ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่นปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
ตามปกติแล้วจะเห็นออร่าเวทมนตร์แค่สีที่ตนสามารถใช้ได้เท่านั้น
พวกมนุษย์ที่มีสายเลือดภูติหรือสายเลือดนักเวท รวมถึงปีศาจจอมเวทจะใช้ได้อย่างมากที่สุดแค่สามธาตุเท่านั้น
แต่ในกรณีของเลปทีร์นั้น โนอาห์ไม่แน่ใจว่าควรจะจัดอีกฝ่ายไว้ในประเภทใด เนื่องจากแม้แต่น้องสาวของเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจจอมเวทที่แข็งแกร่งแห่งยุค…ก็ใช้ได้มากสุดแค่สามธาตุเท่านั้นเช่นกัน
ทว่าเลปทีร์กลับมองเห็นถึงสี่สี
โนอาห์ไล่สายตามองเด็กชายที่สูงเพียงหัวไหล่ของเขา แม้ว่าอีกคนจะตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมมอมแมม เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล รูปร่างเล็กบอบบางดูอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นว่าที่จอมเวท
แต่ว่าพลังนั่น..
พลังของออร่าเวทมนตร์ที่ทะลุประตูมิติออกมาจนเขาสัมผัสได้ ออร่าเวทมนตร์ที่หนาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
เพียงแค่นั้น โนอาห์ก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆ นี้มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์มหาศาล ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายท่องคาถาตามเขาเหมือนนกแก้วที่พูดตามเจ้าของเจื้อยแจ้ว แต่ไร้ซึ่งความเข้าใจคาถาที่ตนเองได้พูดออกไป ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้น แต่เวทมนตร์ก็กลับใช้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์
สำหรับผู้ใช้เวทแล้ว การร่ายคาถาโดยที่ไม่เข้าใจในตัวคาถา โอกาสที่เวทมนตร์จะทำงานได้มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
ทั้งๆ ที่มนุษย์ตรงหน้าไม่รู้แม้แต่วิธีกักเก็บออร่าเวทมนตร์ซึ่งเป็นพื้นฐานของการร่ายคาถาแท้ๆ
ปกติแล้วผู้ใช้เวทจะต้องกักเก็บออร่าเวทมนตร์ของตัวเอง เพื่อไม่ให้นักเวทคนอื่นล่วงรู้ว่าตนนั้นใช้พลังธาตุะไรได้ ทว่าเลปทีร์กลับปล่อยให้ออร่าเวทมนตร์ปกอัดแน่นผิดวิสัยนักเวท..เสมือนเป็นการป่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าตนนั้นมีจุดอ่อนอะไรบ้าง
การที่มีออร่าขนาดมหาศาลแต่ไม่รู้กระทั่งหลักการเป็นนักเวทขั้นพื้นฐานก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยได้รับการฝึกอย่างถูกต้อง ไม่เคยรู้ซึ้งและตระหนักถึงพลังของตนเลย
เพชรเม็ดงามเช่นนี้...น่าเสียดาย
ทำไมถึงได้มาอยู่ที่คุกใต้ดินเหมือนกันกับเขานะ...ดูจากที่ถูกล่ามโซ่แล้ว อีกฝั่งนั้นก็น่าจะเป็นคุกใต้ดินเหมือนกับทางนี้เป็นแน่
เขาไม่รู้หรอกว่าฝั่งนั้นคือคุกที่มีไว้สำหรับคนแบบไหน แต่ที่นี่คือคุกใต้ดินที่มีไว้เพื่อกักขังปีศาจที่ทำผิดกฎ...และเป็นคุกที่ดันมีประตูมิติตั้งอยู่ด้วย
โนอาห์หรี่ตามองประตูมิติที่ฉีกขาด...เมื่อเขาลองให้เลปทีร์ลองร่ายเวทปลดผนึกดู ประตูนั่นก็เปิดออกโดยง่าย...นั่นหมายความว่าประตูมิติตรงนี้ถูกใครบางคนแง้มเปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางไปมาระหว่างสองโลก
…ฝีมือใครกัน…
เป็นไปได้ว่าท่านพ่อไม่รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกคำสั่งให้พาตัวเขามาขังไว้ที่นี่อย่างแน่นอน
