❝คุณไพเพอร์ครับ...ผมขอรักคุณได้ไหม?❞ ❝อย่ารักเลย...❞

คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด] - Chapter 1 เรื่องเข้าใจผิด โดย THEMOONANDME @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,Mpreg,ดรามา,โรแมนติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

Mpreg,ดรามา,โรแมนติก

รายละเอียด

❝คุณไพเพอร์ครับ...ผมขอรักคุณได้ไหม?❞ ❝อย่ารักเลย...❞

ผู้แต่ง

THEMOONANDME

เรื่องย่อ

Trigger Warning !


Explicit sex scenes การบรรยายฉากร่วมเพศอย่างตรงไปตรงมาก/ Non-penetrative sex การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สอดใส่/ Dirty talk คำพูดหยาบโลน / Mpreg ผู้ชายท้องได้/ Violence การใช้ความรุนแรง/ Blood เลือด/ Weapons การใช้อาวุธ


เรื่องย่อ

หลังจากที่โดนให้ออกจากงานกะทันหันเพราะดันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ผมก็มานั่งดื่มที่บาร์เพื่อย้อมใจ แต่เหมือนว่าผมจะโชคร้ายไม่หยุด จู่ๆ ก็มีเสี่ยคนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเด็กที่นัดเอาไว้ พอบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่เชื่อ จะลากผมไปด้วยให้ได้ แต่โชคยังดีที่มีใครบางคนผ่านมาทางนี้ ซึ่งดูแล้วเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลไม่น้อย ผมเลยถือโอกาสนี้เอาตัวรอดด้วยการโมเมว่าเขาเป็นลูกค้าของผมที่นัดกันเอาไว้ แถมผมยังพลั้งปากเรียกเขาว่า ‘ป๋า’ อีกต่างหาก ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็เพื่อเอาตัวรอดจากไอ้เสี่ยบ้ากาม เรียกได้ว่าเพราะเขาผมถึงรอดมาได้


และความบังเอิญก็ทำให้ผมได้พบกับ 'คุณไพเพอร์' อีกครั้ง ในฐานะผู้สมัครงาน ส่วนเขาคือรองประธานบริษัท แต่สุดท้ายทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า จะอะไรเสียอีก...ผมติดแบล็กลิสต์! ผมไม่สามารถเข้าทำงานบริษัทไหนได้อีกแล้ว ซึ่งนั่นเป็นฝีมือของผู้จัดการฝ่ายที่แกล้งผมให้หมดหนทางทำงาน นอกจากคุณไพเพอร์จะไม่รับผมเข้าทำงาน เขายังเข้าใจผิดคิดว่าผมขายบริการอีกต่างหาก เป็นเพราะเรื่องที่บาร์ในคืนนั้นแท้ๆ เลย...

สารบัญ

คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]-Prologue บทนำ,คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]-Chapter 1 เรื่องเข้าใจผิด,คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]-Chapter 2 หรือจริงๆ แล้วเป็นงานที่ถนัดที่สุด

เนื้อหา

Chapter 1 เรื่องเข้าใจผิด

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...


หลังจากที่ผมเริ่มทำใจได้กับการถูกบีบให้ออกจากงานที่เก่า ผมก็เดินหน้าเต็มสูบเพื่อหางานใหม่ทำ บางบริษัทผมก็ยื่นสมัครผ่านทางอีเมล บางบริษัทก็วอล์กอินเข้าไปสมัคร แต่ก็ไม่ได้สักบริษัท เรื่องที่น่าแปลกก็คือทุกบริษัทที่ผมไปสมัคร ต่างพากันทำท่าทางประหลาดๆ ใส่ผม หลังจากที่พวกเขาให้หัวหน้าระดับสูงตรวจสอบข้อมูลและประวัติการทำงานทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญมันอยู่ที่เอกสารฉบับหนึ่งเขาถือเอาไว้ ซึ่งหลังจากที่เขาได้ดูข้อมูลอะไรบางอย่างในนั้น ผมก็จะได้รับการปฏิเสธทันที ผมอยากจะตะโกนบอกทุกคนว่า...


‘ผมเป็นคนดีครับ รับผมเข้าทำงานเถอะ ไม่ใช่มิจฉาชีพ!’


