ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่นปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
ก้อนหินหลายสิบก้อนถูกปาใส่แผ่นหลังของเลปทีร์เข้าอย่างจัง บ้างก็โดนท่อนแขนและลำตัว บ้างก็กระแทกโดนศีรษะ
…สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เด็กชายต้องพบเจอทุกวัน
เขาขบฟันอดกั้นความเจ็บปวดขณะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาปกป้องตนเอง เด็กชายหลับตาปี๋พลางภาวนาให้การกลั่นแกล้งนี้จบลงเสียที
เขาไม่อยากจะฮึดสู้แล้ว
ทว่าพวกนั้นก็ยังคงปาก้อนหินใส่เขาอย่างต่อเนื่อง เลปทีร์ได้ยินเสียงเจ้าเด็กหัวโจกที่ชื่อเฮเรียสตะโกนบอกพรรคพวกของมันให้เล็งก้อนหินไปที่ศีรษะของเขา มันตะโกนก่นด่าไปพลางสั่งให้ลูกน้องของมันปาก้อนหินเล่นงานเขาไปพลาง
คำพูดก่นด่าหยาบคายเหล่านั้นเป็นคำพูดแบบเดียวกับก่อนหน้านี้ และเป็นแบบเดียวกับของก่อนหน้านี้และของก่อนหน้านี้ เป็นคำพูดที่กลั่นมาจากอารมณ์โทสะ ความเกลียดชังและความเคียดแค้นส่วนตัว
“ไปตายซะ!! ไอ้ปีศาจเวร”
เลปทีร์ชันเข่าก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้หินกระเด็นมาโดน รู้ว่าถ้าทำตัวว่าง่ายเข้าไว้ เดี๋ยวพวกนั้นก็จะเบื่อและยอมถอยไปเองเหมือนอย่างที่ผ่านมา เหมือนอย่างที่เป็นมาโดยตลอด…
คิดเช่นนั้นขณะเลียริมฝีปากแห้งผาก เด็กชายมองพื้นดินสีน้ำตาลที่ถูกกอหญ้าสีเขียวขจีปกคลุม ตรงหน้ามีดอกไม้สีขาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยดอกหนึ่งบี้แบนติดกับผืนดิน
ดอกเดซี่ฟลีเบน
น่าแปลกที่มันเติบโตเบ่งบานอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่มันควรจะอยู่ตามโขดหินใกล้แม่น้ำแท้ๆ
หากอยู่ตามโขดหินเหมือนอย่างดอกเดซี่ฟลีเบนต้นอื่นๆ ล่ะก็…ท่านนักบวชก็จะสังเกตเห็นและเก็บรวบรวมไปวางไว้บนแท่นบูชา กลายเป็นของสักการะของเทพีอคานธา..
ไม่ใช่โดนเหยียบย่ำซ้ำไปมาจนบี้แบนกลายเป็นสิ่งไร้ค่าเช่นนี้
…เป็นดอกไม้ที่เกิดมาผิดที่ผิดทางเหมือนกับเขา…
“เฮ้ย บนพื้นมันมีอะไรให้มองนักหนาวะ”
เฮเรียสเดินมากระชากเส้นผมของเลปทีร์ จากนั้นแล้วก็ชกเขาจนหน้าหันไปอีกทาง ลูกน้องของมันอ้อมมาทางข้างหลังพลางใช้เท้าเตะเข้าไปที่สีข้างจนเลปทีร์รู้สึกจุก...จุกแทบอยากจะอาเจียน แต่เด็กชายก็พยายามกลั้นไว้
“ไอ้ปีศาจบ้า ไอ้ตัวไร้ค่า”
เฮเรียสตะโกนด่าเขาอีกครั้งพลางถ่มน้ำลาย คำหยาบคายต่างๆ นาๆ เกินกว่าจะรับได้ถูกพ่นออกมาจากปากของเด็กหนุ่มตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้นแล้ว