ช่างบังเอิญเสียจริงที่อีกฝั่งก็ดันมีนักเวทที่มีพลังมหาศาลมากพอที่จะเปิดประตูมิติมาหาเขาที่อีกฝั่งได้…นักเวทมือใหม่ที่ร่ายเวทมนต์ปลดล็อคผนึกประตูระหว่างมิติได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังไม่แสดงแม้แต่อาการหอบออกมาให้เห็น
ทั้งๆ ที่คาถาบทนี้กินออร่าเวทมนตร์มหาศาลแท้ๆ
หรืออีกฝ่ายจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขสายโบราณของตระกูลนั้นกัน
โนอาห์เม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้
พวกที่สืบทอดเชื้อสายศักดิ์สิทธิ์จากภูติ…เล่นงานพวกเราชาวปีศาจเมื่อหลายร้อยปีก่อนจนต้องถอยร่นมาหลบซ่อนอยู่อีกมิติหนึ่ง
ปีศาจตาสองสีหรี่ตามองอีกฝ่ายที่ยังคงกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด
เส้นผมสีขาวก็จริง แต่ดวงตาไม่ใช่สีแดง…
…
มนุษย์ที่ท่านแม่พร่ำบอกว่าผูกมิตรด้วยได้
มนุษย์ที่ท่านพ่อพร่ำบอกว่าคืออาหารโอชารส
เขาอยากจะรู้ด้วยตัวเองว่ามนุษย์นั้น…สำหรับเขาแล้วเป็นอะไรกันแน่
รู้ตัวอีกทีตนก็ยื่นข้อเสนอการผูกสัญญาพันธะโลหิตให้อีกฝ่ายไปเสียแล้ว…อยากได้พลังของคนตรงหน้าด้วยก็จริง
แต่ก็อยากรู้ด้วยว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นไร
หากเข้าใจมนุษย์ ก็คงจะเข้าใจว่าทำไมมุมมองของท่านพ่อและท่านแม่ที่มีต่อมนุษย์ถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้
โนอาห์ยืนมองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ อีกคนที่กำลังทำหน้าคิดหนักมากเสียจนคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม คิดหนักกับข้อเสนอของเขามากจนจมอยู่ในห้วงภวังค์
หรือบางทีถ้าหากเขาไม่ใช่ปีศาจ…อีกฝ่ายอาจจะตัดสินใจได้เร็วกว่านี้ก็เป็นได้
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กระนั้นโนอาห์ก็ไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบแต่อย่างใด เขาเพียงแค่กอดอกยืนมองเจ้ามนุษย์อย่างเงียบๆ เท่านั้น
…
ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ล่วงเลยไป ตอนนั้นเองที่เลปทีร์ก็ค่อยๆ พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
" ถ้าข้าตอบตกลง " เด็กชายกะพริบตา " ข้าต้องสละอวัยวะบางส่วนของร่างกายให้ท่านเป็นของตอบแทนหรือเปล่า "
คำถามดังกล่าวทำให้โนอาห์กะพริบตาถี่ๆ มองด้วยความฉงนไม่ต่างกัน " แล้วทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นด้วย? "
“เพราะข้าเคยได้ยินท่านนักบวชในวิหารคุยกัน” เด็กชายผมขาวพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ว่าถ้าหากทำสัญญากับปีศาจ จะต้องสละอวัยวะบางส่วนของร่างกายเพื่อแลกกับการทำสัญญาเอาพลังมา”
ได้ยินเช่นนั้นโนอาห์ก็พลันหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงใสกังวาล ปีศาจหนุ่มแทบจะลืมไปเสียแล้วว่ามีเงื่อนไขบ้าๆ เช่นนี้อยู่จริง
เอาเถอะ ก็พวกปีศาจมองมนุษย์เป็นแค่ขนมหวานเลิศรสอยู่แล้ว เสนอเงื่อนไขเช่นนั้นขึ้นมาเพื่อสนองความหิวกระหายของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย
