❝คุณไพเพอร์ครับ...ผมขอรักคุณได้ไหม?❞ ❝อย่ารักเลย...❞

คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด] - Chapter 2 หรือจริงๆ แล้วเป็นงานที่ถนัดที่สุด โดย THEMOONANDME @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,Mpreg,ดรามา,โรแมนติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

Mpreg,ดรามา,โรแมนติก

รายละเอียด

❝คุณไพเพอร์ครับ...ผมขอรักคุณได้ไหม?❞ ❝อย่ารักเลย...❞

ผู้แต่ง

THEMOONANDME

เรื่องย่อ

Trigger Warning !


Explicit sex scenes การบรรยายฉากร่วมเพศอย่างตรงไปตรงมาก/ Non-penetrative sex การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สอดใส่/ Dirty talk คำพูดหยาบโลน / Mpreg ผู้ชายท้องได้/ Violence การใช้ความรุนแรง/ Blood เลือด/ Weapons การใช้อาวุธ


เรื่องย่อ

หลังจากที่โดนให้ออกจากงานกะทันหันเพราะดันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ผมก็มานั่งดื่มที่บาร์เพื่อย้อมใจ แต่เหมือนว่าผมจะโชคร้ายไม่หยุด จู่ๆ ก็มีเสี่ยคนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเด็กที่นัดเอาไว้ พอบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่เชื่อ จะลากผมไปด้วยให้ได้ แต่โชคยังดีที่มีใครบางคนผ่านมาทางนี้ ซึ่งดูแล้วเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลไม่น้อย ผมเลยถือโอกาสนี้เอาตัวรอดด้วยการโมเมว่าเขาเป็นลูกค้าของผมที่นัดกันเอาไว้ แถมผมยังพลั้งปากเรียกเขาว่า ‘ป๋า’ อีกต่างหาก ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็เพื่อเอาตัวรอดจากไอ้เสี่ยบ้ากาม เรียกได้ว่าเพราะเขาผมถึงรอดมาได้


และความบังเอิญก็ทำให้ผมได้พบกับ 'คุณไพเพอร์' อีกครั้ง ในฐานะผู้สมัครงาน ส่วนเขาคือรองประธานบริษัท แต่สุดท้ายทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า จะอะไรเสียอีก...ผมติดแบล็กลิสต์! ผมไม่สามารถเข้าทำงานบริษัทไหนได้อีกแล้ว ซึ่งนั่นเป็นฝีมือของผู้จัดการฝ่ายที่แกล้งผมให้หมดหนทางทำงาน นอกจากคุณไพเพอร์จะไม่รับผมเข้าทำงาน เขายังเข้าใจผิดคิดว่าผมขายบริการอีกต่างหาก เป็นเพราะเรื่องที่บาร์ในคืนนั้นแท้ๆ เลย...

สารบัญ

คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]-Prologue บทนำ,คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]-Chapter 1 เรื่องเข้าใจผิด,คุณไพเพอร์อย่าใจร้าย Mpreg [Set แฝด]-Chapter 2 หรือจริงๆ แล้วเป็นงานที่ถนัดที่สุด

เนื้อหา

Chapter 2 หรือจริงๆ แล้วเป็นงานที่ถนัดที่สุด

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?” เขาถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ต่อให้ฟังดูนิ่งแค่ไหน มันก็แฝงไปด้วยโทสะอยู่ดี


“ผม...ผมมาทำงานครับ เป็นพนักงานเสิร์ฟ” ผมตอบเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ


“ใครเป็นคนรับคุณเข้ามา”


“พีต้าเอง” คุณพีต้าเปิดประตูเข้ามาพอดี เขาเลยเป็นฝ่ายที่ตอบคำถามแทนผม


คุณไพเพอร์ปรายตามองน้องชายของเขา “พีต้าออกไปก่อน...”


“พีต้าดูกล้องวงจรปิดแล้ว คุณมนสิชาเขาไม่ผิดนะเพอร์ เพอร์ห้ามไล่เขาออกเด็ดขาด!”


เขาหลับตาลงช้าๆ และถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ กับน้องของตัวเองเขาก็ดุแบบนี้เหรอเนี่ย...


