เธอย้อนเวลากลับมาพบกับ คุณเผิง และ อาหยูตัวน้อย ความเข้าใจผิดในอดีตจะได้รับการเเก้ไขหรือไม่ ? เมื่อมีผู้หญิงอีกคนมาบอกว่า "คืนสามีให้ฉันเถอะค่ะ !"
รัก,ดราม่า,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ครอบครัว,ย้อนเวลา,เลี้ยงเด็ก,อาหยู,ดราม่า,รักวัยรุ่น,แอบรัก,สามี,เกิดใหม่แต่ใจเดิม,เกิดใหม่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หนีรักมาพบคุณเธอย้อนเวลากลับมาพบกับ คุณเผิง และ อาหยูตัวน้อย ความเข้าใจผิดในอดีตจะได้รับการเเก้ไขหรือไม่ ? เมื่อมีผู้หญิงอีกคนมาบอกว่า "คืนสามีให้ฉันเถอะค่ะ !"
เป็นโอกาสจากสวรรค์หรือบทลงโทษ ที่ให้ย้อนเวลากลับมาพบเขาอีกครั้ง !
“เธอ” อกหักรักผู้ชายคนนี้แค่ครั้งเดียวก็เกินพออยู่แล้ว ซ้ำยังมาตายเพราะอุบัติเหตุเหนือคาด
แต่ทำไมต้องจะอกหักซ้ำซ้อนอีก หรือว่านี่คือความเมตตาจากสวรรค์ที่ให้วิญญาณเธอย้อนเวลามา
เพื่อพบกับ “คุณเผิง” ป๊ะป๋าสายอ่อย และ “ลูกชายตัวน้อย” ในฐานะพี่เลี้ยงเด็ก(สาวใช้)อีกครั้ง
แค่หน้าที่พี่เลี้ยงเด็กทำได้อยู่แล้ว แต่หน้าที่พี่เลี้ยง(ใจ)คุณป๊ะป๋าน่ะ เธอไม่ไหวหรอกนะ...
ก็เพราะเขาดันพูดขึ้นว่า “มาเป็นหม่าม้าของอาหยูได้ไหม ?”
เธอจะตอบเต็มปากได้อย่างไร ในเมื่อมีผู้หญิงอีกคนมาบอกว่า
“ขอร้องนะคะ คืนสามีให้ฉันเถอะค่ะ !”
นี่เป็นบทลงทัณฑ์จากสวรรค์หรือยังไงกัน—!?
Chapter 9
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...”
ลฎาภาส่งสายตามองไปที่เด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง “แล้วแม่ของเขาล่ะ ทำไมไม่มารับแทน”
“ฉันก็ไม่รู้นะตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียน ก็มีแต่พ่อของเขาที่มารับ อีกอย่างแกก็ดูไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไรด้วย”
หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายอีกครั้ง
“มาโยนบอลเล่นกันไหม ?”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าจะเล่นเหรอ”
ลฎาภาฉีกยิ้มหวานแล้วกัดฟันพูดว่า “ต้องเรียกพี่สาวสิจ๊ะ”
“ไม่เอา”
หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยอยู่ทั้งที่ในใจก็ขุ่นเคืองกับคำพูดเกินอายุ เธอยังไม่แก่มากขนาดนั้นสักหน่อย เรียกซะเสียหายหมด
“งั้นเรามาเล่นกันเถอะ”
เมื่อพูดจบก็เดินไปแล้วหยิบบอลขึ้นมา เด็กชายมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ครั้นหญิงสาวโยนบอลส่งให้เด็กน้อยรับและโยนส่งกลับใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนที่ลฎาภาโยนบอลเล่นกับเด็กชายจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ กำลังแรงกายของเธอก็ตกเพราะเหนื่อยล้าจากการวิ่งไปมานั่นเอง หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ ยกมือขึ้นโบกพัดใบหน้าคลายความร้อน
“ฉันไปล้างหน้าก่อนนะแก” ลฎาภาเดินเข้าไปหาเกณิกาแล้วหันมองเด็กชายที่กำลังโยนบอลเล่นอยู่เพียงลำพังต่อโดยไม่สนใจเธอ ครั้นเพื่อนสาวพยักหน้ารับเธอจึงเดินเข้าไปข้างในเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อย ก่อนจะเดินออกมาพอดีกับที่สายตามองเห็นเด็กชายเดินจูงมือผู้ชายคนหนึ่งออกไป
หญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นในทันที
“เด็กคนนั้นกลับแล้วเหรอ ?”
