ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่นปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
มนุษย์ทำหน้าตาราวกับว่าเขาเพิ่งจะออกคำสั่งให้อีกฝ่ายเอาดาบตัดศีรษะตัวเอง
" ช่วยเหรอ.. "
หน้าตาตื่นๆ ของเลปทีร์ทำให้โนอาห์นึกถึงกระต่ายขี้กลัวที่เคยเลี้ยงไว้ อีกคนเม้มริมฝีปากแน่น ก้มหน้ามองพื้นราวกับกำลังชั่งใจข้อตกลง ไม่นานก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองเขาด้วยดวงตาสีม่วงอมทองที่แฝงไปด้วยประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว
" ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร " เลปทีร์เหยียดขา ก่อนจะชี้ไปยังข้อเท้าที่ถูกล่ามโซ่เส้นหนา " ในเมื่อข้าเองก็–"
เห็นเช่นนั้นโนอาห์ก็ส่งยิ้มละไม
" พูดตามข้าสิ "
คำพูดที่ราวกับภาษาต่างชาติหลุดออกมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เลปทีร์ยอมพูดตามโดยไม่ลังเล
ทันทีที่กล่าวจบ โซ่ที่ล่ามเท้าทั้งสองข้างไว้ก็พลันแตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย และเด็กชายผมขาวก็ได้แต่เบิกตามองด้วยความประหลาดใจ
" นี่มัน.."
" ใช่ เวทมนตร์ " โนอาห์กล่าว เขาเขม้นมองเด็กชายร่างเล็กตรงหน้า " ถ้าหากเจ้ายอมช่วยข้า ข้าจะยอมสอนทุกอย่าง "
เด็กชายยังคงทำตาโต " ทุกอย่าง..? "
" ใช่ ทุกอย่าง " เขาชี้นิ้วไปยังโซ่ที่ล่ามข้อมือของตนไว้ " ขอแค่เจ้าปลดโซ่เส้นนี้ให้ข้า " โนอาห์รู้ได้ทันทีว่าประโยคต่อไปที่เลปทีร์จะพูดคืออะไร ดังนั้นจึงชิงแทรกพูดขึ้นมาเสียก่อน
" ข้าปลดให้ตัวเองให้ไม่ได้ " โนอาห์ยิ้มบางๆ " ข้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ "
เรื่องที่เอ่ยออกไปคงจะฟังดูประหลาดมากทีเดียว เพราะเลปทีร์ยังคงอ้าปากค้างอยู่นานแม้ว่าเขาจะพูดจบไปแล้ว
เนิ่นนานกว่าอีกฝ่ายจะเปิดปากพูดอีกครั้งหนึ่ง
" ทำไม? " เด็กชายมีสีหน้าสับสน " อย่างไร? ข้าไม่เข้าใจ "
“ก็เพราะว่าข้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้” เขาย้ำอีกครั้ง ยังคงประดับรอยยิ้มละไมไว้บนใบหน้า “ถึงจะจำคาถาได้ทุกบท แต่หากว่าไม่มีแม้แต่ออร่าเวทมนตร์…” กล่าวถึงตรงนี้โนอาห์ก็ยักไหล่ “อย่าว่าแต่ปลดโซ่เลย สำหรับข้าแล้วการเสกกระดาษให้ลอยกลางอากาศเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการล้มราชสีห์สักตัวเสียอีก”
ทีแรกโนอาห์คิดว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมเด็กชายมนุษย์อีกสักสามสี่นาที ทว่าอีกฝ่ายกลับทำให้โนอาห์ต้องประหลาดใจ
“ข้าจะช่วย “
เสียงนั้นเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
“ข้าอยากช่วยท่าน” เลปทีร์สบตากับเขา “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง”
โนอาห์กะพริบตาถี่ๆ ด้วยไม่นึกว่าจะมีใครที่อาสายอมช่วย อันที่จริงเขาทำใจไว้แล้วด้วยซ้ำว่าถ้าหากเจ้าคนตรงหน้าไม่อยากช่วยจริงๆ ก็จะไม่บังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด
เขาไม่อยากเป็นเหมือนท่านพ่อ
ซึ่งก็ด้วยไอ้สาเหตุที่เขาไม่อยากเป็นเหมือนท่านพ่อนี่ล่ะที่ทำให้ต้องมาลงเอยอยู่ในคุกต้องสาปเช่นนี้