“...ออกไปก่อนพีต้า”


คุณพีต้าจ้องหน้าพี่ชายของเขาเขม็ง ทว่าสุดท้ายก็ยอมออกไปแต่โดยดี


“ผมคิดว่าผมพูดทุกอย่างเคลียร์ตั้งแต่วันที่คุณไปสมัครงานที่บริษัท แล้วทำไมผมถึงยังเจอคุณที่นี่อีก?”


“ผมเห็นว่าที่นี่เป็นกาสิโนครับ และคิดว่าไม่มีอะไรเสียหายถ้าผมจะเข้าทำงานที่นี่ เพราะไม่ใช่สายงานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท”


“แล้วคุณเห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือยัง?” ตอบไม่ได้...เพราะที่เขาพูดมามันไม่ผิดเลยสักนิด ผมสร้างความเสียหายให้แก่กาสิโนของเขา


“ผมขอโทษครับคุณไพเพอร์”


“ผมให้คุณทำงานที่นี่ต่อไปไม่ได้”


“ผมขอโอกาสได้ไหมครับ ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ผมสัญญาครับ ได้โปรดให้ผมทำงานที่นี่เถอะนะครับ”


“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาทำงานพิเศษของคุณ รู้เอาไว้ว่าคำขอโทษของคุณมันไร้ประโยชน์...”


พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่พลันแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เขายังคงปักใจว่าผมขายบริการอย่างนั้นสินะ ถึงได้พูดกับผมแบบนั้น แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ...ถึงจะแก้ไขจุดนี้และเปลี่ยนความคิดที่เขามีต่อผมได้?


“ผม...”


“ไปซะ”


ผมรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่างกาย แถมน้ำตาของผมยังไหลลงข้างแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ ผมยกมือปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยๆ พาร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกมาจากห้องของเขา คนที่นั่งรอผมอยู่ที่ม้านั่งยาวหน้าห้องคือคุณพีต้า เขารีบเดินตรงมาหาผมและลูบที่ไหล่ของผมเบาๆ เพื่อปลอบใจกัน


“ผมขอโทษนะครับคุณพีต้า”


“คุณมนสิชาไม่จำเป็นต้องขอโทษผมเลยครับ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไอ้ลูกค้าฝรั่งผมทองนั่นต่างหากที่ผิด”


“ผมขอบคุณคุณพีต้ามากนะครับที่ให้โอกาสผม”


“คุณมนสิชา...”


“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”


ผมพยายามกลั้นน้ำตาระลอกที่สองที่คล้ายว่ากำลังจะไหลอยู่รอมร่อ แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด ผมควรจะกลับไปร้องไห้กับเจ้าตุ๊กตาแฮมสเตอร์ของผมสิ ไม่ใช่ที่นี่ แต่แล้วก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องมานั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำอยู่ดี ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมงในการปล่อยให้น้ำตาไหลรินอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกดีขึ้น


ก่อนที่ผมจะออกจากกาสิโน ผมแวะไปขอบคุณพี่นัท ซึ่งเป็นพี่ที่แนะนำผมเกี่ยวกับงานที่นี่ พี่เขาเองก็พยายามปลอบผมยกใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่าผมยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม...


แม้จะไม่ดึกมากเท่าไร แต่รถประจำทางกลับไม่มีเลยสักคัน เลยทำให้ผมตัดสินใจเดินตามทางมาเรื่อยๆ รู้อีกทีก็หลายกิโลแล้ว สุดท้ายก็แวะมากินมื้อค่ำที่ร้านข้าวต้ม ผมสั่งเมนูโปรดของตัวเองคือ ผัดผักบุ้งไฟแดง ปลาพิโรธ ต้มจืดมะระและข้าวต้มกุ๊ยสองถ้วย กินย้อมใจให้หายเศร้า กินฉลองให้กับชีวิตการทำงานของผม ดูเหมือนว่ายิ่งเครียดก็จะยิ่งหิวแฮะ คงต้องตบท้ายด้วยของหวานอีกสักถ้วย




หลายวันต่อมา...