เกณิกาพยักหน้าแทนคำตอบก่อนพูดขึ้น
“งั้นแกรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปเอาของก่อน”
ลฎาภาพยักหน้าก่อนจะเดินมาหาที่นั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน ไม่นานนักเกณิกาก็เดินออกมาพร้อมสัมภาระและสะกิดเรียก “ไปกันเถอะ”
หญิงสาวทั้งสองเดินออกมาจากรั้วโรงเรียนและโบกแท็กซี่เพื่อไปยังจุดหมาย แต่กว่าที่จะเดินทางมาถึงและเลือกร้านเข้ามานั่งกินกันได้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง แน่นอนว่าตอนนี้ความหิวได้ครอบงำจิตใจของลฎาภาไปเรียบร้อย
ทันทีที่เนื้อหมูสดถูกเสิร์ฟลงมาบนโต๊ะหญิงสาวก็หยุดบทสนทนาลงและใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูลงกระทะทันที เมื่อเต็มเตารอให้สุกแล้วหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อเปิดบทสนทนาต่อไป
“จริงสิ เห็นว่าพี่รักจะแต่งงานในเร็ว ๆ นี้แล้วนะ”
“หา !” เกณิกาส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนถามต่อไปว่า “กับพี่อาร์ตอะไรนั่นใช่ไหม ?”
ลฎาภาส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา “ไม่รู้เหมือนกัน”
เกณิกาเมื่อได้ฟังก็ขมวดคิ้วชนกันด้วยความงุนงง
“พี่รักเลิกกับพี่อาร์ตแล้วน่ะ ส่วนผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยฉันไม่รู้จัก” ลฎาภาพูดด้วยสีหน้าหนักใจเพราะเป็นห่วงเรื่องการแต่งงาน แต่นั่นเป็นความต้องการของพี่สาว ซึ่งเธอเองก็ได้เพียงแต่หวังให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี อีกอย่างตอนนี้ให้ล้มเลิกงานแต่งคงไม่ทันการณ์ เพราะแจกการ์ด รวมถึงตัดชุดอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่คิดว่าจะรวดเร็วปานสายฟ้าแลบในเวลาไม่ถึงเดือน
“แกคิดว่า คนที่เพิ่งเจอจะรักกันตอนแต่งงานไหม”
เกณิกายิ้มมุมปากหัวเราะออกมา “จอม เรื่องความรักมันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน เราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร”
หญิงสาวยิ้มเจื่อนที่มุมปากราวกับว่าไม่ค่อยเชื่อในความรักสักเท่าไหร่
“ไม่นะ ฉันไม่ค่อยสนใจกับเรื่องแบบนี้”
“แกควรจะสนใจหน่อยก็ดีนะ”
“ไม่อะ ขี้เกียจมีปัญหาตามมาทีหลัง”
เมื่อเกณิกาได้ยินก็ส่ายหน้าออกมา คบกันมาเป็นสิบปี ใช่ว่าเพื่อนของเธอไม่มีผู้ชายเข้ามาจีบ แต่เจ้าตัวกับสร้างกำแพงขึ้นมาปฏิเสธความรักที่เข้ามาเพียงบอกแค่ว่า ‘รักกันมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเลิกกันอยู่ดี’
“แกก็เป็นซะแบบนี้” เกณิกามองเพื่อนสนิทแล้วถอนหายใจออกมา
“เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ” ลฎาภาตัดบททันทีก่อนก้มหน้าก้มตากินโดยไม่สนใจอะไร ไม่มีความรักก็ไม่ตายสักหน่อย อยู่แบบนี้ไปก็มีความสุขดีแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ไม่คิดว่าวันนี้ที่พยายามอยากจะหนีนั้นมาถึงแล้ว ศรันภัทรยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมเปลี่ยนชุดเจ้าบ่าว ทั้งที่อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะเริ่มงานแต่ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่ไม่ต้องการมากที่สุดในชีวิตกลับเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ไปทักทายเธอก่อนแล้วล่ะก็ป่านนี้ทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น
“ตาพี เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ...ตายแล้ว ! นี่จะเริ่มงานแล้วนะ ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกล่ะ”
ชายหนุ่มยังไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใด เขาหันหน้ามองมารดาที่เดินเข้ามาหาแล้วก้มหลบสายตาราวกับว่าไม่ต้องการให้งานแต่งนี้เกิดขึ้น
