หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ
"อาจารย์ใหญ่คอนเนอร์ มาหาถึงห้องเรียนแบบนี้เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?" อาจารย์เอกพุ่งเข้ามาถามพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก "ปกติอาจารย์ใหญ่ท่านไม่มาที่นี่หากไม่มีเรื่องสำคัญแบบคอขาดบาดตาย"
ฝ่ายอาจารย์ใหญ่หัวเราะกับท่าทางอันตื่นตระหนกแสนขำขัน
"ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องร้ายอะไรหรอก แต่มีเหตุจำเป็นต้องมา" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ทรงพลังชวนน่าเคารพในฐานะผู้อาวุโสและอาจารย์ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่ง เขามองมายังผมด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ชั่วเสี้ยววินาทีเหมือนเห็นว่าเขาแสยะยิ้มให้ผมเหมือนกับที่เคยทำในคืนนั้น เขาชี้มาทางผมอย่างมั่นใจ "ผมมีธุระต้องคุยกับหมาตัวนั้นและเจ้าของของมัน"
คำพูดของอาจารย์ใหญ่ชวนให้ทั้งอาจารย์และนักเรียนต่างงงงวยกันจนไปไม่เป็น ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มผู้มีงูขนาดใหญ่พาดบ่าต้องยอมแต่โดยดี ในขณะที่เจ้างูตัวนั้นทำท่าขู่ฟ่อ แต่พอชายชรายกมือขึ้นลูบศีรษะงู เจ้าสัตว์เลี้อยคลานกลับสงบลงในทันทีอย่างน่าประหลาด
............
ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ตั้งอยู่ ณ จุดสูงสุดของหอคอยที่เชื่อมกับปราสาทโรงเรียนหลัก ผมกับอาเนียเดินตามหลังชายชราสวมเสื้อคลุมสีเทาเข้ม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเดินเร็วจนพวกเขาเกือบวิ่งตาม ด้วยความที่อยู่ในเวลาระหว่างคาบเรียน ทางเดินโดยรอบนั้นว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนหรือตอนนี้คงไม่ต่างกัน มีคบไฟติดอยู่เหนือศีรษะประมาณสามเมตรมอบความสว่างไสวไปทั่วบริเวณ
เราไม่ได้พูดอะไรระหว่างทาง ความอึดอัดแผ่กระจายไป ร่างกายอันสั้นป้อมของผมสั่นระริก จะกลัวก็ไม่ใช่ จะหวาดก็ไม่เชิง ส่วนอาเนียไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่อย่างเดียว
"เอ็นเดเวอร์" อาจารย์ใหญ่ทาบฝ่ามือลงบนประตูไม้เก่า ๆ จะพังเหล่มิพังเหล่ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาจึงเกิดประกายไฟจนแผดเผาจนเกลี้ยง เผยให้เห็นประตูหินแกะสลักอีกชั้น เราสองคนเบิกตามองขณะประตูหินนั่นเปิดด้วยตัวเอง เขาเดินนำเข้าไปแล้วผายมือให้ตามมา "ห้องของอาจารย์ใหญ่ น้อยคนนั้นที่จะได้เข้ามาถึงที่นี่ เอ้า! เข้ามาสิ"
ในห้วงลึกของจิตใจมีบางอย่างสะกิดต่อมความรู้สึกคุ้นเคยต่ออาจารย์ใหญ่ท่านนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยสนทนาพูดคุยรู้จักกันมาก่อน ผมจึงเดินตามอาเนียเข้าไป
ภายในห้องกว้าง มีหนังสือมากมายเรียงในตู้ไม้โอ๊คสูงจรดเพดาน โต๊ะไม้ขนาดยาวตั้งกลางห้อง ด้านบนมีอุปกรณ์การเขียนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นปากกาขนนกสีทอง ไม้บรรทัด วงเวียนและอะไรหลายอย่างที่ผมไม่คุ้น ยังไม่รวมเหล่าข้าวของเครื่องใช้ทั้งโบราณและร่วมสมัย...เดี๋ยวนะ...? ร่วมสมัยงั้นเหรอ??