“ทำไมเจ้าถึงยอมช่วยล่ะ”
สุดท้ายก็เอ่ยปากถามไปจนได้ ทว่าโนอาห์อยากรู้คำตอบจริงๆ
“ก็ท่านบอกว่าข้าเป็นคนเดียวที่ช่วยได้” เลปทีร์ตอบทันควันพร้อมกับเอียงคอทำหน้างุนงง “ถ้าข้าไม่ช่วย แล้วใครจะช่วยท่านเล่า”
ใบหน้าซื่อๆ ของอีกคนทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถูกชะตาไม่น้อย
" เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้าเอง " โนอาห์แย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี " เริ่มกันเลยไหม"
***
เลปทีร์ไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงตอบตกลงไปแบบนั้น เขาเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมถึงยอมรับขอของอีกฝ่ายง่ายๆ
ทั้งๆ ที่ปกติจะหลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกคนชนชั้นสูงแท้ๆ
แต่สุดท้ายก็ตกปากรับคำไปเสียแล้ว
อาจจะเป็นเพราะเรื่องเหลื่อเชื่อที่เกิดขึ้นกะทันหันกระมั้ง ทันทีที่พูดตามภาษาประหลาดนั่นจบ กำแพงสีเหล็กที่ดูทึบทึมราวกับเหล็กก็พลันโปร่งใสขึ้นมาราวกับกระจกแก้ว นี่เป็นเวทมนตร์ที่เลปทีร์เห็นครั้งแรกในชีวิต และเขาก็ตื่นตาตื่นใจกับมันพอสมควร
ในโลกแห่งนี้ ผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างธรรมชาติมีเพียงผู้ที่สืบทอดสายเลือดแห่งภูติกับผู้ที่สืบทอดสายเลือดจอมเวทเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้ที่ใช้เวทมนตร์ได้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนชนชั้นสูง
กระนั้นก็ยังมีข้อยกเว้น ว่ากันว่าหากคนธรรมดาได้รับการฝึกฝนอย่างเคร่งครัด คนธรรมดาคนนั้นก็อาจจะใช้เวทมนตร์ระดับกลางได้
แต่ไม่ใช่คนธรรมดาทุกคนที่ผ่านการฝึกฝนแล้วจะใช้เวทมนตร์ได้...เรียกว่าเป็นคำกล่าวที่ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แก่ผู้ไร้เวทก็คงไม่ผิดนัก
ทว่าสำหรับเลปทีร์แล้ว...เป็นข้อเสนอที่ควรค่าแก่การเสี่ยง แม้จะไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ แต่ในเมื่อคุณแม่ของเขาใช้พลังรักษาได้ เด็กชายจึงหวังอยู่ลึกๆ ว่าบางทีตนเองก็อาจจะมีพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณแม่ก็เป็นได้
ดังนั้น ข้อเสนอของโนอาห์จึงยั่วยวนเขาพอสมควร
…และอีกเหตุผลหนึ่ง
อาจจะเพราะคนตรงหน้าไม่ได้ดูเอาแต่ใจ เย่อหยิ่ง หรือโอ้อวดทระนงตัวเหมือนชนชั้นสูงทั่วๆ ไป
ไม่สิ เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนเทพเจ้ามากกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดา ทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร ทั้งรูปลักษณ์และกิริยาท่าทางที่ชวนมอง แม้จะถูกล่ามโซ่ตีตรวนเช่นนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ความงดงามของอีกฝ่ายลดลงไปเลย
เลปทีร์กลืนน้ำลายเอื้อก เด็กชายขยับข้อเท้าไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา
…ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าโซ่หนักอึ้งที่ตรึงข้อเท้าของเขาไว้จะหายไปแล้วจริงๆ …
…หายไปแล้วจริงๆ …
" ทีร์.."