ที่จริงเผ่าพันธุ์ปีศาจอพยพไปอยู่อีกมิติแล้ว มนุษย์ไม่ควรทำสัญญากับปีศาจได้อีกต่อไป ดังนั้นเงื่อนไขที่ว่าควรจะต้องเสียสละอวัยวะให้ปีศาจเป็นการแลกเปลี่ยนในการผูกสัญญาก็ควรจะสูญหายไปให้หมดเช่นกัน แต่กระนั้นก็ยังมีพวกปีศาจบางเผ่าที่สามารถทะลุมิติมาที่นี่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งประตู พวกนั้นอาจจะลอบทำสัญญาอย่างลับๆ กับมนุษย์และตั้งเงื่อนไขเช่นนี้จนกลายเป็นธรรมเนียมสืบทอดต่อกันมาก็เป็นได้
แต่ไม่ใช่กับเขา
ไม่ใช่กับเขา เขาไม่กินมนุษย์
ไม่สิ ไม่ใช่ไม่กิน
แต่…
“หากท่านจะเอาร่างกายของข้าไปจริงๆ ข้าขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม–”
เสียงของมนุษย์ตรงหน้ากระชากเขาให้ออกจากห้วงภวังค์แห่งความคิด
“ข้าไม่–”
“ข้าขอให้ยกเว้นไว้แค่ดวงตาเท่านั้น” เลปทีร์ส่งยิ้มเจิดจ้ามาให้เขา “นอกเหนือจากนั้นแล้วข้ายกให้ท่านได้หมดเลย”
และโนอาห์ก็ได้แต่มองด้วยความฉงนสนเท่ห์ เขาถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ที่ปิดไม่มิด “ทำไม”
“ข้าอยากเห็นบ้านเกิดของคุณแม่สักครั้งในชีวิต” เด็กชายบอกด้วยดวงตาสดใสเป็นประกาย “แม่ข้าเคยบอกว่าบ้านเกิดของแม่งดงามมากๆ ถ้าท่านเอาดวงตาของข้าไป ข้าก็จะไม่มีวันเห็นสถานที่นั้นตลอดกาล”
โนอาห์มองเด็กชายตรงหน้า ดวงตาสีม่วงอมสีทองของอีกฝ่ายจู่ๆ ก็ดูแวววาวขึ้นมาราวกับสีของดอกไฮยาซินธ์ยามต้องแสงอาทิตย์ยามเช้า ราวกับอเมทิสต์เม็ดงามบนสร้อยพระศอของราชินี มันดูเปล่งประกายอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ดูหม่นแสงไร้ซึ่งเสน่ห์แท้ๆ
เชาได้แต่จ้องมองอัญมณีคู่นั้นราวกับถูกสะกด…
“ท่านตกลงไหม”
โนอาห์ชะงักเมื่อจู่ๆ มนุษย์ตรงหน้าก็เดินเข้ามาใกล้ ใกล้มากเสียจนปีศาจหนุ่มนึกประหลาดใจ รังสีข่มขวัญของเขาไม่ส่งผลต่อเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยตรงหน้าเลยหรือ
“แล้วถ้าข้าขอขาทั้งสองข้างล่ะ” เขาหรี่ตามอง “คูนิโคลัส เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ได้สิ”
ตอบอย่างมั่นใจไม่ลังเล
“ดีแล้วหรือ” เขาถามกระเซ้า “เจ้าจะวิ่งไม่ได้ เดินทางไปบ้านเกิดของแม่เจ้าก็ไม่ได้ด้วย”
“ข้าจะลองหาทางดู อย่างน้อยๆ ก็น่าจะใช้อย่างอื่นทุ่นแรงได้ “เลปทีร์กดมือข้างขวาลงบนฝ่ามือข้างซ้าย” อย่างน้อยการเคลื่อนไหวก็หาสิ่งทดแทนได้ แต่ไม่ใช่กับการมองเห็น ดังนั้น ถ้าเป็นขาท่านก็เอาไปได้เลย"
คำอนุญาตอันไร้ซึ่งความลังเลทำให้โนอาห์ยิ่งขมวดคิ้วมุ่น พวกมนุษย์หวงแหนร่างกายและชีวิตของตนมากไม่ใช่หรอกหรือ…
หรืออาจจะไม่…
บางทีส่วนนี้อาจจะตรงกับคำพูดที่ท่านพ่อของเขาเคยกล่าวไว้
พวกมนุษย์มันโลภมาก มันรักพลังอำนาจยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก
โนอาห์ตัดสินใจได้ในที่สุด
“ยื่นมือมาสิ”
เลปทีร์เบิกตาโพลง อีกฝ่ายทำหน้าตกใจ “ไม่ใช่ว่าท่านควรจะเอาขาของข้าไปก่อนหรอกหรือ”
โนอาห์ถอนหายใจ เจ้าคนตรงหน้าซื่อบื้อตัวเล็กจ้อยอ่อนเยาว์เช่นนี้ หากไปเจอกับสหายคนสนิทหรือน้องสาวของเขาล่ะก็…ไม่มีทางรอดไปจากเงื้อมมือของสองคนนั้นอย่างแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะถูกหลอกให้โดนสูบเลือดสูบเนื้อจนกลายเป็นถุงเลือดพกพาส่วนตัวไปเลยก็ได้
“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากได้ขาของเจ้าหรอก” เขาว่าพลางยืนรอให้อีกฝ่ายยื่นมือมาทางเขา
" แขนล่ะ "
"ไม่เอา"
" นิ้วมือ?"
