ในโลกที่ความมืดครอบงำหัวใจ การต่อสู้เพื่อแสงสว่างกลับกลายเป็นศัตรูที่แท้จริง เมื่อตัวเลือกคือความรักหรือความแค้น ทางไหนจะนำพาสู่จุดจบ?
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ตะวันตก,รักโรแมนติก,ชายหญิง,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากการเดินทางผ่านป่าต้องห้าม ไรอัน ลีอา และอาเรียน่าก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก หมู่บ้านนี้เงียบสงบ เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี และบรรยากาศที่ดูเหมือนจะปลอดภัยจากอำนาจของเงามืดที่ครอบงำป่ารอบนอก พวกเขารู้สึกถึงความอบอุ่นและเป็นมิตรของชาวบ้านที่ต่างออกมาต้อนรับผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
"พวกท่านเดินทางมาไกล คงเหนื่อยล้ากันมาก ข้าขอต้อนรับพวกท่านเข้าสู่หมู่บ้านของเรา" ชายชราผู้หนึ่งกล่าวต้อนรับ
เขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากกาลเวลา แต่สายตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยปัญญาและความเข้าใจ
"ข้าคือผู้เฒ่าปราชญ์แห่งหมู่บ้านนี้ เชิญพวกท่านเข้ามาพักผ่อนในบ้านของข้าเถิด"
ทั้งสามคนรับคำเชิญอย่างยินดี ผู้เฒ่าปราชญ์พาพวกเขาเข้าไปในบ้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่าๆ และวัตถุโบราณ ภายในบ้านมีเตาผิงที่ให้ความอบอุ่นและกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ลอยคลุ้งในอากาศ
ลีอาเดินเข้าไปดูที่ตู้หนังสือทำจากไม้ เธอสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง ปกหนังสีน้ำตาล ตรงสันปกเขียนไว้ว่า 'อาณาจักรแอสทารา'
“ท่านผู้เฒ่า ข้าขอดูเล่มนี้ได้ไหมคะ”
ผู้เฒ่าหันมาตามเสียงเรียก เขามองตามนิ้วมือลีอาที่ชี้ไปยังหนังสือหนาหนักเล่มหนึ่งในตู้ เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสืออะไร ชายชราก็ยิ้มอย่างอบอุ่น และเอากุญแจดอกเล็กมาไขเปิดตู้ หยิบหนังสือเล่มนั้นส่งให้
ลีอารับหนังสือมาพร้อมรอยยิ้มสดใส
“ขอบคุณค่ะ”
ลีอาหาที่นั่งตรงโต๊ะไม้เล็กๆ ไม่ไกลจากเตาผิง และนั่งเปิดหนังสือออกอ่าน
‘อาณาจักรแอสทารา (Astara): อาณาจักรแอสทาราเป็นดินแดนที่งดงามและเปี่ยมด้วยเวทมนตร์ ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและป่าทึบ ภูมิประเทศของแอสทารามีความหลากหลาย ตั้งแต่ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ไปจนถึงแม่น้ำที่ใสสะอาดและทะเลสาบที่สงบนิ่ง
ตรงกลางของอาณาจักรคือเมืองหลวงที่มีชื่อว่า "เอลดูรา (Eldura)" เมืองที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตรและตั้งอยู่บนที่ราบสูง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบด้านได้อย่างชัดเจนเอลดูราเป็นศูนย์กลางของอำนาจและความรู้ในแอสทารา ที่นี่เป็นที่ตั้งของปราสาทหลวงที่สูงตระหง่าน ซึ่งเป็นที่พำนักของราชวงศ์และที่ประชุมของสภาผู้นำ ที่ประกอบด้วยขุนนางและผู้มีพลังเวทมนตร์จากทุกภูมิภาคของอาณาจักร พวกเขามีหน้าที่ปกป้องและดูแลความสงบสุขของแอสทารา รวมถึงควบคุมการใช้พลังเวทมนตร์ในอาณาจักร
พลังธาตุในอาณาจักรแอสทารา: ชาวแอสทารามีความสามารถพิเศษในการควบคุมพลังธาตุที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและจักรวาล โดยพลังธาตุเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่ธาตุหลัก ได้แก่ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุดิน และธาตุลม และมีธาตุย่อยอื่นๆ ที่สืบทอดในสายเลือดพิเศษเท่านั้น ได้แก่ ธาตุแสง และ ธาตุเงามืด
