หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ต่างโลก,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่เป็นหมาคอร์กี้ในโลกเวทมนตร์หลังจากจบชีวิตอย่างอนาถในโลกก่อนจึงเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ในร่างของหมาคอร์กี้ ผมจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิมในเส้นทางหมาน้อยสายจอมเวทย์
'ทอม' มนุษย์เงินเดือนผู้จบชวิตลงด้วยอุบัติเหตุแสนน่าอนาถ วิญญาณจึงถูกดึงไปเกิดใหม่ชาติต่อไปในร่างหมาคอร์กี้แห่งโลกเวทมนตร์โดยมีความสามารถทางการสื่อสารเฉกเช่นมนุษย์ จนได้มาพบกับ 'อาเนีย' สาวน้อยนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ในร้านขาวสัตว์เลี้ยงและได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น 'นัปโปะ' จากนั้นด้วยความบังเอิญบางอย่างทำให้นัปโปะรู้ว่าตัวเองสามารถร่ายคาถาเสกเวทมนตร์ได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หาใครเทียบเพื่อมีชีวิตอันสงบสบายกับเจ้าของ
ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ชั่วโมงก่อน
คุกใต้ดินอันอ้างว้าง มืดมิดจนแทบระบายทุกอย่างแม้แต่อากาศให้เป็นสีทมิฬ เสียงฝีเท้าหนักแหลมดังมาจากบันใดวนนำทางสู่เบื้องล่าง การปรากฎตัวของหนึ่งในเจ็ดบาปยังสถานที่แห่งนี้มักไม่เป็นที่คุ้นเคยของทหารมาร แต่เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีลำดับขั้นมากกว่าจึงแสดงความเคารพด้วยการก้มศีรษะ
"ท่านซูเปริอา บาปแห่งอัตตา มิทราบท่านมีธุระอะไรกับนักโทษคนนี้ครับ?" เขาถามเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาก้มมองลงพื้น แต่แล้วมีถุงใส่เหรียญถุงใหญ่ยื่นมา เขารู้ทันทีว่าควรทำอย่างไรจึงรับถุงเหรียญสีน้ำตาลแล้วเดินจากไปโดยไม่ปริปากใด ๆ
ซูเปริอาถอดหน้ากากไม้วาดลวดลายโฉบเฉี่ยวสีแดงออกเผยให้เห็นใบหน้าแท้จริง อาเนียที่นั่งหลับตาข้างถาดอาหารในสภาพยังไม่ถูกแตะต้องแม้ปลายก้อย ร่างกายของเธอนิ่งราวกับไร้วิญญาณ แต่สัญญาณชีพของเด็กสาวยังคงอยู่จึงนั่งลงกับพื้นประจันหน้ากัน หากมองดี ๆ ใบหน้าของทั้งสองแทบจะละม้ายคล้ายกันในบางส่วน
"ระ...รุ่นพี่ฟองเบียร์...?" อาเนียถามเสียงแหบ คอของเธอแห้งเป็นผงจนไม่เหลือน้ำลายให้กลืน ริมฝีปากแห้งแตกราวกับอยู่ในทะเลทราย "ทะ...ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? รุ่นพี่ต้องอยู่ที่โรงเรียนสิ..."
"นี่เหรอคนที่เกิดมาจากคาถามหาเสน่ห์" ฟองเบียร์พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดวงตามองไปยังร่างไร้เรี่ยวแรง "ทำไมกันนะ มีพ่อคนเดียวกันแท้ ๆ แต่แตกต่างกันได้ขนาดนี้"
"รุ่นพี่พูดถึงเรื่องอะไร?" ในหัวของเด็กสาวเต็มไปด้วยคำถาม คิ้วดำขมวดเป็นเกลียวตามความสงสัยไคร่รู้ "ไม่เห็นเข้าใจ"
"ไม่พูดอ้อมค้อมแล้วกัน จักรพรรดิมารเป็นพ่อของเธอและก็เป็นพ่อของฉันด้วย" ภายในห้องของเด็กสาวเต็มไปเปี่ยมไปด้วยความปั่นป่วนบิดเบี้ยว ร่างกายและปลายนิ้วซีดชา ลมหายใจเสียจังหวะจนหัวใจเต้นแรงด้วยความสับสน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะ 'ล้อเล่น' ถึงขนาดนี้
"ไม่จริงหรอกรุ่นพี่..." อาเนียหลบตาอีกฝ่ายแต่เรียวนิ้วขาวซีดจับคางบังคับให้หันมาสบตา จึงทำให้รู้ว่าดวงตาของทั้งสองนั้นแทบกลายเป็นกระจกสะท้อนตัวตนอันแท้จริงของกันและกันเลยทีเดียว "ไม่จริง..."