ติ๊ดๆ


‘พี่โซล’


“ (ไงไอ้น้องรัก ได้ข่าวว่าออกจากงานแล้วเหรอ?) ”


“รู้ได้ยังไง?” พี่โซลคือรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย ที่เรียนเอกเดียวกันกับผม


“ (วันก่อนที่เจอเพื่อนร่วมงานเรานั่นแหละ เขามาเที่ยวที่คลับพี่ ตอนตรวจบัตรเขายื่นบัตรผิด ดันยื่นบัตรพนักงานมาให้ดูเฉย พอเห็นว่าเป็นที่ทำงานเรา เลยลองถามดูว่ารู้จักเราไหม เขาบอกพี่ว่าเราเพิ่งออกจากงานเพราะได้งานใหม่ที่ดีกว่า) ”


“อือ...ตามนั้น”


“ (ได้งานใหม่ที่ดีกว่า แต่ทำไมเสียงหงอยนักวะ?) ”


“ไม่ได้ออกเพราะได้งานใหม่ แต่โดนบีบให้ออกเพราะดันไปรู้ไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นต่างหาก” พี่โซลคงเป็นคนเดียวที่ผมสามารถเล่าทุกอย่างในชีวิตของผมให้เขาฟังได้ เพราะน้องจากพี่แกในชีวิตของผมก็ไม่มีใคร ผมอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ด เพราะผมคือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกปีที่แล้ว ป๊าและแม่จากผมไปเพราะเหตุการณ์ในคืนวันนั้น มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่...


“ (โคตรบัดซบ! แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อ?) ”


“ยังไม่รู้เลยพี่โซล ผมไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่รับเพราะติดแบล็กลิสต์ ฝีมือเจ้านายเก่านั่นแหละ” พูดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย


“ (หมายความเราก็สมัครงานบริษัทไหนไม่ได้เลยดิวะ...เจ้านายเราก็เหี้ยเหลือเกินเนอะ แค่ฟังพี่ยังโกรธเลย มัฟฟิน...เราไม่เลือกงานใช่ไหม?) ”


“ไม่เลือกหรอกพี่โซล มีอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”


“ (คลับพี่ลูกค้ากระเป๋าหนักเยอะ สนใจมาทำไหม?) ”


“พนักงานเสิร์ฟเหรอพี่? ทำได้นะ สบายมาก”


“ไม่ใช่พนักงานเสิร์ฟน้องรัก...แต่เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์...”


“ห๊ะ?”


“ทำให้ลูกค้ากระเป๋าหนักพอใจให้ได้ ให้เขายอมจ่าย จะเต้นยั่วยวน จะเล่นหูเล่นตาหรือจะออดอ้อนยังไงก็ได้ ขออย่างเดียวไม่มั่วเซ็กซ์ในคลับของพี่เป็นพอ”


โห...ทำไม่ได้สักอย่างที่พูดมา จะรอดเหรอเนี่ย? ไอ้เรื่องมั่วเซ็กซ์นี่สบายใจหายห่วง เพราะไม่ทำเรื่องนั้นอยู่แล้ว แฟนสักคนยังไม่เคยมี...


ส่วนไอ้เรื่องเต้นนี่คิดหนักเลย จะเต้นยังไง? แค่เดินเฉยๆ ยังจะสะดุดขาตัวเองล้ม เฮ้อ...ชีวิต




พี่โซลนัดผมมาที่คลับของพี่แกก่อนคลับจะเปิดสามชั่วโมง เพราะอยากให้ผมมาฝึกเต้นกับครูสอนเต้นที่ประจำอยู่ที่นี่ คลับของพี่โซลเป็นคลับไฮคลาสที่มีชื่อเสียง และพี่โซลเองก็มีฐานะที่ร่ำรวยในระดับหนึ่ง ตามจริงพี่แกแค่เปิดคลับเล่นๆ เพราะอยากประชดครอบครัว ด้วยความที่ไม่อยากถูกจับคลุมถุงชน ครอบครัวของพี่โซลมีเชื้อสายจีน เขามองว่าการแต่งงานมีครอบครัวเร็วมันเป็นเรื่องปกติ และพวกเขาก็อยากอุ้มหลานเร็วๆ พี่โซลเลยประชดด้วยการเปิดคลับมันเสียเลย แน่นอนว่าทางครอบครัวของพี่แกไม่เห็นดีเห็นงามในเรื่องนี้ ที่ป๊ากับม้าของพี่แกค่อนข้างจะเคี่ยวเข็ญเรื่องการแต่งงานก็เพราะอยากให้สานต่อธุรกิจของครอบครัว โดยมีครอบครัวของฝั่งสะใภ้ที่มีฐานะในระดับเดียวกันมาช่วยเกื้อหนุนวงศ์ตระกูล เหมือนลูกๆ หลานๆ คนอื่นๆ