ที่ผมไม่เข้าใจคือ เอกสารฉบับนั้นคืออะไร? ทำไมพวกเขาถึงได้ดูข้อมูลในนั้น แล้วเลือกที่จะปฏิเสธผม ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ยื่นเรซูเมให้ดูเลยด้วยซ้ำ


เอาเถอะ...ยังเหลืออีกหนึ่งที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ ซึ่งผมเองไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่บริษัทนี้เป็นบริษัทส่งออกยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้กล้าขนาดนี้ แต่โอกาสคงมาไม่ถึงถ้าผมมัวแต่กลัว เอาเป็นว่าถึงจะผิดหวังจากที่อื่นมา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะยอมแพ้ มันต้องมีสักที่ที่รับผมแหละน่า


“คุณมนสิชา เพียงคณพิชญ์ เชิญที่ห้องสัมภาษณ์ค่ะ”


ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องสัมภาษณ์ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความประหม่า บุคคลที่มาสัมภาษณ์ผมในวันนี้มีทั้งหมดสามคน หัวหน้าฝ่ายบุคคล หัวหน้าฝ่ายส่งออกต่างประเทศและคนสุดท้ายที่แค่เห็นตำแหน่งก็ทำเอาผมผวาสุดๆ นั่นก็คือ…รองประธานบริษัท


หลังจากที่ผมเข้ามานั่งในห้องสัมภาษณ์ไม่กี่นาทีก็มีอีกบุคคลหนึ่งเปิดประตูเข้ามา ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทำเอาผมอึ้งจนตาค้าง เพราะคนคนนั้นก็คือ ‘เขา’ ผู้ชายที่ผมไปโมเมเรียกเขาว่า ‘ป๋า’ ในคืนนั้น คนที่ผมหวังจะได้เจออีกครั้ง และวันนี้ผมได้เจอเขาแล้ว ‘พชรกฤต อัครพัฒนวัชร์’ รองประธานบริษัทในเครือ AKP Group


ผมคิดว่าผมทำการบ้านมาดีพอสมควรเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ของแต่ละบริษัทที่ผมสมัครไป สืบค้นข้อมูลคร่าวๆ อ่านผ่านทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นประวัติของบริษัท ผู้ก่อตั้ง ผู้บริหาร แต่ที่น่าแปลกก็คือรายชื่อของรองประธานบริษัท เพราะไม่มีข้อมูลสำคัญหรือรูปของเขาปรากฏอยู่เลย ทั้งในเว็บไซต์ของบริษัทหรือเว็บไซต์ข่าวสารเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจ เขาดูลึกลับจัง...


เขาจะจำผมได้หรือเปล่านะ?


“คุณมนสิชา เชิญแนะนำตัวเลยครับ”


“ผม...”


“ผมขอสัมภาษณ์คุณมนสิชาเป็นการส่วนตัว...” เงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคมดุดูแน่นิ่ง แต่น่าเกรงขามเหลือเกิน


ผู้ร่วมสัมภาษณ์ทั้งสองท่านได้ลุกขึ้นในทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเขา ตอนนี้ในห้องสัมภาษณ์ที่แสนกว้างเหลือแค่ผมและเขาสองคน เพียงแค่เขาปรายตามองผม ผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะหยุดหายใจอย่างไรอย่างนั้น คนตัวสูงเดินมาที่หน้าโต๊ะที่ผมนั่งสัมภาษณ์ เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบโต๊ะ ก่อนจะยื่นแฟ้มเอกสารที่เขาถือมาให้กับผม


“เปิด...”


ผมพยักหน้ารับตามคำสั่ง แล้วเปิดดูเอกสารในแฟ้ม เนื้อหาภายในนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวผมและบริษัทเก่าที่ผมถูกไล่ออก และสิ่งที่ทำให้ผมช็อกจนอ้าปากค้างนั่นก็คือ คำกล่าวอ้างที่แนบเป็นจดหมายในรูปแบบของอีเมลที่ถูกพรินท์ออกมา บอกว่าผมทุจริตบริษัท จึงทำให้ถูกไล่ออกกะทันหัน


ทุจริตบริษัท? ผมเนี่ยนะทุจริตบริษัท? ซึ่งนั่นก็หมายความว่า นอกจากผู้จัดการฝ่ายจะบังคับให้ผมลาออก เขายังใส่ความผมให้ผมไม่มีที่ยืนในสายงานไหนอีกอย่างนั้นเหรอ? ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้...


