หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ
"กี่วันแล้วที่นังเด็กนี่ไม่ยอมแตะข้าวแตะน้ำเลย?" สมุนมารตนหนึ่งเอ่ยถามยามเฝ้าห้องขังด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เขาถูกสั่งการโดยจักรพรรดิมารให้มาตรวจสอบ ซึ่งวันนี้เป็นครั้งที่สิบแล้วที่เขาถูกมอบคำสั่งมาโดยตรงทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงสมุนมารกระจอก ๆ ตนหนึ่งซึ่งสามารถตายโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าได้ตลอดเวลา วันนี้เขากลับลงมายังคุกใต้ดินอีกครั้งจนทหารยามต้องยอมให้ดื่มน้ำจากกระบอกสำรองด้วยความสงสารเพื่อนร่วมเผ่า
"มาดูกี่ครั้งก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" ทหารยามเอ่ยพลางเคาะศีรษะตัวเองด้วยหอกกายสิทธิ์ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายเนื่องจากยื่นเฝ้าอยู่หลายชั่วยาม “ขนาดข้ายืนมองทุกห้าวินาทียังไม่เห็นขยับสักหน่อยเลย ตายหรือยังก็ไม่รู้”
“เจ้าปล่อยให้นางตายไม่ได้สิ ไม่งั้นเราจะซวยกันหมด” สมุนมารตนนั้นขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ยัยเด็กคนนั้นจำเป็นต่อการวิวัฒนาการขององค์จักรพรรดิอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเผ่ามารของเราจะสูญสิ้นจากประวัติศาสตร์ตลอดกาล”
“เหอะ! เด็กคนเดียวทำเอาวุ่นกันทั้งหอคอย” มารทหารยามถอนหายใจยาวก่อนร่ายเวทย์เปิดประตู “เข้าไปดูนางซะ”
อาเนียถูกจับใส่ข้อมือโซ่ตรวนเหล็กอย่างแน่นหนาตรึงกับกำแพงเพื่อไม่ให้สามารถหนีได้ สมุนมารชักไม้กายสิทธิ์ออกมาก่อนก้าวเข้าไปด้วยท่าทางหวาดหวั่นเนื่องจากนักโทษเด็กคนนี้จะคลุ้มคลั่งอีกหรือเปล่า บรรยากาศภายในห้องขังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ความชื้นในอากาศพุ่งสูงผนวกกับความร้อนอบอ้าวภายในดินแดนนรกซึ่งมีเปลวเพลิงลุกโชนตลอดปี
ดวงตาแดงก่ำของสมุนมารมองไปยังชามอาหารที่ยกมาให้เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ตต้มเละ เนื้อย่างแห้ง ๆ และ ซุปกระเทียมโรยด้วยต้นหอมสับละเอียด แม้ไม้ได้เป็นอาหารเลวสำหรับนักโทษปกติซึ่งมีเพียงข้าวสารและน้ำเน่าพร้อมมะนาวหั่นเสี้ยวเล็ก แต่ถือว่าจักรพรรดิมารเมตตาปราณีเด็กคนนี้พอสมควร แต่ทว่าอาหารกลับไปไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย ส่วนอาเนียยังคงนั่งก้มหน้าไม่ขยับตัว หากสังเกตบริเวณหน้าอกที่กำลังขยับจึงเป็นหลักฐานได้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิต นั่นทำให้สมุนมารโล่งใจได้เปาะหนึ่ง
“ไม่ได้แตะอะไรเลยนี่หว่า กินอะไรสักหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายเอานะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มกึ่งข่มขู่
ดวงตาคู่สวยมองขวางผ่านเส้นผมไฮไลค์สีชมพูปล่อยสยายไปยังอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว
“ปล่อยให้ฉันตายตรงนี้แหละ” เธอตอบเสียงทุ้มต่ำ “ยังไงเขาคนนั้นก็จะฆ่าฉันอยู่ดี”
“ยังไงก็ช่าง ข้าถูกรับคำสั่งมาให้แกมีชีวิตรอดจนกว่าจะถึงวันบูชาพระจันทร์สีชาด” สมุนมารก้มหยิบชามข้าวโอ๊ดต้มเย็นชืดขึ้นก่อนมองไปยังเด็กสาวด้วยสายตาเรียบเย็น “ข้าขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้ แต่มันเป็นทางเดียว”
เขากระชากเสื้อยืดของอาเนียให้ลุกขึ้นก่อนบังคับยัดข้าวโอ๊ตใส่ปาก เด็กสาวดิ้นรนต่อสู้ขัดขืนสุดชีวิตทั้งเตะทั้งต่อยทั้งกัด ดูเหมือนว่าฝ่ายสมุนมารก็ไม่ยอมเช่นกัน
“กินเข้าไป กินเข้าไป! กินเข้าไปสิ!!” เขายิ่งกดชามใส่เปื้อนหน้าขาว จมูกจมหายลงไปในอาหารเหนียวหนืดแทบไม่เหลืออากาศให้หายใจ
“เซมมา บีนาซา!” ลำแสงสีม่วงพุ่งมาจากด้านหลังเจาะทะลุหัวใจสมุนมารตนนั้นปลิดชีพในทันที
เมื่อร่างไร้วิญญาณล้มลงพื้น ส่งผลให้ร่างบางหล่นกระแทกพื้นเกิดอาการช้ำนอกเล็กน้อย
จากนั้นจึงได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาทางประตูห้องขัง อาเนียเช็ดพวกข้าวโอ๊ตออกจากใบหน้าพลางมองผ่านเส้นผมอันเปียกเปรอะไปด้วยอาหารกึ่งเหลวไปยังจักรพรรดิมาร...หรือผู้เป็นบิดา
เธอเดินท่าทางโงนเงนไปนั่งหลบมุมเหมือนเดิม ชายร่างสูงในสวมเกราะเหล็กเข้ามานั่งข้าง ๆ พลางหยิบชามข้าวโอ๊ตซึ่งวางคว่ำหกเลอะเทอะ เขาร่ายเวทย์ทำความสะอาดห้องขังพร้อมยกศพออกไปจากห้องขังและสั่งให้กำจัดตามประเพณีฉบับเผ่ามาร
“เหล่าพ่อครัวอุตส่าห์ปรุงอย่างดีเลยนะ” เขาเอ่ยเสียงนุ่มก่อนใช้นิ้วปาดเศษข้าวโอ๊ตต้มติดมือใส่ปากแล้วบ้วนออกมาด้วยรสชาติสุนัขไม่กล้ารับประทาน “พ่อว่ารสชาติมันห่วยแตกอย่างที่ลูกว่าจริง ๆ แหละ”
“หนูไม่ยอมรับว่าคุณเป็นพ่อหนูหรอกค่ะ” อาเนียพูดเสียงเข้มขมวดคิ้วดวงตาก้มมองลงพื้น กอดเข่าพยายามทำให้ตัวเองตัวเล็กที่สุด เล็กจนสามารถหนีไปตามซอกกำแพงอิฐ อีกฝ่ายเป็นฝ่ายบอกอย่างตรงไปตรงมา ในตอนแรกเธอเองช็อกจนอาหารไม่ผ่านลงกระเพาะหลายมื้อ แม้ในใจเธอไม่คิดเชื่ออีกฝ่ายในฐานะผู้นำเผ่ามาร แต่อีกใจเธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผูกพันธ์ทางสายเลือด สุดท้ายแล้วเธอจึงเลือกปฏิเสธในข้อมูลข้อเท็จจริงกับอีกฝ่ายและจมปรักกับความเกลียดชังบังหน้าแทน “ถ้าคุณเป็นพ่อหนูจริง หนูขอยอมตายในคุกนี้ดีกว่า”
“พ่อไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่” เขาบอกเสียงตำหนิเล็กน้อย “ถ้าอาเนียยอมเป็นมารล่ะก็ พ่อจะพาไปทุกที่ที่อยากไป ไม่ต้องมานั่งอุดอู้อยู่ในห้องขังแสนหดหู่เหม็น ๆ อย่างนี้ อยากได้อะไรพ่อจะหามาให้ ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตเพราะเงินสงสารของไอ้อาจารย์ใหญ่คนนั้นหรอก”
“ให้ตายยังไง หนูจะไม่ยอมเป็นมารอย่างไม้พวกนั้นแน่ ๆ”
“เฮ้! เป็นเด็กเป็นเล็กหัดพูดให้มันไพเราะหน่อย!” เสียงทหารยามดังเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นได้ยินเสียงกระแทกหนึ่งครั้ง “อยากตายหรือไง ไอ้จ๊าดหง่าว!”