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวแขกจะมากันแล้ว”
ลภัสรดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม้ว่าจะรู้ถึงความรู้สึกของลูกชายดีแต่ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่หล่อนคิดว่าดีที่สุดแล้ว ในอนาคตหากทุกอย่างไปต่อไม่ได้ ถึงตอนนั้นคงมีทางออกที่ดี
“อีกสักพักผมจะตามไป” ศรันภัทรพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว จิตใจของเขาย่ำแย่มากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ นอกจากจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รักแล้ว ยังแต่งงานกับคนที่รู้จักกันแค่คืนเดียว ! รู้ดีว่ามารดาอาจจะรู้เรื่องนี้นานแล้ว ที่เขามีความรู้สึกสับสนทางเพศ แต่ก็ไม่เคยเปิดปากพูดอะไร เพียงแค่นัดดูตัวกับฝ่ายหญิงไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้น ครั้งนี้ถือว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ต้องใช้ชีวิตกับเธอ อันที่จริงแล้วเคยคิดจะเก็บเสื้อผ้าข้าวของและหนีออกจากบ้านไปเสีย ถ้าหากหนีไปทรัพย์ทุกอย่างคงถูกตัดจนเหลือเพียงแค่ตัวเท่านั้น
คนเป็นแม่มองแล้วถอนหายใจออกมา หากว่าลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวทำตัวเจ้าชู้ ออกไปเที่ยวกับผู้หญิงบ้าง หล่อนก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้หรอก
แต่ก็ดีกว่าได้ลูกเขยมาแทนละนะ...
“งั้นแม่จะลงไปรอข้างล่างนะ รีบลงมาล่ะ”
เมื่อพูดจบก็เดินออกจากห้องไปในทันที ลภัสรดายังไม่เดินลงไปที่ชั้นล่างแต่เดินมาห้องอีกฝั่งที่ถลัชนันท์เตรียมตัวอยู่ แม้ในใจจะไม่ชอบเรื่องอายุที่มากกว่าลูกชายก็ตาม แต่ถ้านิสัยและการงานแล้วก็ถือว่าไม่ได้แย่ เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ชีวิตคู่จะเป็นอย่างไร หล่อนเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้เช่นกัน
ทันทีลภัสรดาเปิดประตูห้องเข้าไป ช่างแต่งหน้า ช่างทำผมก็กำลังเก็บของใส่กระเป๋ากันอยู่
“เสร็จแล้วหรือ ?”
ถลัชนันท์หันมองและพยักหน้าตอบก่อนที่จะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ค่ะ คือ...” หญิงสาวมีท่าทีอึดอัดที่จะพูดกับอีกฝ่ายเพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ได้พบเจอกันเลือกของแต่งงานหรือตัดชุดแต่งงาน เธอก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกเกร็งมากกว่าเดิม ก็แน่ละ...เขาเป็นคนมีฐานะดีมาก ผิดกับครอบครัวของเธอ ถึงจะบอกว่ามีรีสอร์ตก็เถอะ แต่ยังเทียบเท่าไม่ได้เลยสักนิด
ลภัสรดามองว่าที่ลูกสะใภ้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพึงใจ
“ต่อไปนี้ก็เรียกฉันว่า คุณแม่นะ ไม่อย่างนั้นคนอื่นได้ยินเข้าจะว่าฉันรังแกสะใภ้”
“ค่ะ คุณป้า...เอ่อ คุณแม่” ถลัชนันท์ขานรับอย่างเกร็ง ๆ พลางก้มหน้าหลบสายตาราวกับว่าไม่อยากสบตามองนาน ๆ ไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกต้องหรือเปล่า เสียตัวครั้งแรกและครั้งเดียวสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนัก แต่ที่ตกลงแต่งงานเพราะไม่อยากอยู่บนคานเท่านั้นเอง
“ถ้างั้นก็ลงไปรอข้างล่างเถอะ อีกสักพักแขกคงจะทยอยกันมาแล้ว”
“ค่ะ” ถลัชนันท์ขานรับขณะที่ลภัสรดาเดินนำออกไป ตามด้วยช่างแต่งหน้าและทำผม เวลานี้ในห้องเหลือเพียงเธอเท่านั้น หญิงสาวหมุนตัวหันมองไปในกระจก มองตัวเองไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี
“แกถอยหลังไม่ได้แล้ว...แต่งไปก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ดีแล้วค่อยหย่า ไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว !” หญิงสาวพูดกับตัวเองพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อเตรียมต้อนรับแขกในงาน