ธาตุน้ำ (Water Element): ผู้ที่มีพลังธาตุน้ำสามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงน้ำในทุกรูปแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำในแม่น้ำ ทะเล หรือแม้แต่น้ำในอากาศ พวกเขาสามารถสร้างคลื่นน้ำหรือกำแพงน้ำเพื่อป้องกันตัวเอง หรือใช้พลังน้ำเพื่อรักษาบาดแผล นอกจากนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดยังสามารถเรียกฝนหรือควบคุมกระแสน้ำในมหาสมุทรได้
ธาตุไฟ (Fire Element): ผู้ที่ครอบครองพลังธาตุไฟสามารถควบคุมเปลวไฟและความร้อน พวกเขาสามารถสร้างเปลวไฟเพื่อโจมตีศัตรูหรือใช้ไฟในการปกป้องตนเอง ผู้ใช้พลังที่แข็งแกร่งสามารถควบคุมไฟในรูปแบบต่างๆ เช่นการสร้างกำแพงเพลิงหรือการสร้างระเบิดเพลิง
ธาตุดิน (Earth Element): ผู้ที่มีพลังธาตุดินสามารถควบคุมแผ่นดิน หิน และพืชพันธุ์ต่างๆ พวกเขาสามารถยกพื้นดินขึ้นมาสร้างกำแพงหรือสร้างอาวุธจากหินดิน หรือแม้กระทั่งใช้พลังในการทำให้พืชพันธุ์เติบโตอย่างรวดเร็ว และสร้างป่าที่หนาทึบเพื่อเป็นเกราะกำบัง
ธาตุลม (Wind Element):ผู้ที่มีพลังธาตุลมสามารถควบคุมกระแสลมและอากาศ พวกเขาสามารถสร้างพายุลมหรือใช้ลมในการเคลื่อนย้ายวัตถุหรือแม้กระทั่งใช้พลังลมในการบินขึ้นฟ้า ผู้ใช้ที่มีความชำนาญสูงสามารถสร้างพายุที่รุนแรงหรือทำให้ตนเองและผู้อื่นล่องหนด้วยการพรางตัวในสายลม
ธาตุแสง (Light Element): ธาตุแสงเป็นพลังที่หาได้ยากในอาณาจักร มีผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้ที่มีพลังนี้สามารถควบคุมแสงและใช้มันในการรักษา ปัดเป่าความมืด หรือสร้างแสงสว่างที่แรงกล้าพอที่จะทำลายศัตรู นอกจากนี้พลังแสงยังสามารถเสริมสร้างพลังของผู้อื่นและปกป้องพวกเขาจากการโจมตีทางเวทมนตร์
ธาตุความมืด (Dark Element): ธาตุความมืดเป็นพลังที่ทรงอำนาจและลึกลับ ผู้ที่มีพลังนี้สามารถควบคุมเงาและความมืดได้ พวกเขาสามารถสร้างภาพลวงตา ทำให้ศัตรูหลงทางในความมืดมิด หรือแม้กระทั่งทำให้ตนเองหายตัวไปในเงามืด ผู้ที่มีพลังนี้ส่วนใหญ่มักจะถูกดึงดูดเข้าสู่ด้านมืด แต่ก็มีบางคนที่ใช้พลังนี้เพื่อปกป้องผู้อื่น
วัฒนธรรมและความเชื่อ: ชาวแอสทาราเชื่อว่าพลังธาตุเหล่านี้คือพรจากเทพเจ้าแห่งธรรมชาติและจักรวาล ผู้ที่มีพลังเวทมนตร์จะได้รับการฝึกฝนในสถาบันเวทมนตร์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง เพื่อเรียนรู้การใช้พลังของตนอย่างถูกต้องและยุติธรรม พวกเขาเชื่อในความสมดุลระหว่างแสงและเงามืด ความดีและความชั่ว และการใช้พลังเวทมนตร์เพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน’
อ่านมาถึงตรงนี้ ลีอาเงยหน้าขึ้น เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร
หลังจากที่พวกเขาได้พักผ่อนและรับประทานอาหารเพื่อฟื้นฟูพลัง ผู้เฒ่าปราชญ์ก็เริ่มพูดถึงเรื่องราวที่เขารู้
"ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ได้เดินทางมาเพื่อพักผ่อนเท่านั้น แต่มีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้น โดยเฉพาะเจ้า... ไรอัน อีวานส์"
ไรอันชะงักเมื่อได้ยินชื่อของตนจากปากของผู้เฒ่า "ท่านรู้จักข้า?"