"พี่ไม่ได้โกหก พี่เห็นว่าน้องไม่ได้กินอะไรมาเป็นวัน เสียงท้องร้องดังสนั่นไปทั้งหอคอย เลยเอาไอ้นี่มาฝาก" ฟองเบียร์หยิบแอปเปิ้ลสีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม เธอเช็ดมันด้วยแขนเสื้อก่อนยื่นให้ผู้เป็นน้อง
อาเนียมองผลสีแดงสลับใบหน้าอันนิ่งเรียบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ฟองเบียร์ถอนหายใจก่อนตัดสินใจกัดแอปเปิ้ลไปเสี้ยวใหญ่แล้วกลืนลงคออย่างรวดเร็วแล้วยื่นให้ผู้เป็นน้องอีกครั้ง คราวนี้อาเนียรับมาด้วยความมั่นใจในตัว ‘พี่สาว’ มากขึ้น แม้ภายในใจยังคงสับสน เธอเพิ่งเคยเจออีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว อีกทั้งครั้งนั้นยังเป็นการพบเจอที่ไม่น่าจดจำเสียเท่าไหร่ เด็กหญิงค่อย ๆ กัดผลแดง รสชาติหวานฉ่ำชโลมไปทั่วอณูลิ้น ริมฝีปากกลับมาแดงระเรื่ออีกครั้ง ดวงตากลับมามีแววประกาย เปลือกตาหนักอึ้งกลับเบาโหวงอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งจะกลายเป็นประสบการณ์แสนล้ำค่าและบุญคุณนี้เธอไม่มีวันลืม
“รู้สึกดีใช่ไหมที่กลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากกำลังก้าวสู่ความตายในทุกนาที” เด็กสาวบอกก่อนหยิบแอปเปิ้ลอีกลูกจากกระเป๋าเสื้อคลุมมากัดคำโต “ในดินแดนนรกแห่งนี้ไม่มีผลไม้อย่างนี้กินหรอกนะ ต้องแอบวาร์ปไปตลาดแมงดาถึงได้”
อาเนียไม่ตอบอะไร เธอกินแอปเปิ้ลอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหยกระทั้งเหลือเพียงแกนทิ้งไว้ข้างตัว
”หนูไม่อยากเชื่อว่ารุ่นพี่เป็นพี่หนูจริง ๆ“ อาเนียกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ดวงตาเป็นประกายเหมือนลูกแมวเป็นประกายเศร้าสร้อย ”ทำไมแม่หรือ…จักรพรรดิมารไม่เคยบอกเรื่องนี้เลย?“
”เรื่องของพวกผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรรู้หรอก“ ฟองเบียร์พูดก่อนยื่นมือลูบศีรษะน้องสาว อาเนียกัดริมฝีปากจนซีดขาว นิ้วมือกำแน่นจนเล็บจิกอุ้งมือเลือดซิบด้วยความขมขื่นแอบรังเกียจผู้เป็นพ่อ เกลียดสายเลือดของเขาในตัวเอง รวมถึงความลับต่าง ๆ พลั่งพลูถาโถมราวกับสายน้ำคลั่ง เธอไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองเกิดมาสิบสามปีแล้วต้องมารู้อะไรแบบนี้
”พี่รู้ว่าน้องยังรับไม่ได้กับเรื่องนี้ แต่เชื่อเถอะว่าหากเวลาผ่านไป น้องจะค่อย ๆ รับมันได้เอง พี่รับรอง ก่อนที่พ่อจะมีเธอ เขาก็เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นชั่วข้ามคืนมาเช่นกัน“ ฟองเบียร์ยื่นมือเข้ามาลูบศีรษะด้วยความเอ็นดูแต่กลับถูกอาเนียปัดทั้งที่ยังสวมกุญแจมือเหล็กหนาพร้อมมองด้วยแววตาแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยความสับสนทางอารมณ์ไร้คงที่ ดวงตาดำกรอกไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ฟองเบียร์ยืนขึ้นหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม กลับมาเป็นหนึ่งในเจ็ดบาปนามซูเปริอา
“พี่ช่วยได้แค่นี้ ที่เหลือรอให้หมาของน้องมาช่วยก็พอ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “จากนั้นเรามาประลองกันให้จบ”
จากนั้นเธอจึงหันหลังเดินออกไปปล่อยให้อาเนียต่อสู้กับความสับสนต่อไปเพียงลำพัง
……………………
