปอร์เซ็นต์สำคัญว่าความถูกต้องในหนังสือ ซึ่งผมเห็นด้วย เนื่องจากบางอย่างที่ผมเรียนรู้จากในหนังสือเรียนก็ไม่สามารถร่ายคาถาได้ผลลัพธ์ที่น่าพึ่งพอใจ
"นักเรียนรู้หรือไม่คะว่าเราถึงต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ในการร่ายคาถาทั้ง ๆ ที่ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครใช้เลย" อาจารน์นิต้ายิงคำถามแรก ซึ่งผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากจึงฟังอย่างใจจดใจจ่อ อาจารย์สาวยิ้มก่อนเริ่มอธิบาย "ไม้กายสิทธิ์เป็นเพียงอุปกรณ์ในการควบคุมพลังเวทย์ของเรา สามารถทำให้โฟกัสไปยังจุดเดียว และการร่ายคาถาด้วยคำพูดเป็นเหมือนการใช้คำสั่งว่าจะร่ายเวทย์อะไร สมัยก่อนเพียงร่ายเวทย์ด้วยคำพูดและมองไปยังเป้าหมาย จะทำให้เวทย์ใช้งานได้ด้วยการควบคุมอันละเอียดอ่อน พอเมื่อเวลาผ่านไปความสามารถนี้ค่อย ๆ ลดทอนลงอย่างไร้สาเหตุจนเกิดการประดิษฐ์ไม้กายสิทธิ์ขึ้นเพื่อทดแทนกัน" อาจารย์นิต้าเสกแท่นไม้ขึ้นมาวางหน้าชั้นด้วยไม่ได้ร่ายเวทย์ ยิ่งสร้างความอัศจรรย์ใจแก่นักเรียน "การเสกคาถาโดยไม่มีการร่ายเวทย์นั้นยิ่งต้องการสมาธิอันแรงกล้า โดยอาจารย์ในโรงเรียนทำได้เพียงไม่กี่คน แน่นอนว่าอาจารย์ใหญ่คอนเนอร์ทำได้แม้ไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ และการที่ร่ายเวทย์ด้วยการไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์จะเป็นแบบนี้...อียอนน่า"
สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้น แท่นไม้นั่นลอยขึ้นอย่างง่ายดายโดยที่ไม้กายสิทธิ์ของอาจารย์นิต้ายังไม่ถูกโบกแม้แต่น้อย มีเพียงดวงตาอันมุ่งมั่นจับจ้องไปยังวัตถุเท่านั้น สร้างความประหลาดใจตื่นเต้นแก่นักเรียนทั้งชั้น
"ก็จะประมาณนี้ มันเป็นศาสตร์ขั้นสูงซึ่งอาจจะได้เรียนช่วงมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้พวกเธอยังเป็นนักเรียนปีหนึ่งโดยมันยากเกินไป ฉะนั้นให้ตั้งใจเสกคาถาด้วยไม้กายสิทธิ์ไปก่อน" อาจารย์นิต้าเดินเข้ามาหาผมก่อนวางมือลงบนศีรษะพร้อมลูบไปมา อ่าาา...ช่างเนียนนุ่มเสียเหลือเกิน "อยากลองเสกคาถาสักอย่างดูไหมล่ะจ๊ะ เจ้าหมาน้อย"
"ดะ...ได้ครับ" ผมชักไม้กายสิทธิ์ออกมาจากซองเก็บคาบไว้ในปาก อาเนียดูท่าทางภูมิใจไม่น้อย
"ลองเสกคาถายกของดู ให้กระดาษแผ่นนี้ลอย" เธอบอกพร้อมเสกกระดาษแผ่นสีขาวไว้ตรงหน้านักเรียนทุกคน "เหมือนที่เราเรียนกันเมื่อวาน คำร่ายง่าย ๆ สามพยางค์ เพ่งจิตไปยังวัตถุอย่างพอดีแล้วร่าย"
ทุกคนหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา พอสังเกตว่าดีไซน์การออกแบบไม้แต่ละแท่งนั้นแตกต่างกันในแบบที่ไม่มีไม้กายสิทธิ์แท่งไหนเหมือนกันเลย พวกเขาพยายามร่ายคาถายกของกับกระดาษแผ่นบางเบาไม่ต่างจากขนนกอย่างยากลำบาก เพียงไม่นานอาเนียกลับร่ายได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าผมเองก็ร่ายได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เชื่อเถอะว่าการจับเคล็ดการร่าย จึงไม่มีคาถาไหนยากสำหรับผมอีกเลย
กระดาษแผ่นบางสีขาวของผมและอาเนียลอยขึ้นไปบนอากาศ ท่ามกลางความเงียบงันของเหล่านักเรียนคนอื่น ซึ่งแจ็กเองอ้าปากเหวอกับสิ่งที่เห็นเด็กสาวกับสัตว์เลี้ยงใช้คาถาพร้อมเพรียงกัน
อาจารย์สาวเบิกตาโตประทับใจกับผลลัพธ์อันน่าเพิ่งพอใจ
"เก่งมากเลยอาเนียและนัปโปะ พวกเธอเป็นเด็กปีหนึ่งคนแรกที่สามารถร่ายคาถายกของได้อย่างแม่นยำ" จากนั้นจึงหันขวับกลับมาหานักเรียนที่เหลือซึ่งยังไม่สามารถทำให้แม้แต่กระดาษขยับ "พวกเธอฝึกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะลอย อาจารย์จะสอนคาถาต่อไปให้สองคนนี้แล้ว"
"หมาร่ายเวทย์เก่งกว่าผมแบบนี้มันยอมไม่ได้หรอกครับ!" เสียงเด็กชายเสียงห้าวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "อิกโยนัน!"