ยังไม่ยอมแพ้
" ตอนนี้ยังไม่อยากได้อะไร " โนอาห์ส่ายศีรษะ " นึกได้แล้วจะบอกอีกครั้งก็แล้วกัน "
“แต่ว่า” เลปทีร์ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก เด็กชายผมขาวก้มลงมองมือของตัวเองสลับกับใบหน้าของโนอาห์ ดูราวกับไม่แน่ใจในคำพูดของเขา เห็นเช่นนั้นโนอาห์ก็จัดการดึงแขนของอีกฝ่ายให้มาทางตนเสียเอง
“แบมือ” เขาสั่ง อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย “พูดตามข้า”
และอีกฝ่ายก็พูดตามอย่างว่าง่ายเช่นกัน ว่านอนสอนง่ายเสียจนโนอาห์คิ้วกระตุก ทว่าปีศาจตาสองสีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา บอกไม่ได้หรอกว่าเขาเองก็รู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายยอมทำตามอย่างว่าง่ายแบบนั้น
นี่อาจจะเป็นธรรมชาติของปีศาจกระมัง บางครั้งบางครานิสัยดิบเถื่อนชั่วร้ายบางอย่างออกอาการออกมา...ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าไม่อยากเป็นอย่างท่านพ่อแท้ๆ
ทันทีที่ท่องคาถาจบ โนอาห์ก็ปล่อยแขนเด็กชายให้เป็นอิสระในที่สุด “เอานี่ไป” ก่อนจะเสกเอามีดสั้นออกมาจากกลางอากาศ
เลปทีร์อ้าปากค้าง ชี้นิ้วมาทางเขาพร้อมกับส่งสายตาที่แสดงความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อออกมา
“ไหนท่านบอกว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้!!!”
“ก็ใช้ไม่ได้” โนอาห์กระหยิ่มยิ้ม “นี่คือช่องเก็บของส่วนตัวต่างหาก ไม่ว่าใครก็ใช้ได้ทั้งนั้นแม้ว่าจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ตาม”
“หมายความว่าปีศาจทุกตนทำแบบนั้นได้หรือ” เลปทีร์ทำหน้าทึ่ง “เอาของออกมากลางอากาศแบบนั้นได้ถึงแม้ว่าจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้”
“เปล่า” โนอาห์ตอบหน้าตาย “มีแค่ราชวงศ์ที่ทำได้ เช่นเจ้าชายอย่างข้าน่ะ”
คราวนี้เลปทีร์ทำหน้าช็อคใส่เขา เป็นหน้าตาที่ดูตลกดี
มนุษย์มันจะแกล้งง่ายเกินไปแล้ว
ปีศาจตาสองสีพยายามกลั้นหัวเราะ เขาเสกเอามีดสั้นอีกเล่มออกมากลางอากาศ ก่อนจะใช้มันเฉือนแขนตัวเองอย่างรวดเร็ว เลือดสีเงินยวงไหลลงมาตามท่อนแขน และเขาก็ปล่อยให้มันค่อยๆ หยดลงบนพื้น
“เจ้าก็ทำแบบข้าซะสิ” โนอาห์หันไปบอกเด็กชายผมขาวที่ยังคงยืนอึ้งมองเขา “กรีดซะ”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เลปทีร์ก็จัดการใช้มีดกรีดแขนซ้ายตัวเองอย่างไม่ลังเล ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์สีดำมืดหม่นบางอย่างแบบที่โนอาห์เองก็อ่านไม่ออก
หรือบางทีเขาอาจจะคิดไปเอง
เลือดสีแดงสดของเลปทีร์หยดลงมาผสมกับเลือดสีเงินของเขา สักพักวงเวทสีขาวก็พลันสว่างวาบขึ้นมา จากนั้นแล้วอักขระโบราณสีขาวบริสุทธิ์ก็เลื้อยขึ้นมาจากวงเวทนั้น มันเลื้อยมาคลุมแขนข้างที่ถูกกรีดของพวกเขาทั้งคู่ แผ่กระจายคลุมหมดทั่วท่อนแขน ผ่านไปไม่นานอักขระเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนลางจางหายไป เหลือทิ้งไว้แค่ตัวอักษรประหลาดสามตัวที่สลักลึกลงบนแขน