“นี่มิเกล ครูสอนเต้นของที่คลับ สอนใครคนนั้นรุ่ง เชื่อพี่!”


“สวัสดีครับ ผมชื่อมัฟฟินครับ”


“หน้าตาสวยหวาน น่าทะนุถนอมขนาดนี้ กูว่าน้องโกยเงินให้คลับมึงได้เงินหลายแสนแน่นอนคืนนี้” พี่โซลกับพี่มิเกลหันหน้าหากัน พากันหัวเราะคิกคัก ส่วนผมได้แต่ยืนยิ้มแหยๆ ก้มมองสภาพตัวเอง อย่าว่าแต่หลายแสนเลย สามพันเอาให้รอดก่อน...


พี่มิเกลสอนท่าเต้นแบบเบสิกให้ผม ไม่รู้ว่าพี่แกเรียกว่าเบสิกได้ยังไง เพราะแหกขาตั้งแต่เริ่มเพลง หมุนสะโพก เลื้อยตัวไปกับเสา ย่อตัวรูดเสาขึ้นลง แต่ละท่ามันเบสิกยังไง? ฮือ… เอาเถอะ! ถึงผมจะไม่ไหว แต่ใจผมสู้สุดๆ!


ตั้งแต่เกิดมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมก้าวออกจากกรอบของตัวเอง แล้วมาทำอะไรหลุดโลกแบบนี้ ผมไม่เคยคิดดูถูกสายอาชีพใดๆ ก็ตามในการทำงาน ทุกอาชีพมีเกียรติและน่ายกย่องเสมอ ก่อนหน้านี้ผมทำงานบริษัท แต่แล้วก็จับพลัดจับผลูไปทำที่กาสิโน ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าทำได้จริงๆ จังๆ หรือเปล่า เพราะแค่เสิร์ฟเหล้าไปแก้วเดียวแล้วก็โดนไล่ออกมา เพราะดันโดนฝรั่งผมทองทั้งลวนลาม ทั้งดูถูก จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต


เอาเป็นว่าผมจะถือว่าวันนี้เป็นการเริ่มต้นงานใหม่ของผม...


พี่มิเกลและพี่ๆ ช่างแต่งหน้า จับผมแต่งตัวและแต่งหน้า รวมถึงทำผมจนในที่สุดก็ออกมาในลุคที่เรียกว่าเซ็กซี่เสียจนผมจำตัวเองไม่ได้ ชุดสีดำผ้ากำมะหยี่ ด้านบนคือเสื้อครอปแนบเหนือที่โชว์แผ่นหลังของผมทั้งหมด ส่วนด้านหน้าผ่ากลาง แต่ยังเป็นซีทรูตรงช่วงรอยต่อตรงหน้าอกให้ดูมีลูกเล่น ในส่วนของกางเกงเป็นกางเกงสีดำขาสั้นที่ช่วงแถบข้างสะโพกเป็นผ้าสีทรูบางๆ ที่โชว์เนื้อหนังมังสาได้อย่างชัดเจน


สำหรับรองเท้า ผมเลือกแบบที่ตัวเองถนัดใส่มากที่สุดก็คือบูตดอกเตอร์มาร์ตินหุ้มข้อ คงเป็นของชิ้นเดียวบนร่างกายที่เรียกได้ว่าทำให้ผมมั่นใจมากที่สุดในวันนี้