ลูกน้องที่เหลือของมันอีกสาม..สี่คน เลปทีร์ไม่แน่ใจในจำนวน เขาไม่ได้เงยหน้ามองใครเลย– พวกที่เหลือต่างก็พากันกรูเข้ามารุมกระทืบทำร้ายเขา
เมื่อความเจ็บปวดพุ่งสูงจนถึงจุดหนึ่ง เขาก็ไม่อาจรู้สึกได้อีกต่อไปว่าพวกนั้นทำร้ายเขาด้วยวิธีใดบ้าง เด็กชายตัดสินใจหลับตาเพื่อปิดกั้นการรับรู้ความเจ็บปวดทั้งหมด เพื่อทำให้แรงเตะ ต่อย ถีบ เหล่านี้ไม่มีผลต่อการรับรู้ของเขาอีกต่อไป
เขาจะต้องทน…
เขาต้องอดทน
เขาจะ–
เด็กชายตัวงอเมื่อโดนใครบางคนเตะซ้ำเข้าที่ลิ้นปี่ มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับตอนที่เท้าของใครบางคนกระแทกย้ำลงบนใบหน้า
ยังทนได้อยู่
เลปทีร์นึก
ยังทนได้อยู่
เขาคิดซ้ำๆ อยู่ในใจ พยายามกัดฟันอดทนรอให้อีกฝ่ายยอมรามือไปเอง
ต้องให้มันเป็นฝ่ายรามือไปเองเท่านั้น
แต่ทว่าพวกมันก็ยังไม่ยอมหยุด การยอมจำนนแต่โดยดีกลับยิ่งกระหน่ำให้การกลั่นแกล้งเช่นนี้ดำเนินไปอย่างรุนแรงมากขึ้น
เฮเรียสก้มหน้าลงมองพลางกระชากเส้นผมเพื่อบังคับให้เลปทีร์ต้องเงยหน้าขึ้น
มันมองเขาพลางพ่นลมออกมาทางจมูก “น่าสมเพช”
อีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะฟาดให้เขาล้มกองลงไปพื้นอีกรอบ
“แกมันไอ้นอกคอก”
กล่าวจบก็ทิ้งตัวนั่งคร่อมร่างเขาพร้อมกับใช้กำปั้นลุ่นๆ ซัดใส่หน้าเต็มแรงจนเด็กชายหน้าหันไปอีกทาง
“เพราะแม่ปีศาจของแก!” เฮเรียสโน้มตัวลงมาใกล้ใบหน้าของเขายิ่งกว่าเดิมจนเด็กชายรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่าย “พ่อของข้าก็เลยต้องตายจากข้าไปแบบนั้น”
สิ้นคำของมันเลปทีร์ก็รีบหลับตาปี๋ เขาเกร็งร่างกายเตรียมตัวรอรับการโจมตีถัดไป
…ทว่าก็ไม่เกิดเหตุอันใดตามมา...
จู่ๆ มันก็ผละออกจากเขา
เด็กหนุ่มผู้ถูกรังแกค่อยๆ ผ่อนไหล่ลู่ลง จากนั้นแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
หรือว่ามันจะพอเท่านี้แล้ว
ทว่า
สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือผงสีขาวบางเบาปลิวกระจายไปตามสายลม ผงสีขาวเหล่านั้นสะท้อนแสงแดดจนส่องประกายระยิบระยับพร่างพราวราวกับดวงดาวยามทิวากาล
เฮเรียสยืนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายหยิบเอาผงสีขาวในกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาโปรยเล่นด้วยใบหน้าแย้มยิ้มร้ายกาจ
และเลปทีร์ก็ได้แต่ยืนอึ้งมอง เด็กชายยืนนิ่งประมวลผลการกระทำของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หลากหลาย..