“ผมไม่ได้ทำนะครับ ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ถูกไล่ออกเพราะทุจริต ความจริงแล้วผม...”


“คุณติดแบล็กลิสต์ และผมไม่รับคนที่มีชนักติดหลังเข้ามาทำงาน...” แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องมานั่งฟังผมอธิบาย ก้อนสะอื้นพลันแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ขอบตาของผมเริ่มร้อนผ่าว คล้ายว่าผมกำลังจะร้องไห้ในอีกไม่ช้า แต่ผมจะมานั่งร้องไห้ฟูมฟายตอนนี้ไม่ได้


“ผมไม่ได้ทำจริงๆ ครับ”


เขามองผมอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมดุที่มองมาทำให้ผมไม่สามารถหลบหลีกได้เลย สายตาของเขาสามารถสะกดให้ผมหยุดนิ่ง ไร้ซึ่งแรงต้าน ทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกมันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน ผมอึดอัดที่ผมไม่สามารถอธิบายให้เขาเชื่อผมได้ว่าผมไม่ใช่คนผิดอย่างที่ถูกใส่ร้าย แต่ผมก็อยากสู้เพื่อตัวเอง อย่างน้อยๆ ก็เพื่อความสามารถในการทำงานของผมที่ไม่เป็นสองรองใคร


“ผมเป็นคนที่มีศักยภาพนะครับ ผมเรียนรู้งานได้เร็ว ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ให้คุณได้เห็นมันได้ไหมครับ?”


“ศักยภาพด้านไหนที่คุณหมายถึง?” คำถามของเขาทำเอาผมชะงัก เขามีความหมายแฝงในคำถามที่เขาถามผม ผมเข้าใจถูกไหม?


ความนิ่งของเขาสร้างความกดดันให้ผมได้มหาศาล รวมทั้งบรรยากาศในห้องที่อึมครึมชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น ตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต บุคคลที่อยู่ตรงหน้าผมดูเหมือนจะมีอำนาจที่ทำให้ใครต่อใครยอมศิโรราบอย่างนั้นสินะ เพราะเพียงแค่เขาใช้สายตาดุๆ จ้องมองก็ทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง...


“ผม...ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดครับ”


“เรื่องที่บาร์ น่าจะชัดเจนมากพอให้คุณเข้าใจ งานพิเศษที่คุณทำคือสิ่งแรกที่ทำให้ผมตัดสินใจไม่รับคุณ และบริษัทที่คุณยืนอยู่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาทำให้เสื่อมเสีย...” อย่าบอกนะว่าเขาคิดว่าผม...ขายบริการ


“ผมไม่ได้ขายบริการนะครับ เรื่องคืนนั้นผมอธิบายได้ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้...”


“เชิญ...” เขาตวัดสายตามองผม เป็นเชิงไล่กลายๆ


ดวงตาของผมเคลือบไปด้วยน้ำใสๆ ที่รอเวลารินไหล จริงสิ สิ่งที่ผมหวังไว้เป็นจริงแล้วนี่นา ที่ผมเคยนึกเอาไว้ว่าถ้าได้มีโอกาสได้เจอเขาอีก ผมต้องขอบคุณเขาให้ได้ที่ช่วยผมไว้ในคืนนั้น


“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมในคืนนั้น ถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่” ฝืนยิ้มให้เขา...ทั้งๆ ที่น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อ ผมหยิบกระเป๋าแล้วรีบเดินออกจากห้องให้เร็วที่สุด ที่แรกที่ผมนึกออกคือห้องน้ำ เพราะผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาของผมไว้ได้อีกต่อไปแล้ว พยายามร้องไห้ให้เสียงเบาที่สุดเพราะเกรงว่าจะมีใครได้ยินเข้า