"ข้ารู้จักเจ้าและตระกูลของเจ้าดี" ผู้เฒ่าปราชญ์พยักหน้าเบาๆ
"ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ หลังจากที่เจ้าได้ละทิ้งหน้าที่ของเจ้าไปเมื่อหลายปีก่อน"
ไรอันรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น "ข้าต้องการรู้ความจริง ท่านบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูเซียส และทำไมเขาถึงหันไปสู่ด้านมืด?"
ผู้เฒ่าปราชญ์ถอนหายใจยาวก่อนจะเริ่มเล่า "ตระกูลของเจ้ามีหน้าที่ปกป้องอาณาจักรและคุ้มครองสมดุลของพลังที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ พลังแห่งน้ำที่เจ้าครอบครองนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังที่ตระกูลของเจ้าสืบทอดมาแต่โบราณกาล แต่ก็มีอีกพลังหนึ่งที่ถูกปกปิดไว้... พลังแห่งเงามืด"
"พลังแห่งเงามืด?" ลีอาถามด้วยความสงสัย
"นั่นคือพลังที่ลูเซียสครอบครองใช่ไหมคะ?"
ผู้เฒ่าปราชญ์พยักหน้า
"ใช่แล้ว ลูเซียสเคยเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเจ้ามาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาถูกปฏิเสธและผลักไสออกจากครอบครัว ทำให้เขาเกิดความแค้นและความโกรธที่ฝังลึกในใจเขา"
ไรอันตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"ลูเซียสเคยเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้า? ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อน?"
"เพราะมันเป็นความลับที่ถูกปกปิดไว้อย่างยาวนาน" ผู้เฒ่าปราชญ์ตอบ
"ลูเซียสคือพี่น้องร่วมสายเลือดของเจ้า แต่เขาเกิดมาพร้อมกับพลังแห่งเงามืด พลังที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อสมดุลของอาณาจักร ครอบครัวของเจ้าจึงตัดสินใจที่จะปกปิดเรื่องนี้และผลักไสเขาออกไปจากตระกูล"
คำพูดของผู้เฒ่าปราชญ์ทำให้ไรอันรู้สึกถึงความสับสนและความเจ็บปวดในใจ เขาไม่เคยรู้ว่าลูเซียสคือพี่น้องร่วมสายเลือด และไม่เคยรู้ว่าตระกูลของเขามีส่วนในการทำให้ลูเซียสกลายเป็นผู้ที่ครอบครองพลังแห่งความมืด
"เพราะความแค้นที่ถูกฝังลึกในใจ ลูเซียสจึงหันไปหาพลังแห่งเงามืดและทำสัญญากับมัน เพื่อที่จะใช้พลังนั้นในการล้างแค้นต่อครอบครัวและอาณาจักรที่เขารู้สึกว่าทรยศเขา" ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวเสริม
"แต่พลังนั้นไม่ได้มอบเพียงความแข็งแกร่งให้แก่เขา มันยังได้ครอบครองจิตวิญญาณของเขาด้วย"
ลีอาที่ฟังอยู่เงียบๆ ตลอดการสนทนา มองดูไรอันด้วยความเห็นใจ เธอยื่นมือออกไปตบบนหลังมือเขาเบาๆ เธอเข้าใจถึงความรู้สึกที่ต้องพบกับความจริงที่เจ็บปวด แต่เธอเชื่อว่าไรอันจะต้องสามารถก้าวข้ามมันไปได้
"ข้าต้องทำอย่างไร?" ไรอันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนและเป็นทุกข์
"ข้าจะหยุดลูเซียสได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นพี่น้องของข้า?"