วันนี้เป็นวันครบรอบการตายของแม่
เขายังคงจำภาพของแม่ในกองไฟสีส้มเหลืองส่องโชติช่วงสุกสว่างได้อย่างแม่นยำ ยังคงจำเสียงกรีดร้องโหยหวนอันเปรียบเสมือนคำพูดสั่งเสียสุดท้ายของแม่ได้เป็นอย่างดี
เสียงร้องที่เปล่งออกมาด้วยความทุกข์ทรมานอย่างเหลือล้น และมีเพียงเลปทีร์คนเดียวที่ได้ยินมัน
มีเพียงเลปทีร์คนเดียวที่อยู่กับแม่จนถึงห้วงวาระสุดท้ายของชีวิต
เขานั่งร้องไห้กอดศพไหม้เกรียมของแม่อยู่นาน ก่อนที่ร่างของแม่จะถูกพวกชาวบ้านรุมดึงทึ้งลากไปอีกทาง…พวกชาวบ้านที่จำยอมต้องทำตามคำสั่งของตระกูลปักษาอัคคีอย่างเสียไม่ได้
เส้นความอดทนสุดท้ายขาดผึงลงตรงนั้นเอง
ตอนนี้เลปทีร์ไม่สนใจแล้วว่าตนอาจจะถูกจับไปลงโทษด้วยการโดนเฆี่ยนตีร้อยครั้ง หรือห้าร้อยครั้ง หรือพันครั้งในข้อหาทำร้ายร่างกายทายาทเออร์เนสต์แห่งแกรนด์นัลด์
เขาจะไม่ตายดีแล้วก็ช่างหัวเขาเถอะ
แต่ไอ้คนลามปามที่กล้าขโมยเอาเถ้ากระดูกของแม่ออกมาโปรยเล่นอย่างเย้ยหยันหลบหลู่เช่นนี้–แม้แต่ช่วงเวลาที่แม่จากไปแล้ว พวกมันก็ยังไม่ยอมให้ท่านได้พักผ่อนอย่างสงบในวิหารของเทพีอคานธาที่แม่เคารพเทิดทูน
ก็ต้องโดนสักหมัด!
เด็กชายกระโจนพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมซัดกำปั้นอัดใบหน้าของเฮเรียสไม่ยั้งทั้งซ้ายขวา จากนั้นก็จัดการศอกเข่าอัดใส่ท้องอีกฝ่ายไปสองครั้งจนมันตัวงอทรุดล้มลงไป ทว่ายังไม่ทันจะไดัใช้เท้ากระทืบซ้ำเหมือนอย่างที่มันทำกับเขา ลูกน้องของมันก็กรูกันเข้ามารุมสกัดดึงแขนรั้งขาของเลปทีร์เอาไว้เสียก่อน
“ลูกของนังปีศาจอย่างแกมีสิทธิ์โกรธด้วยหรือไง”
ทายาทเออร์เนสต์เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับหัวเราะในลำคอ สายตาอย่างผู้เหนือกว่าของมันทำให้ความชิงชังในใจของเลปทีร์ยิ่งทวีคูณขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เฮเรียสค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนพลางใช้แขนปาดเลือดบริเวณมุมปาก ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากเขาเต็มแรง
“ลูกไอ้ปีศาจที่ทำชีวิตชาวบ้านพินาศน่ะ ไม่มีสิทธิ์มาโกรธโว้ย!”
" แกต่างหากที่ทำชีวิตของข้าป่นปี้เละเทะไม่เหลือชิ้นดี " เลปทีร์ตะโกนโต้กลับบ้าง " พ่อของแกต่างหากที่แวะเวียนมาข่มขู่แม่ข้าไม่เว้นวันแบบนี้! "
" แม่ของแกใช้มารยาแม่มดล่อลวงพ่อข้าไปต่างหาก! " ทายาทเออร์เนสต์ยันตัวขึ้นพร้อมกับอัดหมัดใส่แก้มของเขาเต็มแรง "แม่แกต่างหากที่ร่ายเวทมนตร์ทำร้ายพ่อของข้าจนได้บาดแผลฉกรรจ์ขนาดนั้น แค่เพราะว่าพ่อของข้าปฎิเสธความรักแม่ของแก! ก็แล้วใครจะไปหลงรักแม่ม่ายที่เป็นแม่มดได้ลงเล่า "
"ไม่ใช่!!!!"
เลปทีร์ตะโกนร่ำร้องในใจ
ไม่ใช่ แม่ของเขาไม่เคยทำร้ายใคร และไม่เคยทำร้ายใครด้วยเหตุผลไร้สาระแค่นั้น
แม่ของเขามีพลังรักษา แม่ของเขาเปรียบเสมือนท่านนางฟ้าที่จุติลงมาคอยช่วยเหลือผู้ยากไร้ แม่ของเขาสามารถใช้เวทมนตร์เยียวยารักษาผู้คนได้ แม่ของเขาช่วยรักษาพวกชาวบ้านจนหายป่วยรอดตายมาหลายคนแล้ว
แม่เป็นผู้เยียวยา
ทว่าวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีโรคระบาดบางอย่างที่เกินกำลังพลังรักษาของท่าน
แล้วพวกมันก็พากันกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของท่าน ว่าแม่แสร้งทำให้พวกมันตายใจ จากนั้นก็แอบสาปพวกมันด้วยมนตร์ดำ ทำให้พวกมันต้องทุกข์ทรมานกับโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
ทั้งๆ ที่พ่อของเฮเรียสเองก็เจอกับโรคร้ายแรงนั่นจนต้องวิ่งแจ้นมาให้แม่ของเขาช่วยรักษา แต่เลปทีร์ไม่เข้าใจว่าข่าวลือมันแพร่ออกไปอีกแบบหนึ่งได้อย่างไร มันลงเอยกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
ทั้งๆ ที่..