“แววตาดูดีขึ้นจากที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายนี่” ฟองเบียร์ยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ “ประโยคเมื่อกี้เหมือนบอกเป็นกราย ๆ ว่ายอมรับพี่เป็นพี่สาวของน้องแล้วสินะ”
“มาประลองให้มันจบ ๆ ไปเลยดีกว่าค่ะ” อาเนียชี้ไม้กายสิทธิ์ใส่อีกฝ่ายเป็นเชิงท้าทาย แววตาไร้ความลังเลพร้อมเผชิญหน้าตลอดเวลา นั่นทำให้ฟองเบียร์ขนลุกซู่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างกระซิบข้างหูว่าการประลองครั้งนี้จะไม่เหมือนหลายเดือนก่อนหน้า
“แววตาดีขึ้นนี่ น่าภูมิใจ” บาปแห่งอัตตาแสยะยิ้มพลางปรบมือเบา ๆ เชิงหยอกล้อยั่วยุอีกฝ่ายขาดสมาธิ แต่นั่นไม่ได้ทำให้อาเนียไขว้เขว้แม้แต่น้อย “อดอาหารในคุกสามวันมันเปลี่ยนคนได้จริง ๆ นั่นแหละ”
อาเนียไม่สนคำพูดอีกฝ่ายมากความจึงเปิดศึกด้วยการสาดกระสุนเวทย์ใส่หลายนัด อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบพวกมันอย่างพริ้วไหวราวกับเห็นพวกมันเคลื่อนที่ช้าลง เธอสะบัดไม้กายสิทธิ์เพียงครั้งเดียวโดยไม่ร่ายสามารถกางโล่ขนาดใหญ่ป้องกัน จากนั้นจึงสาดกระสุนเวทย์ใส่โต้กลับ อาเนียจ้องเขม็งพร้อมตั้งสมาธิพร้อมกางโล่ป้องกันและปัดป้องอย่างรวดเร็ว
จากนั้นทั้งสองแลกกันรับรุกไปมาโดยมีเฌอแตมคอยช่วยเหลือ แต่เธอดันพลาดท่าถูกคาถาสงบนิ่งกระแทกใส่เต็มแรงร่างกายกระเด็นไปนอนกับพื้น อาเนียกัดฟันแน่นยิงคาถาจนกล้ามเนื้อแขนอ่อนล้าจึงเปลี่ยนมาใช้ข้างไม่ถนัดสู้ไปพลาง แน่นอนว่าฟองเบียร์ทำได้เพียงรับมากกว่ารุกเพราะผู้เป็นน้องเริ่มสาดกระสุนเวทย์ใส่แบบดับเครื่องชน นั่นทำให้ร่างกายของเธอร้อนเร้า เสียงกระสุนเวทย์ตีกันไปมาดังสนั่นจนไม่มีสมุนมารหรือทหารผู้วิเศษคนไหนกล้าเข้าใกล้ พวกเขาสัมผัสถึงความดุเดือดในการประลองเป็นอย่างดี
ฟองเบียร์มองไปยังโซล่าซึ่งกำลังปะทะกับสมุนมารตนหนึ่งอยู่ไม่ไกล เธอเห็นลูกสาวกำลังอยู่ในอันตรายจึงรีบเผด็จศึกแล้วพุ่งตัวเข้ามาช่วย ทำให้พี่สาวต่างแม่อดกัดริมฝีปากจนซีด
"เชื่อเถอะว่าพ่อไม่ได้รักพี่กับแม่เลย" เธอกล่าวพลางปัดป้องกระสุนเวทย์ของอาเนียเมื่อโล่สลาย ดวงตามีน้ำตาเอ่อกระทั่งไหลอาบแก้ม "พี่เกิดมาเพราะแม่ดันไปยั่วเขาก่อน พอพี่เกิดมาก็ให้เป็นหมากเข้าไปสอดแนมในโรงเรียนเพื่อหาทางบุกเข้ามา...หลังจากบุกสำเร็จ พี่กลายเป็นเด็กไร้ค่าในสายตาทั้งสองในทันที"
อาเนียได้ยินดังนั้นจึงหยุดโจมตี เข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายในฐานะ 'พี่น้อง' เธอพุ่งเข้าสวมกอดฟองเบียร์
ความอบอุ่นแผ่ซ่านท่ามกลางดงสงครามอันโหดร้าย เด็กหญิงนึกถึงวันที่ผู้เป็นแม่ต้องทำงานหาเลี้ยงเธอและตัวเองโดยแบบหัวเด็ดตีนขาด แม้ว่าเงินจากอาจารย์ใหญ่ในทุกเดือนนั้นยังพอจุนเจือได้ แต่ด้วยเศรษฐกิจผันผวนได้ทุกเมื่อเชื่อวันทำให้การเก็บออมเงินสำหรับสองชีวิตนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ในบางคืนเธอต้องอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว เธอเข้าใจดีกว่าการอยู่คนเดียวมันหนาวเหน็บเพียงใด แม้สถานะของอาเนียและพี่สาวจะต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่อย่างหนึ่งที่ทั้งสองได้รับเหมือนกันก็คือ...