เครื่องสีขาวตั้งวางอยู่ตรงมุมห้องพร้อมสายไฟพ่วงเข้ากับโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ ดวงตาผมเบิกกว้าเมื่อเห็น PS5 ในโลกนี้อย่างแปลกประหลาด ยังไม่รวมเครื่องเกม Nintendo Switch ตั้งอยู่ข้างกันด้วย
"มีไอโฟนด้วยหรือเปล่าครับ?" ผมถามกลับไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
"ไอโฟน?" เธอขมวดคิ้ว "ของแบบนั้นจะไปมีในโลกนี้ได้ยังไง ไปฟังอาจารย์สตีฟเราเรื่องงมงามมาอีกแล้วเหรอ?"
"ปะ...เปล่านะ! อาจารย์ใหญ่คนนั้นมีอุปกรณ์ที่อยู่ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ปะทะเวทมนตร์ศาสตร์อยู่ด้วย อะ...อันนี้ไง อันนี้!!" ผมพยัดเผยิดไปทางเครื่องเกมสีขาวและเครื่องเกมสีสลับแดงฟ้า แต่บัดนี้ได้หายวับไปกับตาพร้อมทีวีจอแบน ทำให้ผมกลายเป็นหมาเลี้ยงแกะโดยปริยาย
"เป็นหมาที่ขาสั้นแต่ปากไม่สุขเลยจริง ๆ" อาจารย์ใหญ่ยกร่างผมด้วยคาถาดึงมาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะหัวเราะ หึหึ ออกมาน่าขนลุกก่อนลูบไล้ผมไปทั่วร่างกายด้วยฝ่ามืออันหยาบกร้านทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว "จำฉันไม่ได้เหรอว่าใคร?"
"นัปโปะรู้จักกับอาจารย์ใหญ่..." ก่อนอาเนียจะได้พูดอะไรต่อ ร่างกายของเธอกลับค้างนิ่งไม่ไหวติง
“แกทำอะไรอาเนีย!!” ผมชักไม้กายสิทธิ์ออกมาจ่อพร้อมร่ายคำสาปที่รุนแรงที่สุด “ต่อให้เป็นอาจารย์ใหญ่ฉันก็ไม่ปล่อยไปแน่!! ไอ้ชาติชั่ว!!”
“ปากหมาเสียจริงนะ ฉันเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ก็จะไม่ปล่อยไปงั้นเหรอ?“ ชายชราหันกลับมาเผชิญหน้าพร้อมมือไขว้หลัง นั่นทำให้ผมไม่รู้สึกไว้ใจเท่าไหร่
”ซ่อนอะไรอยู่ด้านหลัง!? เอาออกมา!!“ ความกลัวและความโกรธเกรี้ยวสุมในอก ตอนนี้ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าควรร่ายคาถาไหนรุนแรงพอที่จะจัดการอีกฝ่าย หากว่าอาจารย์ใหญ่ตั้งรับได้อย่างง่ายดายแล้วชิงลงมือสวนกลับก่อนคงจบไม่สวยแน่ ๆ
“ชาติที่แล้วไม่เห็นปากเก่งเท่านี้เลย” คำพูดของชายชราทำให้ผมชะงัก “ใช่ไหมล่ะทอม?”
ชาติที่แล้ว?
ทอม...ชื่อเราเมื่อชาติก่อน...?
.
.
.
หรือว่า....