สิ่งที่ผมรู้สึกในตอนนี้ คือผมเหมือนเดินมาหยุดอยู่ที่ทางตัน ไม่มีหนทางข้างหน้าให้ผมเดินต่อ ผมเสียใจที่ถูกกล่าวหาทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังถูกเข้าใจผิดว่าขายบริการ แถมผมยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้อธิบายตัวเองให้เขาได้เข้าใจ


ผมกลับคอนโดมาด้วยสภาพที่ไร้เรี่ยวแรงเต็มที ทั้งท้อใจ ทั้งเสียใจ หันมองข้างๆ ตัวก็เห็นเพียงตุ๊กตาแฮมสเตอร์ตัวน้อยสามตัวที่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวของผม คว้าพวกมันทั้งหมดมากอดเอาไว้แน่น ก่อนจะซุกหน้าลงและปล่อยให้น้ำตาไหลริน แม้ว่าชีวิตจะโดดเดี่ยวไม่มีคนในครอบครัวให้พึงพสหรือพักพิง แต่ผมก็ยังมีแฮมสเตอร์น้อยทั้งสามตัว


“ขอบคุณนะแฮมสเตอร์ ฮึก...ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนหม่าม้า ฮือ...”


ไม่ได้...ผมจะยอมแพ้ไม่ได้


ผมควรหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากและฟุ้งซ่าน ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่หาข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงาน ผมทำแบบนั้นตลอดเจ็ดวัน พยายามเป็นอย่างมากด้วยฝึกฝนตัวเองเพื่อให้ตอบคำถามการสัมภาษณ์งานได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนว่าที่ฝึกมาทั้งหมดจะไม่ได้โชว์ให้ใครเห็นเลยสักคน


ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน...แต่ผมรอไม่ได้ ทุกๆ วันมีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ในเมื่อผมหมดสิทธิ์ที่จะทำงานในสายงานของบริษัท ก็คงต้องหางานอย่างอื่นทำไปก่อน อย่างน้อยก็เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องอดตาย


วันต่อมา...


ผมแวะมากินข้าวเช้าก่อนจะไปสมัครที่บริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากที่เมื่อคืนนั่งหาข้อมูลจนดึกดื่น ว่าจะไม่สมัครเพราะอยากพักใจ...แต่ก็อดไม่ได้


“เงินดีสุดๆ ฉันทำมาสองปีแล้วนะจะว่าไป แต่คุณเพจกับคุณไพเพอร์เขาเนี้ยบมาก แล้วก็ดุพอสมควรเลย คนพ่อว่าดุแล้ว คนลูกเผลอๆ น่าจะยิ่งกว่า แถมยังดูเงียบๆ แต่คุณเขาเก่งมากนะ คุมพนักงานทุกคนอยู่หมด ตอนนี้เหมือนว่าจะคัดพนักงานที่ประพฤติไม่ดีออกอยู่หลายคนเลยล่ะ คุณเพจเขาให้สิทธิ์ลูกชายคนโตเต็มที่ เพราะคุณเขายุ่งจนแทบไม่มีเวลา ว่าแต่ว่าแกสนใจหรือเปล่า? ถ้าสนใจลองมาสมัครดูไหม? ที่กาสิโนมีลูกค้าเป็นพวกนักธุรกิจรายใหญ่ทั้งนั้น ทั้งคนไทย ทั้งต่างชาติ ให้ทิปแบบจัดหนักจัดเต็มอีกต่างหาก”


เสียงคุยโทรศัพท์ของใครบางคนจากทางด้านหลัง เรียกความสนใจจากผมได้ไม่น้อย สำหรับคนตกงานอย่างผม อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับงานและเงินในเวลานี้ ได้ยินแล้วมันอยู่เฉยไม่ได้จริงๆ


เมื่อเสียงคุยโทรศัพท์เงียบไป ผมจึงตัดสินใจหันหลังไปคุยกับพี่ที่นั่งกินข้าวอยู่ทางด้านหลังผม


“เอ่อ...เมื่อกี้ผมได้ยินพี่คุยโทรศัพท์ ขอโทษที่ผมเสียมารยาทแอบฟังนะครับ คือตอนนี้ผมตกงานครับ แล้วผมก็สนใจงานที่พี่พูดถึง ผมรบกวนขอสอบถามได้ไหมครับ?”