“โห...นี่มัฟฟินน้องรักของกูจริงๆ เหรอวะมิเกล ทำไมมันสวยขนาดนี้! แต่งหน้าแต่งตัวขึ้นฉิบหาย!” ได้แต่ยืนยิ้มแหยๆ เอามือลูบคอตัวเอง


พี่มิเกลให้ผมเต้นโพลแดนซ์ เพียงแค่เต้นแบบธรรมดาไม่ต้องผาดโผนห้อยตัวหรือหมุนบนเสาเหมือนโพรเฟสชันแนล ช่วงที่ผมจะได้ขึ้นเป็นช่วงกลางดึกประมาณสามถึงสี่ทุ่ม เพราะช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้ามาใช้บริการที่คลับมากที่สุด


ก้าวเท้าขึ้นสเตจด้วยความมั่นใจ นึกอย่างเดียว เงิน เงิน เงิน!


ถ้าไม่ทำก็อดตาย ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องแล้วสิ้นเดือนนี้...



ผมสูดหายใจเข้าออกช้าๆ กวาดสายตามองรอบๆ บริเวณ มีผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่ล้อมรอบสเตจที่ผมยืนอยู่ ทันทีที่เพลงขึ้นผมก็เริ่มเต้นตามพี่มิเกลสอน เปิดด้วยการนั่งย่อตัวลงหน้าเสา เอื้อมมือขึ้นจับเสาด้านหลังยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยให้สามารถเลื้อยตัวขึ้นกับเสาได้อย่างถนัด


“เด็กใหม่โคตรเด็ด!” เสียงผู้ชายหลายๆ คนพูดขึ้น พร้อมกับเสียงผิวปาก


ผู้ชายตัวสูงๆ ที่ดูแล้วน่าจะอายุอานามมากกว่าผมถึงสิบปี กระดิกนิ้วเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็เอาแบงค์พันปึกใหญ่ยัดใส่ที่ขอบกางเกงของผม ผมผงะจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อลูกค้าท่านนี้จู่โจมด้วยการคว้าเข้าที่ท้ายทอยแล้วฝังริมฝีปากลงที่ข้างแก้ม ยอมรับว่าเขาทำให้ผมตกใจจนอยากจะผลักเขาออก ทว่าตอนนี้ผมยังอยู่ในหน้าที่ ผมจะทำให้เสียเรื่องเหมือนเหตุการณ์ที่กาสิโนไม่ได้เด็ดขาด


ผมยิ้มเล็กๆ และยืดตัวขึ้น เต้นต่อไปเรื่อยๆ จังหวะนั้นเองที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ที่โซน VVIP ‘คุณไพเพอร์’ ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เขานั่งมองผมอยู่ตรงนั้น แสงไฟที่ส่องสว่างหลากหลายสีสันก็ไม่สามารถบดบังความงดงามของดวงตาสีน้ำตาลคมดุคู่นั้นได้เลยแม้แต่น้อย


พยายามดึงสติกลับมาสนใจด้านหน้าสเตจ ในช่วงสุดท้ายของโชว์ก่อนที่เพลงจะจบลงคือท่าที่ผมต้องนอนลงไปกับพื้น เอามือเท้าคางและเตะขาขึ้นลงช้าๆ แล้วใช้สายตายั่วยวนมองลูกค้าที่ยืนอยู่หน้าสเตจ พี่มิเกลบอกผมว่าให้ผมทำยังไงก็ได้ให้เขายอมจ่ายให้หนักที่สุดก่อนที่ผมจะลงจากสเตจ…นั่นถึงจะถือว่าเป็นความสำเร็จของเรา ไม่นานนักก็มีผู้ชายผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ คนหนึ่งเดินตรงมาด้านหน้า เขาเดินมาพร้อมกับแก้วเหล้าที่อยู่ในมือ ก่อนที่จะยื่นมันให้ผม


“หมดแก้ว...ผมให้คุณห้าหมื่น” บอกตามตรงว่าลังเล เพราะผมรู้ตัวดีว่าลิมิตในการดื่มของผมมีมากน้อยแค่ไหน วอดก้าแค่ครึ่งแก้วผมยังนั่งจิบเป็นชั่วโมง แล้วนี่กระดกรวดเดียวหมดแก้ว ผมคงได้คลานลงจากสเตจเป็นแน่


“เอายังไงดีครับ? รวดเดียวหมดแก้ว ผมให้คุณเพิ่มอีกสองหมื่น? โอเคหรือเปล่า?”