“ผู้สร้างระบบ?” ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ภายในใจตีกันไปมาว่าสมควรไว้ใจอีกฝ่ายได้หรือไม่ “จะให้เชื่อได้ยังไง ไม่มีทาง…”
“ไม่ขอบคุณตอนที่ช่วยเหลือก็ไม่ว่าหรอกนะ ผ่านไปเป็นเดือนคงลืมไปแล้วล่ะสิ” อีกฝ่ายพูดเป็นปริศนาพลางชี้นิ้วโป้งไปยังผู้เป็นนายก่อนยกมือขึ้นเท้าเอว “ถ้าไม่ช่วย เธอคงโดนลงโทษไปแล้ว”
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง…” หากคิดดี ๆ แล้ว เมื่อเดือนก่อนที่พวกเราใช้คาถายกของลอยขึ้นเพดานเพื่อซ่อนตัวจากภารโรงและเหล่าอาจารย์ ในตอนนั้นอาจารย์ใหญ่คนนี้ร่ายอะไรบางอย่างทำให้ไม่สามารถมองเห็น ผมจึงลดการ์ดลงและควบคุมการหายใจให้คงที่ “เป็นแกนี่เอง…ขอบคุณ”
“ได้เสมอ” อีกฝ่ายดีดนิ้วดัง เป๊าะ! หนึ่งที ร่างกายแปลงเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกลาง ๆ ผมสีดำตัดสั้นเปิดข้าง แต่งตัวด้วยสูทกางเกงสแล็กสีแดงสดเต็มยศพร้อมผูกหูกระต่ายสีเหลืองซึ่งดูไม่เข้ากัน เขาเสกหมวกทรงสูงสีดำใบหนึ่งจากความว่างเปล่าก่อนเปลี่ยนมันเป็นหญิงสาวผมยาวสีแดงดวงตาเป็นประกายสีเดียวกัน สวมเดสกระโปรงสีขาวเปิดไหล่ยาวคลุมเข่าอายุน่าจะยังอยู่ในวัยมหาวิทยาลัย เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน แฝงไปด้วยความซุกซนซ่อนภายใน “ทำความรู้จักกับเพื่อนเก่าสิทอม”
“ฟิโลโซเฟอร์ค่ะ หรือที่คุณทอมเรียกเราง่าย ๆ ว่าฟีล่าน่ะ” ผมเบิกตาโตพร้อมอ้าปากค้างทำให้ไม้กายสิทธิ์หล่นจากปาก ไม่น่าเชื่อว่าฟีล่าจะสวยขนาดนี้ เผลอ ๆ สวยกว่าอาเนียเสียอีก
“พอเลย ๆ ไม่ต้องคิดจะจีบฟิโลโซเฟอร์ของฉันเลยนะ” ชายหนุ่มโอบไหล่ฟีล่าอย่างหวงแหน “ยัยนี่เป็นภรรยาของฉัน”
“ฝันไปเถอะย่ะ ใครจะไปยอมเป็นเมียคนอย่างนายกันล่ะ ที่ยอมแต่งเพราะขึ้นคานแล้วต่างหาก” หญิงสาวร่างเล็กโวยเสียงเชียว คิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้าแดงระเรือ สุดท้ายก็ชูแหวนแต่งงานบนนิ้วนางซ้ายมืแ “แต่ก็นะ อายุตั้งหลายพันปีแล้วถ้าไม่แต่งเสียเนิ่น ๆ คงจะขึ้นคานตลอดชีวิตแน่”
“ก็…ตามนั้นแหละ ภรรยาเป็นคนประเภทหยอดห้าบาทได้ฟังทั้งอัลบั้มน่ะ” ผู้สร้างระบบลูบศีรษะภรรยาสาวด้วยความเอ็นดูก่อนตัดสินใจเข้าประเด็น “ได้มาอยู่ในร่างหมาแบบนี้เป็นยังไงบ้าง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนจะไปได้ด้วยดีนะ ถึงขนาดคาบไม้กายสิทธิ์ร่ายเวทมนตร์ไปตั้งหลายบทแน่ะ เก่งไม่เบาเลย คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ให้มาเกิดใหม่บนโลกนี้”
“ทำให้อาเนียกลับมาเคลื่อนไหวอย่างปกติซะ” ผมไม่สนใจอีกฝ่าย “ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ให้อภัยแกแน่”
“ฉันแค่ทำให้เวลาภายนอกหยุดเท่านั้นแหละ ถ้าฉันทำการเลื่อนเวลา เธอจะรู้สึกว่าผ่านไปแค่หนึ่งวินาที ในระหว่างนั้นเราสามารถนั่งคุยกันได้แบบไม่มีวันจบไปตลอดกาลยังได้” เขากางมือออก รอยยิ้มแสนกวนประสาทนั้นชวนให้อยากยิงคำสาปใส่เสียเหลือเกิน “เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า ตอนนี้มารศาสตร์มืดกำลังก่อตัวขึ้นมา คนที่ฉันส่งมาจากต่างโลกก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่นายที่ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง”