"เจ้าต้องใช้พลังของเจ้าเพื่อฟื้นฟูสมดุลที่ถูกทำลาย และเจ้าต้องเผชิญหน้ากับลูเซียส ไม่ใช่ในฐานะศัตรู แต่ในฐานะพี่น้อง" ผู้เฒ่าปราชญ์ตอบ
"การต่อสู้ระหว่างเจ้าและลูเซียสไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งความชั่วร้าย แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่อคืนความสงบสุขและความเข้าใจให้กับตระกูลของเจ้า"
ไรอันรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจที่ถูกปลดเปลื้องออกมาเล็กน้อย แต่เขายังคงรู้สึกถึงความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า การเผชิญหน้ากับลูเซียสจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหนีจากความจริงนี้ได้อีกต่อไป
"ข้าจะทำมัน ข้าจะเผชิญหน้ากับลูเซียส และจะนำพาเขากลับคืนสู่แสงสว่าง" ไรอันกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
ผู้เฒ่าปราชญ์พยักหน้าอย่างเห็นใจ
"ข้าหวังว่าเจ้าและลูเซียสจะหาทางคืนดีกันได้ และข้าขอให้เจ้ามีพลังที่จะผ่านพ้นความมืดมิดนี้ไป"
หลังจากการสนทนานั้น ผู้เฒ่าปราชญ์ได้ให้แผนที่แก่ไรอันและลีอา เพื่อช่วยนำทางพวกเขาไปยังสถานที่ที่ลูเซียสซ่อนตัวอยู่
หลังจากที่ผู้เฒ่าปราชญ์เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลของไรอันและการทรยศในอดีต จิตใจของไรอันเต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด ความจริงที่เขาเพิ่งได้รับรู้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่เขาไม่เคยคาดคิด
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ถกเถียงหรือวางแผนการเดินทางต่อไป เสียงฝีเท้าที่รวดเร็วและหนักแน่นก็ดังขึ้นจากภายนอกบ้านไรอัน ลีอา และผู้เฒ่าปราชญ์หันไปมองประตูบ้านด้วยความตื่นตัว
“เกิดอะไรขึ้น?” ลีอาถามเบาๆ
“ข้าก็ไม่แน่ใจ...” ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แต่ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเข้ามาใกล้”
ก่อนที่ผู้เฒ่าจะพูดจบ ประตูบ้านก็ถูกถีบเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นกลุ่มนักฆ่าลึกลับสามคนที่ยืนอยู่ในเงามืด พวกเขาสวมชุดสีดำทมิฬ ใบหน้าถูกปิดบังด้วยหน้ากาก และในมือของพวกเขาถืออาวุธที่เปล่งแสงสีดำออกมา พลังอันมืดมิดแผ่ซ่านไปทั่วห้อง สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนในที่นั้น
"พวกเขาคือใครน่ะ?" ลีอาถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"นักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อสังหารข้า" ผู้เฒ่าปราชญ์ตอบอย่างสงบนิ่ง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา "พวกเขามาจากกลุ่มที่รับใช้เงามืดของลูเซียส"
"พวกเขามาเพื่อปิดปากข้าก่อนที่ข้าจะสามารถให้ความช่วยเหลือพวกเจ้าได้" ผู้เฒ่าปราชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
"แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำได้สำเร็จ"
ไรอันก้าวขึ้นมาขวางหน้าผู้เฒ่า ดาบของเขาถูกชักออกมาในพริบตา
"ท่านผู้เฒ่า หาที่หลบก่อน!"