“พี่คุยดังเองนั่นแหละ ฮ่าๆ ถามมาได้เลยน้อง” ผมหมุนเก้าอี้หันมานั่งคุยกับพี่เขาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น


“ตอนนี้รับสมัครคนเยอะไหมครับ? แล้วมีเกณฑ์การรับยังไงบ้าง?”


“ตามจริงไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้เท่าไรหรอก อีกอย่างคือเขาไม่ติดป้ายประกาศ ค่อนข้างส่วนตัวนิดหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วคนที่กาสิโนเยอะมากอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ลูกค้าที่มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะที่พี่ทำอยู่เป็นกาสิโนที่มีชื่อเสียงมาก เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศเลยก็ว่าได้” แค่ได้ฟัง ผมก็เริ่มอยากลองทำแล้วแฮะ นี่คงเป็นเหตุผลที่นักธุรกิจเลือกที่จะมาใช้บริการที่นี่อย่างนั้นสินะ


“แล้วตอนสมัครใช้เรซูเมและข้อมูลเหมือนสมัครตามบริษัททั่วๆ ไปเลยไหมครับ?”


“อืม...เหมือนกันเลย แต่พี่บอกไว้ก่อนเลยนะ ที่นี่เข้มงวดมาก เกณฑ์การรับเข้าทำงานก็เอาเรื่องเลย เพราะเขาไม่รับใครสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างน้อยๆ น้องจะต้องเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ยที่ดีในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าได้ภาษาจะดีมาก เพราะลูกค้าเป็นนักธุรกิจที่เป็นชาวต่างชาติเข้าออกอยู่บ่อยๆ ที่สำคัญประวัติการทำงานที่เก่าต้องดีด้วย กว่าพี่จะเข้าได้ก็ลุ้นเกือบตาย เอางี้ เดี่ยวพี่ให้ไอดีไว้ ถ้าเราอยากถามอะไรก็ทักแช็ตพี่มาได้เลย”


“ขอบคุณมากครับพี่”


ผมคิดว่าผมเข้าเกณฑ์ทั้งหมด แต่ที่หนักใจเห็นจะมีอยู่ข้อเดียวก็คือเรื่องประวัติการทำงานที่เก่า แม้ว่าในนั้นจะไม่ได้ระบุสาเหตุของการลาออก แต่ถ้าเช็กข้อมูลของผมโดยละเอียดก็คงต้องเจอชื่อของผมที่ติดแบล็กลิสต์อยู่เป็นแน่ สิ่งที่ผู้จัดการฝ่ายทำกับผมมันหนักหนาสาหัส จนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมจะสมัครงานที่กาสิโนได้ไหม ไม่รู้ว่าเขาจะเช็กข้อมูลของผมมากน้อยแค่ไหน ถ้าเขารู้ว่าผมติดแบล็กลิสต์เขาก็คงไม่รับผมอยู่ดี


สองวันต่อมา...


ผมหาข้อมูลมาสองวันเต็มๆ เกี่ยวกับกาสิโน จนได้รู้ว่ากาสิโนนี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ ‘อัครพัฒนวัชร์’ นี่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่า ที่ผมได้เข้ามาอยู่ในวงโคจรของตระกูลนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง คงต้องเรียกว่าตระกูลมหาอำนาจ เพราะนอกจากจะมีธุรกิจส่งออกแชมเปญและเบียร์ที่ผมเพิ่งถูกปฏิเสธมา ยังมีธุรกิจกาสิโนและยิ่งไปกว่านั้นคือ ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์


สิ่งที่ทำให้ผมหวั่นใจมากที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า ‘คุณพชรกฤต’ จะเป็นคนสัมภาษณ์งานผมเองหรือเปล่า ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ผมคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปให้ห้องสัมภาษณ์ เป็นไปได้ว่าเขาคงไล่ผมกลับตั้งแต่เห็นผมหน้าประตู แต่ถ้าไม่เสี่ยงก็ไม่มีงานทำ


ผมเลือกที่จะแบกหน้ามาด้วยความคิดที่ว่า...นี่คือกาสิโน ไม่ใช่สายงานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดังนั้นผมอาจจะมีสิทธิ์ในงานนี้ก็ได้