แก้วเดียวเจ็ดหมื่น? ทำงานสามเดือนยังได้ไม่ถึงเลย เอาวะเป็นไงเป็นกัน...


“แต่เอ...เงินไม่ใช่น้อยๆ แบบนี้ แค่ยกแก้วกระดกรวดเดียวคงไม่คุ้มเท่าไร...คลานมาหาผมได้ไหมครับ?”


คลานไปหาเขา? เอาไงดีล่ะเนี่ย เงินเจ็ดหมื่นอยู่ตรงหน้าแท้ๆ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงกัน ถ้าผมได้เงินส่วนนี้หลังจากที่พี่โซลหักค่าใช้จ่ายไป ยังไงก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม


พยักหน้ารับตามสิ่งที่เขาเสนอ ผมค่อยๆ คลานเข้าหาเขา คนที่อยู่ตรงหน้าใช้นิ้วเรียวเชยปลายคางของผมขึ้นให้สบตากับเขา มือหนาเอาแก้วจ่อที่ปากผมและกระดกมันเข้าปากรวดเดียวจนหมดแก้ว แอลกอฮอล์จากปากไหลลงสู่ปลายคางและหน้าอก แต่แล้วก็ต้องชะงักในทันใดเมื่อลูกค้าท่านนี้คว้าหมับเข้าที่ท้ายทอยของผมและประกบริมฝีปากลงที่แก้มข้างขวา เรียกได้ว่าเกือบจะโดนริมฝีปากของผมอยู่แล้ว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นผมก็เกือบจะเสียจูบแรกของผมไปแล้วจริงๆ


ตาของผมเริ่มพร่ามัวเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เลยทำให้ผมเริ่มรู้สึกมนงงจนแทบจะลุกไม่ขึ้น ผมพยายามรวบรวมสติและดันตัวเขาให้ถอยออกไป ณ เวลานี้ผมยังคงนั่งอยู่บนสเตจ กะพริบตาถี่ๆ ปรับโฟกัสการมองเห็นของตาที่พร่ามัว ขืนลุกขึ้นตอนนี้ผมคงได้หัวขมำเป็นแน่ เงินจำนวนเจ็ดหมื่นบาทถูกวางลงที่ตักของผม และในจังหวะนั้นเองที่มือหนารั้งเอวผมให้ประชิดตัว


“ผมรู้สึกถูกใจคุณจัง หวังว่าครั้งหน้าจะได้เจอกันอีกนะครับ” ผมยิ้มเล็กๆ ให้เขาเป็นมารยาทและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณเขาสำหรับเงินก้อนใหญ่ที่มอบให้ผม


หลังจากที่ลงมาจากสเตจ ผมก็แทบจะล้มทั้งยืน วอดก้าเพียวๆ ครึ่งแก้วทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะตายเอาเสียให้ได้ และคนแรกที่วิ่งตรงมาหาผมพร้อมกับผ้าเย็นที่อยู่ในมือก็คือพี่โซล


“โห...น้องกู ไหวไหมเนี่ย?”


ผมยื่นเงินที่ได้มาทั้งหมดให้กับพี่โซล จากนั้นก็หอบเสื้อผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำ ล้างเนื้อล้างตัวเอากลิ่นแอลกอฮอล์ออกจากตัวให้ได้มากที่สุด


จากการขึ้นโชว์บนสเตจทำให้ผมทำรายได้ให้กับคลับรวมทั้งหมดสองแสนบาท อนึ่งเป็นผลมาจากเงินที่แลกมาจากการดื่มวอดก้าแก้วนั้นเจ็ดหมื่นบาท รวมถึงก่อนหน้านั้นอีกสี่หมื่นบาท ที่งอกเพิ่มมาคือลูกค้าที่อยู่หน้าสเตจที่ต้องการให้ทิปผมแบบไม่เปิดเผยตัว


เกือบเสียจูบแรกไปให้กับคนที่ไม่รู้จัก แต่แลกมาด้วยเงินหลายหมื่นบาทเป็นค่าจ้าง ผมก็คิดว่ามันคุ้มนะสำหรับการเอนเตอร์เทนลูกค้าในวันนี้ ดูเหมือนว่าถ้าผมยังอยากทำงานนี้ต่อไป ผมคงต้องไปฝึกดื่มเหล้าเพื่อให้ตัวเองคอแข็งมากกว่านี้แล้วล่ะ เพราะแค่แก้วเดียวที่ดื่มเข้าไปก็ทำเอาตาลาย แถมยังมึนหัวจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่...