การถูกผู้เป็นพ่อห่างเหินเพื่อเป้าหมายสำคัญของตัวเอง
"หนูเข้าใจความรู้สึกของพี่ดี...หนูรู้ว่ามันเหงา มันเหน็บหนาวขนาดไหน...อั้ก!!" แสงสีส้มพุ่งอัดกระแทกกลางแผ่นหลังเด็กหญิง ทำเอาเสื้อผ้าขาดวิ่น บริเวณหลังเกิดแผลเหวอะหวะเลือดไหลนอง ความเจ็บปวดแผ่ขยายไปทั่วร่างกาย เข่าสองข้างอ่อนแรงจนฟองเบียร์ต้องพยุงร่างไว้ เมื่อเธอมองข้ามไหล่น้องสาวเห็นสมุนมารตนหนึ่งแสยะยิ้ม ทันใดนั้นดวงตาของเด็กสาวกลับร้อนระอุแทบจะเดือดทะลุจุดศูนย์ มือกำไม้กายสิทธิ์ไว้แน่น โซล่าที่กำลังตามมาสมทบคิดว่าลูกสาวเสียท่าจึงเร่งฝีเท้าอย่างไวแม้จะมีเหล่าสมุนมารจำนวนมากขวางทางก็ตาม
"อาเนีย!!" เสียงผู้เป็นแม่คำรามเรียกชื่อลูกสาวด้วยหัวใจแตกสลาย ทำให้ผมที่กำลังต่อสู้กับสมุนมารอย่างหนักหันขวับไปมอง แน่นอนว่าแจ๊กและเฌอแตมที่เพิ่งฟื้นตัวเองเช่นกัน พวกเราสี่คนตัดสินใจพุ่งเข้าใส่ฟองเบียร์ในทันทีเพราะคิดว่าอาเนียเสียท่าไปแล้ว
ภายในใจของผมคิดไปว่าถ้าอาเนียเกิดเป็นอะไรถึงชีวิตขึ้นมา ผมจะไม่ยกโทษให้ตัวเองอย่างเด็ดขาด
"อีมารหน้าส้นตีน!!" ฟองเบียร์ยกไม้กายสิทธิ์ชี้ไปทางสมุนมารที่บังอาจทำร้ายน้องสาว ในวินาทีนั้นผมมองตามทิศทางที่ปลายไม้ชี้ไปจึงเห็นสมุนมารตนนั้นชะงักไปชั่วขณะ แต่แล้ว...ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด "แซมมา บีนาซ่า แม็กซิมัม!!"
ลำแสงสีม่วงเส้นขนาดใหญ่พุ่งเจาะร่างกายเป็นเหมือนวงโดนัท ส่งมันไปยังขุมนรกในบรรดล
ภาวะสงครามหยุดชะงักลงทุกคนต่างมองมายัง 'ซูเปริอา' หรือ 'ฟองเบียร์' ที่เพิ่งหักหลังจากพรรคพวกมารศาสตร์มืดด้วยการฆ่าพวกเดียวกัน ไม้กายสิทธิ์ในมือของเธอสั่นระริก รอยสักอักขระตามร่างกายค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาทั่วคอ เธอเกิดอาการคลื่นไส้ทั้งที่ยังกอดร่างน้องสาว จากนั้นไม่นานของเหลวสีดำทะลักออกจากปากลงพื้นจนหมดท้อง สมุนมารแต่ละตนต่างเบิกตาโต จักรพรรดิมารเห็นดังนั้นทำได้แต่เพียงกำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยความโกธาพร้อมก่นด่าหนึ่งในเจ็ดบาปแปรพักตร์
"ซูเปริอา! บังอาจทรยศข้าและเผ่ามารงั้นหรือ!?" จักรพรรดิมารส่งเสียงคำรามลั่น
แทนที่ฟองเบียร์จะหวาดกลัว แต่กลับจ้องเขม็งกลับไปยังอีกฝ่ายไร้ความลังเล
"หนูไม่ใช่ซูเปริอา...แต่เป็นฟองเบียร์"
---------------------
To Be Continue Ep.39