“น้องมัฟฟิน มานี่ๆ” พี่นัทควักมือเรียกผม


“มาถูกวันจริงๆ วันนี้คนที่มาสัมภาษณ์เราคือ คุณพีต้า ไม่ใช่คุณไพเพอร์ คุณพีต้าใจดี รับคนเข้าง่ายกว่าเยอะ เดี๋ยวพี่พาเราไปยื่นเอกสารกับฝ่ายบุคคลก่อน ตามพี่มาๆ”


คุณไพเพอร์ที่เขาพูดถึง คงเป็นคุณพชรกฤต อย่างนั้นสินะ...ชื่อเล่นของเขาเท่จัง


หลังจากที่ผมยื่นเอกสารกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลแล้ว เขาให้ผมมานั่งรอที่ห้องทำงานห้องใหญ่ ไม่นานนักก็มีใครบางคนเดินเข้ามา และสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดเห็นจะเป็นใบหน้าของเขา ที่ดูละม้ายคล้ายกันกับคุณไพเพอร์เกือบทุกส่วน พวกเขาคงเป็นฝาแฝดถึงได้เหมือนกันขนาดนั้น ที่ดูแตกต่างเห็นจะเป็นไฝเม็ดเล็กๆ ที่ปลายจมูกนั่น รวมถึงความอ่อนหวานบนใบหน้าและท่าทางที่ดูใจดีของเขา


“สวัสดีครับคุณมนสิชา ผมพีรชญานะครับ เรียกว่าพีต้าก็ได้ ในส่วนของการรับเข้าสมัครเป็นหน้าที่ขอฝ่ายบุคคลที่พิจารณาในรอบแรกครับ แต่ในส่วนของการสัมภาษณ์เป็นหน้าที่ของผมเอง ตอนนี้พี่ชายของผมเขาไม่อยู่ กว่าจะมาก็ช่วงดึกๆ ถือว่านี่เป็นโชคดีของคุณครับ ที่ไม่ได้สัมภาษณ์กับเขา พี่ของผมเนี้ยบเกินไป แถมยังชอบทำหน้านิ่งตลอด ตาก็ดุ ฮ่าๆ”


เขาดูใจดีจัง แถมยังดูอารมณ์ดี แตกต่างจากเขาคนนั้นจนน่าใจหาย


“ผมได้อ่านเรซูเมของคุณแล้วนะครับ ถือว่าประวัติการทำงานของคุณดีเยี่ยมเลย นอกจากนั้นยังสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว ไม่ทราบว่านอกจากสายงานในบริษัทแล้วยังมีงานในด้านการบริการอื่นๆ ที่คุณได้เคยลองทำมาบ้างไหมครับ?” เขาไม่ได้เจาะลึกข้อมูลการทำงานของผมเหมือนคุณไพเพอร์ เพียงแค่ตรวจดูเรซูเมเพียงเท่านั้น ความหวังของผมที่จะได้ทำงานที่นี่คงไม่ไกลเกินเอื้อม...


“ไม่เคยเลยครับ แต่ผมทำได้ครับ”


“ตอนนี้ตำแหน่งเต็มเกือบหมดแล้วครับ ที่ว่างอยู่เพียงตำแหน่งเดียวเห็นจะเป็นตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ คุณมนสิชาคิดว่าพอจะทำได้ไหมครับ?” พนักงานเสิร์ฟเหรอ...สบายมาก! มัฟฟินทำได้อยู่แล้วครับ!


“ได้ครับ ผมทำได้”


“แล้วสะดวกเริ่มงานเลยหรือเปล่าครับ?”


“สะดวกครับ สามารถเริ่มงานได้วันนี้เลยครับ”


“ถ้าอย่างนั้นก็…ยินดีต้อนรับสู่กาสิโนของเรานะครับ คุณมนสิชา”


เย้! ผมได้งานแล้ว! ดีใจเป็นบ้า ฮือ...


กลับไปผมจะซื้อตุ๊กตาแฮมสเตอร์เป็นของขวัญให้ตัวเองหนึ่งตัว!