" แม่ของข้ามีพลังรักษา จะไปหลงรักไอ้ปีศาจกระหายสงครามอย่างพ่อของเจ้าได้ยังไงเล่า ใครๆ เขาก็ลือกันให้ทั่วว่าพ่อของเจ้าเสียสติ เดินเพ้อละเมอหาภรรยาที่ตายไปแล้วจนมาหมายตาแม่ข้าไม่ใช่หรือไง "
สุดท้ายแล้วก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลปทีร์เห็นว่าทันทีที่เขาพูดเสร็จ อีกฝ่ายก็กำมือแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว เฮเรียสทำท่าจะเถียงกลับ แต่เลปทีร์ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำเช่นนั้น เขาเชิดหน้ามองเฮเรียสด้วยแววตาแข็งกร้าว " อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าเมื่อคราวก่อนที่ติดโรคมา เจ้าก็ได้แม่ของข้าช่วยรักษาให้ไม่ใช่เหรอ ท่านผู้สูงส่งทำเรื่องเสียเกียรติกับผู้ที่ช่วยชีวิต ช่างมารยาทงามและรู้คุณคนเสียเหลือเกิน "
สิ้นคำของเลปทีร์ เฮเรียสก็ก้มหน้าลงมา อีกฝ่ายบีบกรามเขาแน่นก่อนจะใช้กำปั้นลุ่นๆ อัดใส่เขาอีกครั้งจนเด็กชายรู้สึกปวดระบม
" อะไรเล่า~ ก็โรคทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของแม่แกนี่ " เฮเรียสเลียริมฝีปาก " แม่แกก็ต้องรักษาข้าน่ะสิถูกต้องแล้ว " เด็กหนุ่มผู้มีฐานะสูงกว่ากระชากเขาให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะต่อยอัดท้องเด็กชายไปอีกหนึ่งครั้ง
" เรื่องของคนที่ตายไปแล้วน่ะช่างเถอะ แกเล่นลงไม้ลงมือกับข้าแบบนี้– " ว่าที่ทายาทเออร์เนสต์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาว " รู้ไหมว่าจะโดนตัดสินโทษอย่างไร "
รู้สิ
ก็ด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายท่านผู้สูงส่งนี่แหละที่ทำให้เขาโดนจับยัดคุกใต้ดินมาแล้วสองครั้ง
มันเป็นอย่างนี้เสมอมา
ที่จริงหากเขาไม่ตอบโต้ อย่างมากก็จะแค่โดนอัดซ้ำๆ จนมันรู้สึกเบื่อและรามือไปเอง ทว่าแบบนั้นมันคงจะจืดชืดเกินไปกระมัง เจ้าคนตรงหน้าถึงได้พยายามหาหนทางหลายร้อยหลายพันวิธีมายั่วโมโหให้เขาสติหลุดให้ได้
เพราะถ้าหากเขาตอบโต้--
มันก็จะสามารถลากเขาไปในวิหารแห่งการตัดสินที่มีแต่พรรคพวกของมันเต็มไปหมด แล้วมันก็จะกล่าวโทษเขาว่าเป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายมัน
ทั้งๆ ที่มันกล่าวความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียวแท้ๆ
ส่วนความจริงอีกครึ่ง..ความจริงที่ว่ามันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็ไม่ได้ถูกนำมาอ้างถึงแต่อย่างใด
ทว่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเล่นงานเขา
ท้ายที่สุดหินพิสูจน์สัจจะก็จะยืนยันว่ามันพูดความจริง นั่นก็เพราะว่ามันคือความจริง แม้จะเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวก็ตาม
ทั้งๆ ที่มันไม่ยอมให้เขาได้พูดถึงความบริสุทธิ์ของตัวเองกับหินแห่งสัจจะเลยแท้ๆ
อ่า….