“ขะ…ขอกราบประทานอภัยครับ องค์จักรพรรดิ ข้าจะไม่ปากหมาแบบนี้อีกแล้วครับ”
“เออ ๆ อย่าให้ได้ยินอีกก็แล้วทัน” จักรพรรดิมารตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายที่ต้องมารับมือกับเหล่าลูกน้องซึ่งไม่ได้จงรักภักดีขนาดยอมตายถวายชีวิต แต่กลับเป็นเงินอันน้อยนิด
“ถ้ามาเป็นมาร ลูกจะได้กลายเป็นจักรพรรดินีมารต่อจากพ่อ เพียงแค่เปิดใจรับการถ่ายพลังจากพ่อไปก็พอ” จักรพรรดิมารแบมือออก เปลวเพลิงสีดำปรากฎขึ้นเหนือฝ่ามือ แต่ไม่รู้สึกถึงความร้อนแม้แต่น้อย “เป็นมารล้วนพบแต่ความอิสระ พลังเวทย์เพิ่มขึ้นจนแม้แต่ไอ้แก่อาจารย์ใหญ่สู้ไม่ได้ แม้กระทั่งไอ้คอร์กี้ตัวนั้นด้วย”
“อย่าพูดถึงสัตว์เลี้ยงของหนูอย่างนั้นนะ!” อาเนียตะคอกเสียงดังลั่น คิ้วขมวด ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องอย่างต้องการกินเลือดกินเนื้อ “นัปโปะจะต้องหาทางมาช่วยหนูและจัดการคุณ”
จักรพรรดิมารถอนหายใจก่อนตัดสินใจถอดหมวกเกราะออก ใบหน้าชายหนุ่มวัยสามสิบกลางเต็มไปด้วยบาดแผล ผมยาวสีดำขวับตกปะใบหน้า รอยช้ำจากการต่อสู้เมื่อครั้งล่าสุดยังคงปรากฎชัดเห็นแม้ใช้น้ำยารักษาแล้วก็ตาม ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมไปด้วยความอ้างว้างและนัยน์ตาขีดพาดดวงตาสีแดงเหมือนสัตว์ร้ายดูน่าสะพรึงกลัว
นี่เป็นครั้งแรกที่อาเนียเห็นใบหน้าผู้เป็นบิดา เธอชะงักเล็กน้อย ดวงตาเบิกโต ท่าทางผ่อนคลายลง ใบหน้าของเขาดูคล้ายคลึงกับเธอ เป็นดั่งหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวว่าทั้งคู่ต่างมีสายเลือดร่วมกัน
“พ่อไม่เคยถอดหน้ากากให้ใครเห็นมาก่อน แต่นี่เป็นกรณีพิเศษสำหรับลูกโดยเฉพาะ” เขาพูดพลางลูบหมวกเกราะเหล็กสีดำมันวาวไปมา รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าในขณะมองไปยังลูกสาวสุดรัก “มาอยู่กับพ่อเถอะนะ”
“พ่อยังจำวันที่ลูกเกิด…”
“แม่เคยบอกว่าคุณไม่อยู่ตั้งแต่หนูอยู่ในท้อง…” อาเนียกัดฟันพูดประโยคที่บีบคั้นหัวใจ ทำเอาจักรพรรดิมารตกใจไม่น้อย “คุณเป็นสามีที่ห่วยแตกไม่พอ ยังเป็นคนโกหกคนร่วมสายเลือดเดียวกันอีกแบบนี้ไม่ใช่พ่อของหนู!!”
จักรพรรดิมารตะลึงจนไม่กล้าพูดอะไรต่อจึงสวมหมวกเกราะก่อนเดินออกไปจากห้องคุมขังโดยไม่หันกลับมามองลูกสาวพร้อมสั่งกำชับทหารยาม
“อย่าให้ใครหน้าไหนเข้าไปจนกว่าข้าจะอนุญาต ข้าคนเดียว” เขาเอ่ยด้วยเสียงเข้ม จากนั้นเสียงทหารยามขานรับดังด้วยความกลัว
“ขอรับท่านองค์จักรพรรดิ!!”
เวอร์โก้เดินจากไปเพียงสามก้าวก่อนหยุดนิ่ง ทหารยามชะงักในทันทีเพราะกลัวว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปแล้วสภาพตัวเองจะกลายเป็นเหมือนสมุนมารเมื่อกี้
.
.
.
.
“พ่อจะเอาอาหารที่อร่อยกว่านี้มาให้กิน…”
————————————————
To Be Continue Ep.28