"เฮ้ย! เรย์ม่อนต์! แกร่ายคาถาผิดโว้ย!!"
ตูม!!
เกิดประกายไฟขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นระเบิดขนาดจิ๋ว กระดาษแผ่นขาวสะอาด บัดนี้ติดไฟไหม้เป็นเถ้าธุลี อาจารย์นิต้าถอนหายใจก่อนร่ายเวทย์เสกน้ำดับเพลิง
"ก่อนจะเสกคาถาให้สำเร็จคงต้องเรียนรู้ในการออกเสียงอย่างชัดเจนถูกต้องเสียก่อนนะจ๊ะ เรย์ม่อนต์" เธอตำหนินักเรียนชายร่างสูงใหญ่กว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นจนทำให้เขาตัวลีบเล็กลงอย่างรวดเร็ว "ความใจร้อนไม่ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นหรอกนะ"
"คะ...ครับ..."
หลังจากนั้นภายในห้องเรียนคาถาชั้นหนึ่งมีเสียงระงมจากการซ้อมท่องคาถายกของให้ลอยขึ้น ซึ่งแต่ละคนนั้นพอเริ่มจับเคล็ดได้จึงสามารถเสกให้กระดาษลอยขึ้นอย่างง่ายดาย อาจารย์นิต้าเห็นดังนั้นจึงพอใจแล้วเปลี่ยนกระดาษให้เป็นก้อนหิน ซึ่งแน่นอนว่าผมกับอาเนียสามารถยกเหล็กหนักสิบกิโลกรัมได้อย่างรวดเร็ว เพราะเคยยกร่างมนุษย์ที่หนักสี่สิบกว่ากิโลกรัมมาแล้ว ดูเหมือนว่าอาเนียจะสุดอยู่เพียงสิบกิโลกรัม แต่นั่นถือว่าเธอทำได้ดีกว่าทุกคนในห้องแล้ว
ต่อมาอาจารย์สาวได้สอนคาถาง่าย ๆ อีกสองอย่างนั่นก็คือ 'คาถาเรียกของ' และ 'คาถาซ่อมแซม' ซึ่งต้องใช้สมาธิที่แน่วแน่มากขึ้น ซึ่งคาถาซ่อมแซมนั้นผมเคยเห็นเมื่อคุณแม่ของอาเนียใช้มันจัดการกับกำแพงที่แตกเพราะคาถาปลดอาวุธซึ่งกลับกลายเป็นเส้นคาถาขนาดใหญ่ที่มีพลังโจมตีสูง โดยอาจารย์นิต้าจะเสกแจกันหรูหราใบหนึ่งขึ้นมาแล้วทุบให้แตกด้วยค้อนเพื่อใช้คาถาในการซ่อมแซม ผมยังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนอาเนียและแจ็คสามารถซ่อมแจกันให้กลับมาคงสภาพเดิมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
วันต่อมาตารางเรียนใหม่ถูกติดไว้ที่บานประตูห้อง โดยวันนี้มีเรียนวิชาคาถาป้องกันตัวเป็นวิชาแรกเหมือนเมื่อวาน โดยคราวนี้ทุกคนต้องนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปด้วย
ซึ่งผมเพิ่งเคยเห็นสัตว์วิเศษโลกนี้ที่แตกต่างไปจากในร้านขายสัตว์เลี้ยง แต่พวกมันส่วนมากดูเหมือนสัตว์ในโลกมนุษย์ชาติก่อน หากมองไปรอบ ๆ คาดคะเนด้วยสายตา นักเรียนกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลี้ยงนกฮูกหรือไม่ก็นก หรือสัตว์ตัวจิ๋วอย่างแฮมสเตอร์ แน่นอนว่าผมสื่อสารกับพวกมันได้ แต่เลือกที่จะไม่ดีกว่า
"ไอ้บักหง่าวนี่มันใช้เวทมนตร์ได้นั้นเหรอ?" นาฮูกขนสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่งพูดขึ้นซึ่งมันไปกระตุกต่อมความอยากรู้ของนกฮูกตัวอื่น ๆ ในขณะที่แฮมสเตอร์ตัวเล็กตัวหนึ่งซึ่งก้มหมอบด้วยความกลัวตัวสั่นกับเหล่าสัตว์ปีก ผมที่ยืนอยู่ระหว่างกลางทั้งคู่จึงแยกเขี้ยวขู่นกตาโตเหมือนหลอดไฟ
"ถ้าแกหยามเจ้าแฮมสเตอร์ตัวนั้นอีกครั้งเดียว กูจะกัดคอมึงให้หลุด ดึงลิ้นออกมาแล้วใช้ยิงคาถาใส่ลิ้นอีกที" เชื่อเถอะว่าเจ้านกฮูกขี้ข่มหน้าซีด ดวงตาเปิดโพล่งด้วยความกลัวก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับปาก
"ขะ...ขอโทษ...จะไม่ทำอีก..."
"ดี" ผมพ่นลมออกทางจมูกอย่างดูถูกก่อนหันไปหาแฮมสเตอร์ซึ่งเป็นหนูของแจ็คนั่นเอง...เดี๋ยวนะ มันสะเอ่อะมานั่งข้างอาเนียเจ้านายแสนรักแสนหวงของผมได้ยังไง!?
"ไปบอกเจ้านายของแกด้วยว่าถ้าไม่อยากโดนกัดจมเขี้ยวแล้วถูกดึงลิ้นออกมาเพื่อโดนคาถาเจาะให้เป็นรูพลุนล่ะก็ ไปนั่งห่าง ๆ เจ้านายฉันเดี๋ยวนี้" ผมขู่ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
____________________________________
To Be Continue Ep.11