ผมเดินออกมาหน้าคลับเพื่อรอรถกลับคอนโด และในขณะเดียวกันนั้นสายตาของผมก็พลันสบกับเจ้าของนัยน์ตาคู่สวยที่ยืนพิงลัมโบกินีสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไร รอบกายเขามีชายชุดดำที่ตามมาคุ้มกันอยู่สองสามคน แว็บหนึ่งในใจก็คิดว่าผมควรเดินไปสวัสดีเขา อีกใจก็คิดว่าผมควรอยู่เฉยๆ แต่เหมือนร่างกายจะไม่ฟังที่สมองสั่งสักเท่าไร เพราะตอนนี้ผมเดินซิกแซกมาหาเข้าเป็นที่เรียบร้อย


โคตรมึนหัวเลย...


สาวเท้าเข้าหาคนตัวสูงพร้อมกับเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับคุณไพเพอร์”


มือเล็กยกขึ้นประนมไหว้คนตัวสูงที่ยืนสูบบุหรี่ไม่สนโลก เขาส่งสายตาให้ลูกน้องเป็นเชิงบอกให้ลูกน้องของเขาไปรออีกฝั่ง


“คุณไพเพอร์...เอ่อ...มาที่นี่บ่อยเหรอครับ?”


แล้วผมจะมาชวนเขาคุยทำไมกัน ดูท่าแล้วเขาไม่ได้อยากจะเสวนากับผมเลยแม้แต่น้อย


“ดูเป็นงานที่คุณถนัดดี...”


“เอ่อ...คุณไพเพอร์...หมายถึงอะไรเหรอครับ?” อาการเมามันเป็นอย่างนี้เองสินะ ดูเหมือนทุกส่วนของร่างกายจะเคลื่อนไหวได้ช้าลง ทั้งยังรู้สึกเหมือนจะหลับเสียให้ได้ ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติและมองคู่สนทนา


ขนาดผมเมาผมยังเคลิ้มไปกับความหล่อของเขาเลย จะเรียกว่าเวอร์เกินไปหรือเปล่านะ ที่จะบอกว่าตั้งแต่เกินมาจนอายุยี่สิบสามปี ผมยังไม่เคยเจอใครที่มีเสน่ห์ชวนมองเท่าเขามาก่อนเลยในชีวิต คุณไพเพอร์มีรูปร่างที่สูงสมส่วน เขาตัวสูงกว่าผมมากๆ มีตาสีน้ำตาลอ่อน แม้จะสวยจนอยากจ้องนานๆ แต่อีกนัยหนึ่งก็ดูน่ากลัวเสียเหลือเกิน เพราะเขาตาดุ แค่ตวัดสายตามองมา ก็ทำเอาผมรู้สึกหวาดหวั่นและเกรงกลัวจนขนลุก


เส้นผมของเขาดูนุ่มดีจัง... เขามีผมสีบลอนด์เทาหม่น ฮืม...ย้อมผมหรือเป็นสีผมจริงๆ ของเขากันนะ จะว่าไปเขาดูคล้ายกับลูกครึ่งเลยแฮะ สันจมูกกับริมฝีปากน่าจูบนั่นดูดีเป็นบ้าแต่ดูจากชื่อจริงแล้วก็เป็นคนไทยแท้ ผมของเขาสวยชะมัด และผมคิดว่าผมสีนี้มันเข้ากับเขาเป็นบ้า ตรงคอของเขามีรอยสักเป็นชื่อของตัวเองที่เป็นภาษาอังกฤษคำว่า ‘Piper’ แถมยังเจาะหูตั้งสี่รู ทำไมทุกอย่างที่รวมเป็นเขามันถึงดูเท่จนทำให้ผมละสายตาจากเขาไปไม่ได้เลยล่ะ...