รู้ตัวอีกที
เด็กชายก็ถูกจับโยนใส่คุกใต้ดินเป็นครั้งที่สามในข้อหาทำร้ายร่างกายบุตรชายคนโตของสายเลือดแห่งสุริยัน…ทายาทของเออร์เนสต์แห่งแกรนด์นัลด์
ในช่วงเสี้ยววินาทีที่ประตูคุกใต้ดินกำลังจะถูกปิดลง เลปทีร์เห็นว่าเฮเรียสกำลังแสยะแย้มยิ้มสะใจอยู่ข้างนอกประตูเหล็กสีทึบทึม
ทันทีที่ประตูปิดสนิท ทั่วทั้งห้องก็พลันมืดสนิท
ในที่แห่งนี้มีแค่เขากับผู้ตรวจการณ์ร่างสูงใหญ่ที่กำลังอ้าปากหาวหวอด
เด็กชายก้มหน้ามองโซ่เย็นเฉียบที่ล่ามข้อเท้าของตนเอาไว้
ตอนนั้นเองที่แส้ในมือของผู้ตรวจการณ์ก็ถูกฟาดลงมาเต็มแรง พร้อมกับเสียงแหบแห้งที่ดังก้องไปทั่วห้อง
" หนึ่ง "
***
เลปทีร์ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว รู้ตัวอีกทีเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดแสนเย็นเยียบ อีกทั้งแผ่นหลังและแขนขาก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเจ็บระบมไปหมด
อากาศเย็นทำให้บาดแผลทั่วร่างกายตึงเปรี๊ยะ เลปทีร์สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง
เดี๋ยวพอถึงตอนเช้าพวกมันก็คงจะมาปล่อยตัวเขาเอง
เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
คิดเช่นนั้นก่อนจะปิดเปลือกตา เตรียมจมดิ่งลงสู่ห้วงภวังค์แห่งการนิทรา ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงของสายลมกระซิบอยู่ข้างหู แต่เด็กชายก็ไม่ได้นำพาแต่อย่างใด
..
…
" เจ้ามนุษย์!! "
จู่ๆ เสียงนั้นก็ดังชัดเจนเต็มสองหูจนเลปทีร์ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เด็กชายหันหน้ามองซ้ายขวาอย่างตระหนก
" มองตรงมาข้างหน้า "
เสียงเมื่อครู่ออกคำสั่งอย่างดุดันเฉียบขาดจนเลปทีร์เผลอทำตามโดยไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อตวัดสายตาขึ้นมองตามที่ถูกสั่ง สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็มีเพียงผนังห้องที่ถูกความมืดกลืนกิน นอกนั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย
ความเงียบงันดำเนินไปอีกหลายนาที จนเลปทีร์อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
" เจ้า…" เลปทีร์เว้นช่วงสูดหายใจ ก่อนจะถามคำถามออกมารวดเดียว "ใครน่ะ เสียงเมื่อสักครู่นี้?! "
เงียบ
เงียบกริบ เงียบเสียจนเลปทีร์นึกว่าตนหลอนไปเอง
หรือบางทีเขาอาจจะกำลังค่อยๆ เสียสติตามแม่ไปก็เป็นได้
เด็กชายนึกอย่างติดตลกปนขมขื่น ก่อนจะค่อยๆ หลุบตาลง–ทำท่าจะเอนตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง
" ได้แล้ว " เสียงนั่นดังขึ้นมาอีกครั้ง " ทีนี้ก็พูดตามข้า "
เลปทีร์สะดุ้งโหยงยันตัวลุกขึ้นมาทันที เด็กชายจ้องเขม็งไปที่กำแพงสีทึบทึมอีกครั้งอย่างระแวดระวัง
พูดตามเหรอ..?