…พลังเหนือธรรมชาติเช่นนี้ เขาเองก็จะสามาถใช้ได้บ้างหรือเปล่านะ…
" เลปทีร์ ''
…เวทมนตร์…ถ้าหากเมื่อตอนนั้นเขาใช้เวทมนตร์ได้ล่ะก็…
แม่ก็คง…
" คูนิโคลัส!!!"
นั่นล่ะ เลปทีร์ถึงได้รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกตนอยู่ เด็กชายสะดุ้งจนตัวโยน
" นี่ ถ้าเจ้าไม่เดินมาหาข้า.. " เสียงของโนอาห์ดึงเขาให้หลุดออกจากห้วงภวังค์แห่งความคิด " ข้าก็สอนเจ้าไม่ได้หรอกนะ คูนิโคลัส "
เลปทีร์พยักหน้าแม้จะยังงุนงง เขารีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับก้าวเท้าเดินตรงไป จากนั้นก็นิ่งค้างอยู่หน้ากำแพงโปร่งใส
" เจ้าเข้าใจคำว่ามาหาจริงๆ ใช่ไหม" โนอาห์ทำท่าเหมือนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา " มาอยู่ข้างๆ ข้านี่ "
เด็กชายผมขาวลังเล " ข้างๆ ท่านหรือ "
แล้วคูนิโคลัสนี่มันคืออะไร
ยังไม่ทันที่จะได้เปิดปากถามเพื่อคลายความสงสัย โนอาห์ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน อีกฝ่ายแย้มยิ้มพรายราวกับเทพเจ้าที่มองทุกสรรพสิ่งด้วยความเมตตา " มาอยู่ฝั่งเดียวกับข้า เลปทีร์ "
ฝั่งเดียวกัน
นั่นหมายความว่าข้าจะต้องฝ่ากำแพงกระจกนี่ไปหาเขา…
เลปทีร์กะพริบตาปริบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางทาบบนกำแพงสีใสอย่างช้าๆ
แต่ข้าจะผ่านไปได้อย่างไร
สีหน้าของเขาคงจะแสดงออกถึงความฉงนงุนงงอย่างชัดเจน เพราะอีกคนเหมือนจะส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมาเบาๆ
" พูดตามข้าสิ" โนอาห์โน้มตัวมาข้างหน้าจนเส้นโซ่ที่ล่ามแขนทั้งสองข้างของตนสั่นไหว " แค่สามคำนี้เท่านั้น "
โนอาห์เปล่งสามคำที่ว่านี้ออกมา และเลปทีร์ก็ท่องตาม ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็ปรากฎวงเวทขึ้นมาใต้ฝ่าเท้าของเขา วงเวทนั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์ส่องแสงเรืองรอง ทั้งยังมีขนาดใหญ่มหาศาลจนกินพื้นที่ภายในห้องขังทั้งหมด เป็นพลังเวทที่ดูอลังการงดงามเกินกว่าจะเป็นเพียงเวทเปิดทางธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เด็กชายผมขาวเผลอทำหน้าตาเหลอหลาออกมา เขานึกว่าตัวเองออกเสียงผิดจนสร้างเรื่อง..