9:50 PM


ตามจริง ผมสามารถทำงานอะไรก็ได้ แม้จะไม่ตรงกับสายงานที่เคยทำ แต่ก็ถือว่ายังพอได้ใช้สกิลในการสื่อสารภาษาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเริ่มงานวันนี้เป็นวันแรกแต่ผมก็ทำงานโดยไม่หยุดพักเลยตั้งแต่มา เนื่องจากลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่กาสิโนกันอย่างล้นหลาม สมแล้วที่เป็นกาสิโนอันดับหนึ่งของประเทศ


ที่ผมพะวงในตอนนี้เห็นจะเป็นเรื่องที่คุณไพเพอร์จะเข้ามาตรวจงานที่นี่ในช่วงดึกๆ ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าหลบเขาได้ก็รีบหลบเสีย ผมจะเอาหน้าไปให้เขาเห็นไม่ได้เด็ดขาด! ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองขโมยเลยล่ะ ต้องลบๆ ซ่อนๆ คอยดูลาดเลา เฮ้อ...จะทำงานทั้งทีทำไมมันยากนักนะ


แต่คิดแล้วนี่ก็เป็นกาสิโน ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานที่อยู่ในที่อโคจร ไม่น่าจะต้องเข้มงวดมากเท่าบริษัทหรือเปล่า?


“I’ d like Mint Martini. (ผมขอมินต์มาร์ตินี) ”


“Yes, sir. Wait a moment, please. (ได้ครับ รอสักครู่นะครับ) ”


ผมคิดว่าพรุ่งนี้ผมจะซื้อขนมมาฝากพี่นัท พี่ที่แนะนำงานให้ผม ถือว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ ที่มาสมัครในวันนี้ เพราะคุณพีต้ารับผมเข้าทำงานเป็นคนสุดท้าย!


“Here’ s your Mint Martini, sir. (มินต์มาร์ตินีได้แล้วครับ) ” ผมเลื่อนแก้วให้กับลูกค้าท่านนี้ ทว่าไวกว่าคิด...ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเท้าออกจากบริเวณนี้ ลูกค้าฝรั่งผมทองก็ได้คว้าเอวผมให้นั่งลงบนตักของเขาเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังบีบก้นผมแรงๆ หลายครั้ง ผมพยายามดิ้นเพื่อให้เขาปล่อยแต่กลับไม่เป็นผล เมื่อมือปลาหมึกของเขารั้งตัวผมเอาไว้แน่นจนแทบขยับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


“I’ m sure, I’ ll get lucky because of you. Wish me luck, baby. (ผมมั่นใจเลยว่าผมจะโชคดีเพราะคุณ อวยพรให้ผมหน่อยสิที่รัก) ” เขาพูดพลางเลื่อนมือลงมาตีก้นของผมและบีบจนเต็มแรงอีกครั้ง


ไอ้ฝรั่งบ้านี่ยื่นชิปให้ผม เพื่อให้ผมเป่ามันและอวยพรให้มัน แต่ผมเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไม่ทำตามคำสั่ง อีกฝ่ายคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมในทันใด ทั้งยังแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กพยายามแกะฝ่ามือที่เกาะเป็นกาวออก แม้ว่าผมจะออกแรงมากเท่าไรในการดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น แต่ทว่ามันกลับไม่ช่วยอะไรผมได้เลยสักนิด


“I told you to wish me luck, you hoe! Do it or I’ ll tell the manager that you’ re treating your customer really bad? (กูบอกให้มึงอวยพรไง อีร่าน! ทำสิ หรือจะให้กูบอกผู้จัดการของมึงว่ามึงปฏิบัติกับลูกค้าโคตรแย่?) ”


“It’ s you not me! How dare you insulting me like that? You’ re an asshole! (คุณต่างหาก ไม่ใช่ผม! กล้าดียังไงถึงมาดูถูกผมแบบนั้น ไอ้ระยำ!) ”


“โอ๊ย!”


ไอ้ฝรั่งผมทองนั่นตบหน้าผมสุดแรงจนผมล้มลงไปกองกับพื้น ความเจ็บปวดที่ผมได้รับพลันแล่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ผมเอามือกดที่สะโพกข้างที่กระแทกพื้นพร้อมกับนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ พี่พนักงานที่เห็นเหตุการณ์รีบเดินเข้ามาดึงตัวผมให้ลุกขึ้น


“เกิดอะไรขึ้นน้อง เป็นอะไรมากไหม?”