“เคยเรียนในวิชาป้องกันตัวมาแล้ว พวกสวะดี ๆ แค่นั้นเอง” ผมเก็บไม้กายสิทธิ์เข้าซองหนังก่อนหย่อนก้นนั่งลงกับพื้น “อาจารย์เอกบอกว่าจอมมารกำลังรวบรวมพรรคพวกเพื่อควบคุมโลกทั้งใบ แต่เพื่ออะไร โลกนี้มันมีอะไรให้ควบคุมนักหนา พอควบคุมแล้วจะได้อะไร? พอตั้งคำถามแบบนี้กับอาจารย์เอกซึ่งเคยเป็นหนึ่งในมารก็ตอบไม่ได้”
“คราวนี้มารศาสตร์มืดแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม มันมีเป้าหมายแอบแฝง” ฟีล่าตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ผมแดงเพลิงยาวของเธอพริ้วไหว “ไม่มีใครตอบได้หรอกว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรแน่ แต่รู้ได้ว่าพวกมันต้องการอะไรบางอย่างที่นี่ มันคือ ‘คัมภีร์พระเจ้า’ มันสามารถบันดาลทุกสิ่งให้เป็นไปได้หนึ่งข้อ”
ผมทำหน้างงงวยปนตกใจจนเผลอกัดลิ้นตัวเอง
“คิดว่าที่นี่เป็นฮอกวอสหรือไง!?” ผมตะเบ็งเสียงด้วยโทสะ “ของแบบนั้นเอามาเก็บไว้ที่นี่ก็จะกลายเป็นหลุมศพของเหล่านักเรียนนับพัน ไม่คิดเลยหรือไง…” จู่ ๆ ผมจึงนึกอะไรได้บางอย่าง “นายเป็นผู้สร้างระบบนี่ จะหายตัวเข้าไปเอาคัมภีร์พระเจ้าบ้าบอนั้นออกมาตอนนี้เลยก็ยังได้ ทำไมไม่ทำวะ? พอได้มาจากนั้นค่อยเอาไปซ่อนที่ไหนก็ได้ให้ไกลจากผู้บริสุทธิ์”
ผู้สร้างระบบยืนนิ่ง สีหน้าไม่สามารถคาดเดาอารมณ์
“มันหายไป…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ต่อให้ใช้ระบบทั้งหมดหาแล้ว ดูเหมือนว่ามันอยู่ที่ไหนสักแห่งในที่ที่ระบบไม่สามารถตรวจสอบได้”
“ชักจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว” ผมยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นมาก่ายหน้าผาก “คัมภีร์พระเจ้าเลยนะโว้ย! ไม่ใช่ปากกา!! ของวิเศษพลังอำนาจล้นขนาดดลบันดาลถึงขั้นเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ไม่ควรอยู่ในความรับผิดชอบเป็นศูนย์อย่างนายเลยว่ะ!!”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” ฟีล่าสมทบ “งั่งเสียไม่มี…แต่ก็รักนะ…”
“ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า” ผู้สร้างระบบถอนหายใจ รอยยิ้มกวนประสาทบนใบหน้าหายไปทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนแปลงราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ “แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม สงครามมันกำลังใกล้เข้ามา รัฐบาลไม่ยอมมอบกำลังทหารจอมเวทย์ได้แน่ แถมมหาจอมเวทย์คงไม่สนใจเข้าร่วม มีแต่นายนั่นแหละที่จะปกป้องที่นี่และจะยุติสงครามเวทมนตร์นี้ได้”
ผมเงียบไปได้ชั่วครู่
“นี่มึงส่งกูมาโลกนี่ทำไมวะเนี่ย!!” ผมแผดเสียงดังลั่น คิดไว้มาตลอดว่าเกิดใหม่ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแบกรับความกดดันอะไรนอกจากเป็นหมาใช้เวทมนตร์ได้เพียงเท่านั้น แต่เรื่องราวกลับพลิกผัน “กูอยากเป็นแค่โนบอดี้กลับต้องเป็นซัมบอดี้งั้นเหรอ!? กูไม่ต้องการว้อย!!”
“ช้าไปแล้วล่ะ ทุกอย่างได้ถูกลิขิตไปแล้ว”
“แกนั่นแหละเป็นคนลิขิต” ผมเถียงกลับ “เป็นถึงผู้สร้างระบบเลยไม่ต่างจากพระเจ้าของโลกนี้แล้ว”
“ฉันสามารถมอบร่างมนุษย์ให้นายได้”
___________________________________
To Be Continue Ep.13