ไม่ใช่ว่าพูดผิดจนร่ายเวททำลายล้างอะไรพวกนั้นออกมาหรอกใช่ไหม
เลปทีร์หันไปมองโนอาห์อย่างขอความช่วยเหลือ ซึ่งเด็กหนุ่มรูปงามก็เพียงส่งรอยยิ้มบางๆ ให้เป็นคำตอบ
ตอนนั้นเองที่กำแพงสีใสก็พังทลายลงราวกับถ้วยแก้วที่หล่นตกพื้นจนแตกกระจาย เลปทีร์ที่ไม่ทันตั้งตัวก็เอียงเซไปอีกฝั่งทันที เขาเบิกตากว้าง ดีที่มือทั้งสองข้างค้ำยันได้ทันก่อนที่จะล้มลงไปทั้งตัว
" เลปทีร์" น้ำเสียงไพเราะที่สูงต่ำไล่ระดับราวกับเสียงดนตรีถูกเปล่งออกมา “บอกข้ามาสิว่าเจ้าเห็นอะไรบ้างในห้องนี้”
เลปทีร์เงยหน้ามองตามเสียงนั้นอย่างตกในภวังค์ เด็กชายเห็นโนอาห์กำลังจ้องมองตนด้วยดวงตาสองสีที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ เขาเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าบริเวณโดยรอบมีลูกไฟหลากสีล่องลอยปะปนเต็มไปหมด
"ข้าเห็นลูกไฟ " เขาบอกทั้งๆ ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก "หลายสีทีเดียว มีทั้งสีฟ้า สีเขียว สีแดง แล้วก็สีขาว"
คำตอบของเขาทำให้โนอาห์เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย..เล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ มันเป็นอากัปกิริยาที่แสดงออกมาในชั่วพริบตาชนิดที่ว่าหากเขาไม่ได้กำลังตั้งใจพินิจพิจารณามองอีกฝ่ายอยู่ ก็คงไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน
" เช่นนั้น ข้าจะอธิบายให้ฟังเองว่าลูกไฟแต่ละสีนั่นคืออะไร "
จากนั้นแล้ว เด็กหนุ่มรูปงามตรงหน้าก็ค่อยๆ เปิดปากพูดอธิบายทฤษฎีต่างๆ ให้เขาฟัง
โนอาห์บอกว่าลูกไฟหลากสีทั้งหลายที่เขาเห็นคือสิ่งที่เรียกว่าออร่าเวทมนตร์ และออร่าเวทมนตร์ที่ว่านี้เองคือปัจจัยที่ทำให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้
ใครที่สามารถควบคุมออร่าสีฟ้าได้ ก็จะใช้เวทมนตร์ธาตุน้ำได้ หากควบคุมสีแดงได้ ก็จะใช้เวทมนตร์ธาตุไฟได้
" สีทองคือธาตุดิน ส่วนสีเขียวคือธาตุลม "
เลปทีร์มองออร่าสีสะอาดพิศุทธิ์ตรงหน้า " แล้วสีขาว– "
" การเยียวยา "
จากนั้นโนอาห์ก็บอกให้เขายื่นมือออกไปข้างหน้า บอกให้หลับตาตั้งสมาธิ พร้อมกันนั้นก็ให้เขาท่องคาถาบางอย่างตามอีกฝ่ายช้าๆ
คราวนี้เป็นคาถาที่ออกเสียงยากและยืดยาวกว่าครั้งก่อนๆ ซึ่งเด็กชายผมขาวพยายามออกเสียงตามอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่คาถาอันแสนยืดยาวนั้นจบลง โนอาห์ก็บอกให้เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น และภาพที่ปรากฎตรงหน้าก็คือออร่าเวทมนตร์สีฟ้าที่ลอยล่องล้อมรอบตน มันเบียดเสียดอัดแน่นขวางกั้นระหว่างเขากับโนอาห์จนเลปทีร์แทบจะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกคน
“สีอะไร”
“ฟ้า” เขาตอบทันควัน “ออร่าสีฟ้ามาอยู่ใกล้ๆ ข้า”
“ดี ทีนี้ก็ท่องคาถาทำลายโซ่ที่ข้าเคยบอก” โนอาห์เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “จำได้ใช่ไหม”
เลปทีร์พยักหน้า คราวนี้เขานึกทวนในสมอง ก่อนจะท่องออกมาอย่างคล่องแคล่ว
สิ้นคำร่ายมนตร์ของเขา เจ้าออร่าสีฟ้านับพันก็ลอยไปเกาะโซ่เส้นยักษ์ที่ล่ามข้อมือของโนอาห์ไว้ เพียงพริบตาโซ่เหล่านั้นก็พลันกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นไอในทันที