นักฆ่าคนหนึ่งพุ่งเข้าหาไรอันด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ ดาบของพวกเขาฟาดฟันอย่างแม่นยำ แต่ไรอันสามารถหลบเลี่ยงได้และตอบโต้ด้วยดาบของเขาเอง การต่อสู้ระหว่างไรอันและนักฆ่าลึกลับเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด
ลีอาเองก็ไม่ยอมแพ้ เธอใช้พลังแห่งธรรมชาติเรียกเถาวัลย์ออกมาจากพื้นดินเพื่อพันรอบนักฆ่าอีกคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ฉลาดพอที่จะใช้พลังเงามืดเพื่อตัดเถาวัลย์ทิ้งและพุ่งเข้าหาเธอ ลีอารีบหลบอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอใช้พลังเรียกหนามแหลมขึ้นจากพื้นดินเพื่อสร้างสิ่งกีดขวาง เสียงดาบปะทะกันดังสนั่นทั่วบ้านเล็กๆ นี้ ในขณะที่ไรอันและลีอาพยายามสู้กับนักฆ่าที่แสนแข็งแกร่ง อาเรียน่าซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังตู้หนังสือได้แต่จ้องมองด้วยความหวาดกลัว แต่เด็กหญิงก็รู้ว่าตนเองต้องอดทน เธอรู้ว่าตอนนี้มีเพียงต้องแอบซ่อนตัวถึงจะไม่ทำให้พี่ชายและพี่สาวต้องกังวล
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ประตูด้านหลังบ้านก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มวัยประมาณ 16 ปี ปรากฏตัวขึ้น เขามีรูปร่างสูงโปร่งและดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น มือของเขาถือกระบองเหล็กที่ดูหนักหน่วงและพร้อมจะต่อสู้ได้ทุกเมื่อ
“ท่านตาเคยบอกแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นสักวัน!” ชายหนุ่มตะโกน
ขณะที่เขาพุ่งเข้ามาช่วยพวกไรอัน เงื้อกระบองเหล็กฟาดลงไปที่นักฆ่าคนหนึ่งอย่างแรง ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้นผู้เฒ่าปราชญ์มองหลานชายของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ
“เอลเลียต ข้าดีใจที่เจ้ามาทันเวลา”เอลเลียต ซึ่งเป็นหลานชายของผู้เฒ่าปราชญ์ หันมามองพวกไรอัน “ข้าได้ยินเสียงการต่อสู้เลยรีบมาช่วย ข้าคือเอลเลียต หลานของผู้เฒ่า และข้าจะไม่ยอมให้ใครโดนทำร้ายในถิ่นข้า!”
ไรอันพยักหน้ารับ
“ไป!”
การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด แม้จะเป็นเพียงชายหนุ่ม เอลเลียตก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความชำนาญในการต่อสู้ เขาใช้กระบองเหล็กในการต่อสู้กับนักฆ่าลึกลับอีกคนอย่างไม่ย่อท้อ ลีอาใช้พลังแห่งธรรมชาติสนับสนุนการโจมตีของเขา ขณะที่ไรอันยังคงต่อสู้กับนักฆ่าที่ทรงพลังที่สุด
ในท้ายที่สุด ด้วยความร่วมมือของทุกคน นักฆ่าลึกลับทั้งสามคนก็ถูกปราบลง พวกเขาสลายหายไปในเงามืด ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ แต่ความรู้สึกหนักอึ้งยังคงอยู่ในใจของไรอันและเพื่อนร่วมทาง
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง เอลเลียตเดินเข้ามาหาผู้เฒ่าปราชญ์
“ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าไม่อยากให้ท่านอยู่คนเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านต้องการการปกป้อง และข้าจะไม่ปล่อยให้พวกมันทำร้ายท่านได้”
ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอ่อนโยน
“เจ้าทำได้ดีมาก เอลเลียต ข้าแก่เกินกว่าจะต่อสู้ได้เหมือนเมื่อก่อน ข้ารู้สึกขอบใจที่เจ้ามาช่วยข้าและพวกเขา”
เอลเลียตหันไปทางไรอันและลีอา
“พวกเขาคือใครหรือท่านตา”
ผู้เฒ่าปราชญ์เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลานชายฟัง
“เช่นนั้น ข้าขอร่วมเดินทางกับพวกท่าน ข้ามีทักษะในการต่อสู้และความรู้เกี่ยวกับพื้นที่รอบๆ นี้ และที่สำคัญข้าต้องการล้างแค้นพวกมันที่พยายามทำร้ายครอบครัวข้า”
ไรอันมองดูเอลเลียตด้วยความชื่นชม
“เรายินดีที่เจ้าจะมาร่วมทางกับเรา เอลเลียต พลังของเจ้าจะเป็นกำลังสำคัญในภารกิจของเราแน่นอน”
ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มให้กับหลานชายและหันไปหาพวกไรอัน