“เขาลวนลามผม แล้วก็ทำร้ายร่างกายผมครับ”


“มีอะไร?” น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ผมเคยได้ยินดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันไปมองทางต้นเสียงในทันใด เจ้าของเสียงที่แสนเย็นชานั่น...คือเขา เราสบตากันเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะเลื่อนสายตาไปมองลูกค้าฝรั่งที่ยืนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ตรงหน้าผม ทั้งๆ ที่เพิ่งทำร้ายร่างกายผมไปหมาดๆ


“Your staff’ s treating me bad, and I don’ t think he deserves to work here anymore. You’ re the manager, right? I want you to fire this fucking hoe right now. (พนักงานของคุณปฏิบัติตัวแย่และผมไม่คิดว่าเขาสมควรที่จะได้ทำงานที่นี่ต่อ คุณเป็นผู้จัดการใช่ไหม? ผมอยากให้คุณไล่อีร่านนี่ออกไปเดี๋ยวนี้เลย) ”


ผมพยายามกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลเพราะคำพูดจาที่แสนดูถูกของไอ้ฝรั่งแสนชั่วนั่น


“Shut your fucking mouth! (หุบปากของมึงซะ!) ” คำสบถที่ออกมาจากปากของคนตัวสูง เพียงแค่ได้ยินก็รู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ


คุณไพเพอร์ส่งซิกบางอย่างให้ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังเขา ลูกน้องร่างกำยำทั้งสองคนปรี่เข้าประชิดตัวลูกค้าฝรั่งพร้อมกับล็อกตัวไว้คนละข้าง ร่างสูงควักปืนที่เหน็บไว้ข้างเอวจ่อไปที่กลางหน้าผากของฝรั่งคนนั้น ภาพตรงหน้าทำเอาผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเอามือกำชายเสื้อไว้แน่น ทั้งยังสั่นไปทั่วสรรพางค์กาย ส่วนลูกค้าที่เห็นเหตุการณ์ก็เริ่มเดินหนีหายไปจากบริเวณนี้ทีละคนๆ


“มันทำอะไรคุณ?” เจ้าของดวงตาคมดุหันมาถามผม ที่ในเวลานี้เอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง


“เป็นใบ้หรือไง? ตอบ...”


ผมยืนเหม่อมองภาพตรงหน้าราวกับคนที่วิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว “ตบ...ตบหน้าครับ...”


ทันทีที่สิ้นเสียงตอบคำถาม ใบหน้าของลูกค้าฝรั่งก็สะบัดไปตามแรงข้อมือที่คุณไพเพอร์ใช้ด้ามปืนตบเข้าที่หน้าอย่างจัง


ริมฝีปากของผมแห้งผาก อ้าปากค้างจนพูดอะไรไม่ออก


“You don’ t have the right to insult my staff. Kneel and apologize to him. (มึงไม่มีสิทธิ์ดูถูกพนักงานของกู คุกเข่าลงไป แล้วขอโทษเขาซะ) ”


ไอ้ฝรั่งผมทองพยักหน้าหงึกๆ ยอมคุกเข่าตามที่คุณไพเพอร์สั่งแต่โดยดี “I...I... apologize (ผม...ผม...ขอโทษ) ”


เขากล่าวคำขอโทษต่อผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะความกลัว


“F*ck off! (ใส่หัวไป!) ”


ผมสังเกตเห็นว่าใบหน้าข้างที่ถูกด้ามปืนตบ บวมและแดงขึ้นย่างเห็นได้ชัด ส่วนมุมปากมีเลือดไหลออกมาจนถึงปลายคาง รวมถึงฟันที่กระเด็นออกมาหนึ่งซี่ ผมยืนอึ้งมองภาพตรงหน้าไม่ไหวติง น้ำตาคลอเบ้า แค่กลืนน้ำลายยังทำได้อย่างยากลำบาก


สายตาดุๆ ที่จ้องมองผม ทำให้ผมกลัวจนต้องรีบหลุบตาลงให้พ้นจากดวงตาคู่นั้น เพราะมันแฝงไปด้วยอำนาจ ความน่ากลัวและความน่าเกรงขาม


“คุณ...ไปพบผมที่ห้อง”