สาวเท้าเข้าใกล้คนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฉีกยิ้มให้เขาเบาๆ เพราะอาการเมาหรือเปล่านะถึงทำให้ผมเอาแต่ชื่นชมเขาไม่หยุด ผมนี่ชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว...


“ที่ทำไปดูถนัดดี...หรือจริงๆ แล้วเป็นงานที่ถนัดที่สุด?”


ผมหุบยิ้มในฉับพลันที่ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น น้ำเสียงที่เขาพูดกับผมในเวลานี้ ทำให้ผมรู้สึกจุกจริงๆ จุกจนไม่รู้จะพูดอะไรตอบโต้กลับไปดี


เม้มริมฝีปากเรียบ ฉับพลันที่ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำใสๆ ที่เคลือบอยู่ในตาคล้ายกำลังจะไหลรินในไม่ช้า ผมยืนนิ่งกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น คำพูดของเขามันสะกิดความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของผมจริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเขาที่เขาพูดแบบนั้นกับผม แต่ผมเสียใจ...


“อะไรที่ทำแล้วได้เงิน ผมก็ทำหมดแหละครับ...”


“ต่อให้เอาตัวเข้าแลก?”


แล้วเขาอยากได้คำตอบแบบไหน? คงเป็นแบบนี้สินะ... “ครับ คุณเข้าใจถูกแล้ว”


สะบัดหัวตัวเองเบาๆ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าภาพตรงหน้าคล้ายกับกำลังจะดับวูบลง และดูเหมือนว่าร่างกายของผมจะล้มพับลงในอีกไม่ช้า ในจังหวะที่หมุนตัวเพื่อเดินกลับไปยังจุดรอรถ ผมก็ทรงตัวไม่อยู่เสียแล้ว


“คุณ มนสิชา…”


เอ…ทำไมพื้นถนนมันอุ่นนักล่ะ? แถมยังไม่แข็งอีกต่างหาก เดี๋ยวนี้เขาสร้างถนนแบบใหม่กันแล้วเหรอ…? ถนนอะไรน่าเอาหน้าซุกเป็นบ้าเลย แถมยังมีกลิ่นหอมๆ ด้วยแฮะ ฮืม…มัฟฟินชอบจังเลยครับ


“มนสิชา…”


ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของใบหน้าดุจเทพเจ้า คุณไพเพอร์อยู่ใกล้ผมเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น ตาสวยจัง ต่อให้ตาคู่นี้จะดูดุยังไง แต่มันก็น่าหลงใหลเหลือเกิน จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ใช่คนก็ได้ เขางดงามเหมือนเทพเจ้ากรีก ผมขอบูชาสักการะได้ไหม? ขอพรได้หรือเปล่า? ฮืม…คงไม่ได้สินะ


ใบหน้าหล่อๆ แบบนี้มันเป็นใบหน้าของคนใจร้าย เขาน่ะใจร้าย เอาแต่มองผมในแง่ร้าย


“ทำไมคุณถึงใจร้ายนัก…ฮือ…”


“ลุกขึ้น”


“มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง เจ้านายก็ไม่ใช่…ฮึก…ผมยอมรับว่าคุณหล่อ คุณน่ะหล่อเป็นบ้าเลยคุณไพเพอร์ แต่คุณใจร้าย! อย่าใจร้ายนักได้ไหมเล่า…ฮือออ”


“พูดมาก”


“มัฟฟิน…ฮึก...มัฟฟินก็อยากมีทางเลือกที่ดีและโอกาสดีๆ ที่ได้รับจากคุณไพเพอร์นะครับ...แต่ดูเหมือนว่าคุณไพเพอร์จะไม่อยากให้มันกับมัฟฟินเลย...ฮึก...มัฟฟินไม่ใช่คนไม่ดีอย่างที่คุณไพเพอร์คิดนะครับ...ฮือ...ผมปวดหัว ง่วงนอนแล้วด้วย...ฮึก…”


ขอนอนเลยได้ไหม...