“ข้าขอให้พวกเจ้าจงระวังตัว นักฆ่าที่มาคือสัญญาณว่าอำนาจของลูเซียสกำลังแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าจะต้องพบกับอันตรายที่มากยิ่งขึ้น แต่ข้าหวังว่าสุดท้ายแล้ว เจ้าจะหาทางหยุดยั้งเขาได้”
ผู้เฒ่าปราชญ์ยื่นแผนที่ให้แก่ไรอัน
“นี่คือแผนที่ที่จะนำทางพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่ลูเซียสซ่อนตัวอยู่ มันจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานและเต็มไปด้วยอันตราย แต่ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังมากพอที่จะผ่านพ้นมันไปได้”
ไรอันรับแผนที่มาอย่างนอบน้อม
“ข้าขอขอบคุณท่านปราชญ์ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งลูเซียสและนำความสงบสุขกลับคืนสู่แผ่นดินนี้”
หลังจากที่พวกเขาเตรียมตัวเรียบร้อย ไรอัน ลีอา อาเรียน่า และเอลเลียตก็เริ่มออกเดินทางไปตามเส้นทางที่แผนที่ชี้นำ เส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอันตรายรอพวกเขาอยู่ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในกัน
ก่อนออกเดินทาง ผู้เฒ่าปราชญ์พาหลานชายไปที่ห้องด้านหลังของบ้าน ที่นั่นมีกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งภายในบรรจุนกเหยี่ยวตัวหนึ่งที่สง่างามและน่าเกรงขาม
"นี่คือเฟนิกซ์ เหยี่ยววายุคู่ใจของข้า" เอลเลียตพูดพร้อมกับยิ้ม
ภาพของเหยี่ยวตัวนี้ทำให้เขารู้สึกถึงพลังและความมั่นใจที่มีมากขึ้น เฟนิกซ์คือเหยี่ยวที่มีขนสีทองประกายและดวงตาสีเหลืองอำพันที่แสดงถึงความเฉียบคม มันมีขนาดใหญ่กว่านกเหยี่ยวทั่วไป และปีกที่กว้างของมันทำให้มันสามารถทะยานสู่ท้องฟ้าได้อย่างรวดเร็วและเงียบสงบ เอลเลียตเปิดกรงและเรียกเหยี่ยววายุ มันบินออกมาจากกรงอย่างสง่างามก่อนจะร่อนลงมาที่แขนของเขา
"เฟนิกซ์เป็นเพื่อนคู่ใจของข้ามานาน มันไม่เพียงแค่สามารถส่งสารได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีดวงตาที่เฉียบคมและสามารถสอดส่องภัยอันตรายได้ในระยะทางหลายกิโลเมตร" เอลเลียตอธิบายด้วยความภาคภูมิใจ
ไรอันและลีอาต่างมองดูเฟนิกซ์ด้วยความทึ่ง ลีอายิ้มออกมาและยื่นมือไปแตะขนของมันเบาๆ "มันสวยงามจริงๆ เอลเลียต ข้าว่าเฟนิกซ์จะเป็นประโยชน์มากในการเดินทางของเรา"เอลเลียตพยักหน้า
"มันเคยช่วยข้าหลายครั้งในการต่อสู้และการสอดแนม ข้ามั่นใจว่ามันจะช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงได้"
เฟนิกซ์กางปีกกว้างก่อนจะบินขึ้นไปยังท้องฟ้าภายนอกบ้านอย่างรวดเร็ว มันทะยานขึ้นไปสูงจนเกือบจะลับสายตา ก่อนจะเริ่มบินวนไปทั่วบริเวณรอบหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ เพื่อตรวจสอบว่ามีภัยอันตรายใดๆ อยู่ใกล้เคียงหรือไม่
ผู้เฒ่าปราชญ์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเฟนิกซ์ทำหน้าที่ของมัน
"เฟนิกซ์จะเป็นตาของพวกเจ้าในที่ที่พวกเจ้าไม่อาจมองเห็น ข้าขอให้พวกเจ้าโชคดีและปลอดภัยในการเดินทาง"
ไรอัน ลีอา อาเรียน่า และเอลเลียตบอกลาผู้เฒ่าปราชญ์ เอลเลียตนัยน์ตาแดงก่ำ
“ข้าขอตัวไปเก็บของก่อนนะ” เอลเลียตพูดจบก็รีบเดินไปยังที่พักของเขาทันที
“ข้าฝากหลานชายคนนี้ของข้าด้วยนะ แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่ย่อมจะมีประโยชน์ต่อแผนการของพวกเจ้า” ผู้เฒ่าปราชญ์พูด และมองเข้าไปในดวงตาของไรอัน
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต หากภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะรีบพาเขากลับมาหาท่านอย่างแน่นอน” ไรอันให้คำมั่นแก่ชายชรา
หลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อม พวกไรอันก็ออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางที่แผนที่ชี้นำ
ผู้เฒ่าปราชญ์มองตามหลังสี่คนหนึ่งสัตว์ที่เดินจากไป
‘ท่านตา สิ่งนี้คืออะไรเหรอครับ?’