“ขอบใจ คูนิโคลัส” ทันทีที่หลุดพ้นจากพันธนาการได้ อีกฝ่ายก็ขยับแขนขึ้นลงไปมา ครั้นเห็นว่าแขนของตนยังใช้งานได้ปกติดีก็ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “ถ้าหากไม่ได้เจ้าล่ะก็–ข้าคงจะติดอยู่ที่นี่ชั่วกัปชั่วกัลป์”
“มันหมายความว่าอะไรหรือ”
โนอาห์กะพริบตาคู่งามมอง ก่อนจะถามเล่นอย่างหยอกเย้า “ชั่วกัปชั่วกัลป์น่ะหรือ”
เลปทีร์สั่นศีรษะ “คูนิโคลัส” เขาเอ่ย “มันหมายความว่าอะไร”
“นั่นสินะ” โนอาห์โคลงศีรษะไปมาอย่างช้าๆ จนเส้นผมยาวสีทองพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวนั้น “มันหมายความว่าอะไรกันนะ”
จากนั้นอีกฝ่ายก็ทำท่านึกได้ ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง “เช่นนั้นทำสัญญากับข้าเป็นไง”
พอได้ยินคำว่าสัญญา เลปทีร์ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาเดินดินอย่างเขาจริงๆ
“ทำไมต้องทำสัญญา” เลปทีร์ขมวดคิ้วมุ่น “มันเกี่ยวอะไรกับคำว่าคูนิโคลัสอย่างนั้นหรือ” เด็กชายผมขาวจ้องมองคนที่มีรูปลักษณ์ราวกับเทพเจ้าตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา “อีกอย่างคือคนอย่างท่านมาทำสัญญากับคนอย่างข้าแล้วจะได้ประโยชน์อะไร “
โนอาห์หัวเราะ
" ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ " อีกฝ่ายพูดอย่างอารมณ์ดีก่อนจะยื่นมือออกไป " แต่ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าเองก็จะได้ประโยชน์มหาศาลจากการทำสัญญานี้เช่นกัน
“อย่างไร”
“เพราะว่าพลังของเจ้าจะช่วยข้าได้ ข้าต้องการคนช่วยทำภารกิจบางอย่าง” เมื่อพูดถึงตรงนี้สีหน้าของโนอาห์ก็จริงจังขึ้นมา “อย่างที่ข้าบอก…ข้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ได้ต้องการพวกสายเลือดนักเวทหรือพวกสายเลือดภูติให้มาช่วยข้า พวกนั้นหยิ่งทระนงเกินไป”
เลปทีร์นิ่งฟังอย่างใคร่ครวญ
“อีกอย่าง การทำสัญญาจะเป็นการประกันว่าเจ้าจะไม่ทรยศข้า และข้าจะไม่ทรยศเจ้า ข้าจะช่วยเหลือเจ้าด้วย จะสอนเจ้าใช้เวทมนตร์ด้วยก็ย่อมได้ “โนอาห์ยิ้ม “แลกกับการที่เจ้าต้องใช้เวทมนตร์ช่วยเหลือข้า ว่าอย่างไร”
เลปทีร์ลังเล เขาพอเคยได้ยินเรื่องของการทำสัญญามาบ้าง มันคือการผูกพันธะด้วยเลือดเพื่อเป็นการประกันความซื่อสัตย์ของกันและกัน
แต่ว่า–
“เทพทำสัญญากับมนุษย์ได้ด้วยหรือ” เขาตัดสินใจเสี่ยงถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านที่ถึงแม้จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ก็คงจะมีอำนาจอย่างอื่นที่สามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยตัวเอง แต่แล้วทำไม–”
เลปทีร์ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค เสียงหัวเราะของโนอาห์ก็ดังขัดขึ้นมาก่อน อีกฝ่ายยกมือปิดหน้าหัวเราะอยู่นาน
“ไม่ได้หรอก” โนอาห์พูดไปก็หัวเราะไป “ถูกแล้ว ทำสัญญากับมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะเทพคือตัวตนที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ เป็นตัวตนที่สูงส่งยิ่งกว่าข้ากับเจ้ามากนัก”
เลปทีร์ขมวดคิ้ว เขาอ้าปากตั้งท่าจะถามอีกครั้ง แต่โนอาห์ยกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขาเสียก่อน
“แต่ปีศาจอย่างข้าน่ะทำได้”
ครั้นแล้วโนอาห์ก็โน้มตัวเข้ามาใกล้เขา อีกฝ่ายถามซ้ำด้วยคำถามเดียวกับก่อนหน้านี้อีกครั้ง
" ว่าอย่างไร? ”