“เรียบร้อยแล้ว” เขาดึงมืดออกมาจากมือของเจ้ามนุษย์ผมขาว ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่าเจ้ามนุษย์ตาหม่นตรงหน้าไม่ควรที่จะมีอาวุธหรือของมีคมใดๆ ไว้ในครอบครองทั้งสิ้น
“ข้าไม่เห็นรู้สึกถึงอะไรเลย” เลปทีร์ยกมือทั้งซ้ายและขวาขึ้นมากำแบสลับกันแบบนั้น “แค่นี้จริงๆ หรือ”
โนอาห์โยนมีดสั้นที่ยึดมาจากเลปทีร์พร้อมกับมีดสั้นของตนขึ้นไปข้างบน มีดทั้งสองเล่มหมุนคว้างก่อนจะหายวับไปกลางอากาศราวกับใช้มนตร์
จากนั้นปีศาจหนุ่มก็หันมาสบตากับเลปทีร์ “ใช่ คราวนี้ก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
เลปทีร์พยักหน้าพลางหมุนตัวเดินตรงไปทางกำแพงสีใส ทำท่าจะเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็เดินติดกำแพงที่มองไม่เห็นเสียอย่างนั้น “เอ่อ…ข้าต้อง”
โนอาห์ได้แต่หรี่ตามองด้วยความสงสัย ปกติหลังจากที่ร่ายมนตร์ปลดผนึกไปแล้ว ประตูมิติมันก็ควรจะเปิดค้างไว้สักห้านาทีสิ
ช่างเถอะ ปิดเองได้ก็เปิดได้
" ต้องร่ายคาถาเปิดมันก่อน" เขาเดินไปข้างหน้า ก่อนจะเอามือวางแนบกับกำแพงที่มองไม่เห็น " พูดตาม--"
" คาถาที่มีสามคำนั่นใช่ไหม" เด็กชายผมขาวทำตาโต " ข้าจำได้ " อีกฝ่ายว่าก่อนจะหลับตาก็ร่ายคาถาอย่างถูกต้องรวดเร็ว
ประตูมิติค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง
โนอาห์ที่กำลังกอดอกมองชะงักกึก จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มก้อนออร่าเวทมนตร์สีดำที่กำลังมุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง เป็นกลุ่มก้อนออร่าเวทมนตร์ที่คุ้นเคยดี
องครักษ์ของเขากำลังมาทางนี้
ไอ้เจ้าพวกอัจฉริยะด้านเวทมตร์ โนอาห์ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่องครักษ์ของเขาตั้งใจที่จะไม่ปกปิดออร่าเวทมนตร์ของตนเอง จงใจอยากให้เขารู้ตัวกระมัง หรือไม่ก็มีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง
หรือไม่ก็--รู้สึกถึงตัวตนของเลปทีร์แล้ว
แน่ล่ะ ก็ที่นี่เป็นโลกปีศาจ มีมนุษย์สักคนหลงมาก็เสมือนเป็นเจ้ากระต่ายที่หลุดมาอยู่ท่ามกลางฝูงสิงโต แล้วยิ่งเจ้าคนข้างตัวมีออร่าเวทมนตร์หนาแน่นมากมายขนาดนั้นอีก ไม่แปลกที่องครักษ์ของเขาจะจับสัมผัสออร่าได้
แต่ถ้าถึงขนาดที่ดึงดูดองครักษ์จอมกินยากของเขาให้สนใจได้ นั่นหมายความว่าเลือดของเจ้ามนุษย์ตรงหน้าจะต้องหอมอร่อยพอสมควร
โนอาห์เหลือบมองเจ้ามนุษย์ข้างตัวที่หันมามองเขา อีกฝ่ายทำท่ากวักมือเป็นสัญญาณให้ข้ามประตูมิติสีใสไปพร้อมกัน ท่าทางที่เต็มไปด้วยแต่ความเชื่อมั่นไร้ซึ่งความเคลือบแคลงใจของเด็กชายทำให้โนอาห์นึกดีใจอยู่ลึกๆ
บางทีเขาอาจจะเป็นเพื่อนกับมนุษย์ได้ก็เป็นได้
ดังนั้นเขาจะไม่มีวันมองคนข้างตัวเป็นแค่อาหารอันโอชะอย่างที่ท่านพ่อเคยบอกหรอก
ปีศาจตาสองสีรู้สึกดีที่เขารับกลิ่นและรสชาติของเลือดมนุษย์ไม่ได้ก็ตอนนี้เอง