‘หนอนขนเม่นน่ะ เจ้าต้องระวังนะ หากไปแตะโดนขนมัน เจ้าจะทรมานเพราะพิษของมันอันตรายมาก’
‘ข้าไม่กลัวหรอก’ เด็กชายวัยห้าขวบ ใช้มือจับหนอนขนเม่น ก่อนที่ผู้เป็นตาจะช่วยทัน
‘โอ๊ยยย’ เด็กชายร้องลั่น พร้อมเอามือซ้ายกุมมือขวาทึ่บาดเจ็บไว้
‘นั่นไง ตาบอกแล้วใช่มั้ย ดื้อจริงๆ’ ถึงปากจะดุหลาน แต่ชายชราก็รีบเข้าไปดูมือของหลานชายตัวน้อย
‘นี่มัน…’ คนเป็นตาพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ จากที่คิดว่าจะเห็นแผลไหม้พุพองน่ากลัว แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงรูเล็กๆหลายสิบรูที่เกิดจากหนามพิษของหนอนขนเม่นแทงเท่านั้น
‘ท่านตา ข้าเจ็บ ต่อไปข้าไม่ดื้อแล้ว’
วันต่อมา หลานชายตัวน้อยวิ่งมาหาตาอย่างร่าเริง พร้อมชูนิ้วข้างที่บาดเจ็บให้คนเป็นตาดู
‘ท่านตา แผลข้าหายแล้ว ยาของท่านดีจริงๆ’
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าหลานคนนี้จะโดนอะไร ก็จะหายได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้เฒ่า ไม่ต้องไปห่วงเด็กๆมันหรอก เอลเลียตน่ะแข็งแรงไม่เหมือนเด็กอื่น ท่านก็รู้นี่ อีกอย่างเขาก็โตแล้วนะ”
ชายวัยกลางคนร้างท้วมคนหนึ่งเดินมาสะกิดแขนผู้เฒ่าปราชญ์ เมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นนานมาก
“นั่นสินะ หลานตัวน้อยของข้า เติบใหญ่แล้ว”
ชายชราถอนหายใจยาว แล้วหันกายเข้าที่พักไป
ผู้เฒ่าปราชญ์ไม่คาดคิดเลยว่า การจากกันของเขากับหลานชายครานี้ จะจากกันไปนานเสียจนเขาแทบรอไม่ไหว ร่างกายชราทรุดลงไปทุกวัน
เฟนิกซ์บินนำหน้าเป็นระยะทางไกล สอดส่องและส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ ดวงตาที่เฉียบคมของมันสามารถมองเห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงามืดที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหรือสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ระหว่างการเดินทาง
เฟนิกซ์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกลุ่ม มันส่งสารไปยังหมู่บ้านข้างเคียงที่พวกเขาต้องผ่าน เพื่อเตือนชาวบ้านถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้พวกไรอันสามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ครั้งหนึ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับฝูงหมาป่าที่ถูกพลังเงามืดครอบงำ เฟนิกซ์ก็ใช้ความเร็วของมันบินวนล่อหลอกรอบฝูงหมาป่า ทำให้พวกมันเสียสมาธิ และเปิดโอกาสให้ไรอัน ลีอา และเอลเลียตสามารถโจมตีและผ่านพ้นอันตรายไปได้
ความสามารถและความจงรักภักดีของเฟนิกซ์ทำให้มันกลายเป็นสมาชิกที่ขาดไม่ได้ของกลุ่ม ทุกคนต่างรู้สึกขอบคุณที่มีมันคอยสนับสนุนและช่วยเหลือในการเดินทางครั้งนี้