จากนั้นแล้วเสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้นมา หนนี้ฟังดูแตกต่างออกไป คำและประโยคที่ได้ยินก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ไม่คุ้นเคยราวกับภาษาต่างชาติ เมื่อพูดจนจบประโยคหนึ่ง เสียงนั้นก็เงียบลงไป
ราวกับกำลังรอคอยให้เขาทวนภาษาเมื่อสักครู่
เลปทีร์เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะก้มหน้าลงและยอมพูดตามแต่โดยดี ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกให้ทำอย่างว่าง่าย เด็กชายคิดว่าคงเป็นเพราะความเจ็บระบมทั่วร่างที่ทำให้การประมวลผลไม่เฉียบคมชัดเจนเหมือนอย่างเคยกระมั้ง
หรือไม่ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง
หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองอย่าง
กระนั้นเด็กชายก็ยอมพูดทวนตามอีกฝ่าย ยอมพูดเค้นเสียงออกมาอย่างทุลักทุเลจนจบประโยคในที่สุด
จากนั้นแล้ว
กำแพงหินตรงหน้าเลปทีร์ก็แปรสภาพเป็นโปร่งใส
แล้วภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รูปงามเกินกว่าจะจินตนาการได้ก็ปรากฎขึ้นมา แม้ว่าพอมองดูอีกทีอีกฝ่ายดูเหมือนจะถูกล่ามโซ่เหมือนเขาอยู่ก็ตาม
คนตรงหน้ารูปงามเสียยิ่งกว่าไอ้เฮเรียสเฮงซวยที่เขาว่ากันว่าหล่อเหลาราวกับเทพแห่งดวงอาทิตย์มาจุติ
รูปงามราวกับว่าเจ้าตัวเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์เสียเอง
อีกฝ่ายมีเส้นผมสีทองยาวเรืองรองส่องสว่างดั่งผ้าไหมที่ทอด้วยช่างทอที่ฝีมือดีที่สุดในสามอาณาจักร ผิวสีขาวสว่างดูผ่องใส หุ่นเล่าก็สมส่วนได้รูปราวกับรูปสลักที่ถูกสร้างโดยเทพแห่งงานช่างฝีมือ ดวงตาเล่าก็ราวอัญมณีเม็ดงาม ตาข้างขวามีสีฟ้าสดใสราวกับผืนทะเลที่ต้องแสงแดดยามฤดูร้อน ตาข้างซ้ายก็แดงจัดดั่งเปลวเพลิงในเตาหลอม ดั่งทับทิมบนหัวคทาของราชา รูปหน้าและคิ้วของคนตรงหน้าคมคายแข็งแกร่ง แต่กระนั้นดวงตาสองสีคู่นั้นและริมฝีปากกลับอ่อนหวาน
เป็นส่วนผสมที่แตกต่างก็จริง แต่เมื่อประกอบกันบนใบหน้าได้รูปนั้น ทุกอย่างก็ดูสมดุลอย่างลงตัว
เลปทีร์เห็นว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังใช้ตาสองสีของตนพินิจพิจารณามองเขากลับไม่ต่างกัน
***
มนุษย์ตรงหน้าเขาร่างเล็กจ้อยเหลือเกิน ผิวสีน้ำผึ้งมีรอยฟาดสีม่วงช้ำจ้ำทั่วเป็นลายพร้อย บาดแผลสีแดงและรอยเปรอะเปื้อนสีดำประดับประดาไปทั่วร่างกาย ดวงตาสีม่วงอมทองไร้แววเหม่อมองเขาไม่วางตา บวกกับเส้นผมสีขาวตัดสั้นกระเซอะกระเซิงนั่นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูเป็นมนุษย์อ่อนแอที่ดูเหมือนจะแตกสลายกลายเป็นผุยผงลงได้ทุกเมื่อ…
ทั้งๆ ที่รอบตัวมีพลังเวทมนตร์มหาศาลอัดแน่นอยู่ขนาดนั้นแท้ๆ
" เจ้าชื่ออะไร มนุษย์ "
เจ้ามนุษย์ที่กำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์สะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายกะพริบตาถี่ๆ ราวกับกำลังไล่ความงุนงง จากนั้นแล้วริมฝีปากซีดเซียวก็ค่อยๆ เปล่งเสียงพูดออกมา " เลปทีร์ "
" โนอาห์ "
เขาเอ่ยชื่อของตนออกไปทันควัน ก่อนจะรีบเข้าประเด็นทันที
" เลปทีร์ ข้ามีเรื่องจะขอร้อง "