ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น - 4 ความสบายใจ โดย Chamaniao @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี

รายละเอียด

ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

ผู้แต่ง

Chamaniao

เรื่องย่อ

สารบัญ

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-1 พบเจอ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-2 คำสัญญา,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-3 ผูกโลหิต,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-4 ความสบายใจ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-5 นามแห่งวิญญาณ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-6 ไล่ตาม,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-7 ดำมืด,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-8 ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-9 หนทางของเวทมนตร์ 1,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-10 หนทางของเวทมนตร์ 2,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-11 หนทางแห่งเวทมนตร์ 3

เนื้อหา

4 ความสบายใจ


ทันทีที่ข้ามมาอีกฝั่ง ความเหนื่อยล้าก็พลันเข้าครอบงำร่างกายอย่างรวดเร็ว ทั้งแขนและขาก็หนักอึ้งไปหมดราวกับถูกหินถ่วง ความอ่อนเพลียที่กัดกินไปทุกส่วนทำให้พื้นหินเย็นเฉียบใต้เท้าดูน่านอนขึ้นมาทันที


อีกคนที่เพิ่งเดินตามหลังมาจู่ๆ ก็กระชากคอเสื้อเขาโดยแรงจนเลปทีร์เกือบหงายหลังผลึ่ง ดีที่แขนนั้นยังอุตส่าห์เอื้อมมาพยุงไว้อย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้เขาเสียการทรงตัว


การกระทำเมื่อครู่ของโนอาห์ทำให้เลปทีร์ตื่นเต็มตาเลยทีเดียว


“ท่านทำอะไร”


“ช่วยเจ้าไง” คนผมยาวตอบทันควัน “หรือเจ้าอยากจะล้มหัวฟาดพื้นมากกว่า”


เลปทีร์เพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้เองว่าที่จริงตนนั้นเซไปข้างหน้าจนแทบจะล้มหน้าคว่ำอยู่แล้ว


“ผู้ใช้เวทปกติแค่เปิดประตูมิติอย่างเดียวก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว” โนอาห์ค่อยๆ ประคองให้เขาค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ และเลปทีร์ที่รู้สึกเหมือนตาจะปิดอยู่รอมร่อก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย “แต่เจ้าต้องมารับงานปิดประตูอีก ไม่หมดสติทันทีที่ท่องคาถาจบก็ดีแค่–”


สติของเด็กชายดับสิ้นลงตรงนั้นเอง




***


“ไอ้ปีศาจเวรนี่”


แรงเตะอันรุนแรงที่สีข้างทำให้เลปทีร์ตื่นเต็มตา เขาผุดลุกนั่งพรวดพราดด้วยความตกใจ ไม่ทันไรขาของใครบางคนก็เล่นงานซ้ำที่จุดเดิมจนเด็กชายรู้สึกจุกจนตัวงอ


“นี่แกใช้เวทมนตร์บ้าบออะไรถึงหลุดออกมาจากโซ่ได้ล่ะ”


เด็กชายผมขาวเงยหน้ามองตามเสียงพูดแข็งกร้าวระคายหู คนตรงหน้าคือชายร่างอ้วนหนาตุตะที่มีใบหน้ากลมย้อย อีกฝ่ายสวมแว่นตาข้างเดียว ดวงตาสีดำเล็กหยีที่จ้องมองเขาผ่านเลนส์สีใสนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ที่ปิดไม่มิด


“ขนาดทำโซ่ศักดิ์สิทธิ์ขาดได้ ยังไงก็ต้องฆ่าทิ้งสินะ” มันพึมพำ


ฆ่าหรือ


ไม่ใช่จะปล่อยตัวหรอกหรือ


นี่มันเรื่องอะไรกัน!


คำว่าฆ่าทำให้เลปทีร์สั่นสะท้านขึ้นมา ปกติถึงพวกมันจะรุมยำทำร้ายเขาแค่ไหน ก็ไม่เคยเลยที่พวกมันจะยกเรื่องฆ่าแกงขึ้นมาแบบนี้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ฝืนอดทนมาโดยตลอดด้วยความคิดตื้นเขินที่ว่าถ้าไม่ได้ไปกระตุ้นต่อมอะไรของพวกมันเข้า อย่างน้อยคงอยู่รอดปลอดภัยจนกว่าจะสามารถยืนด้วยลำแข้งของตนเองและหาวิธีหลบหนีออกไปจากสถานที่เฮงซวยนี้ได้


แวบหนึ่งที่เลปทีร์คิดว่าหรือเขาควรจะชิงลงมือฆ่าอีกฝ่ายก่อนที่มันจะฆ่าเขา


ไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่าเสียเอง


เลปทีร์นึกถึงเวทมนตร์ขึ้นมา…เวทมนตร์บทนั้นที่ทำให้โซ่ที่ล่ามเขาไว้กลายเป็นน้ำแข็งและแตกสลายกลายเป็นไอ


ถ้าหากเอามาใช้กับมนุษย์ล่ะก็–


แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ลงมือทำอะไร แขนเพรียวของโนอาห์ที่โผล่มาจากมุมมืดก็ยกขึ้นสูง ก่อนจะฟาดลงไปยังสันคอของคนที่คิดร้ายเขาในครั้งเดียวจนมันสลบเหมือด จากนั้นแล้วปีศาจตาสองสีก็ค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืดพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม


เด็กชายลืมไปเสียสนิทเลยว่าที่จริงโนอาห์เองก็อยู่ในคุกนี้ด้วยกันกับเขา


“ปีศาจเหรอ” โนอาห์ขยับข้อนิ้วไปมา “น่าสนใจนี่” ครั้นแล้วคนรูปงามก็หันมามองเขา “คนอย่างเจ้าไม่ควรฆ่าใครหรอก”


เลปทีร์กะพริบตาปริบ ยังคงอึ้งอยู่ อีกคนอ่านใจเขาได้หรืออย่างไร


แต่เลปทีร์ไม่ได้พูดออกไป


“เจ้าไม่ใช่ปีศาจ รู้ใช่ไหม” โนอาห์สบตากับเขา “ข้าต่างหากที่เป็นปีศาจ” ครั้นแล้วอีกฝ่ายก็ส่งมือมาให้เขา “ปีศาจของจริง”


“แต่ท่านดูไม่เหมือนปีศาจสักนิด” เลปทีร์แย้งเสียงแข็ง “ท่านดูเหมือน–”


“เทพหรือ” โนอาห์หัวเราะ “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเหมือนราวกับว่าข้าเป็นเทพเจ้า


เด็กชายผมขาวพยักหน้า “ท่านดูเหมือนเทพแอสชูล”


เทพแห่งดวงอาทิตย์


ได้ยินเช่นนั้นปีศาจตาสองสีก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาได้” อีกฝ่ายยิ้มบาง “ก็เพราะไม่รู้ว่าข้าเคยก่อวีรกรรมอะไรบ้างน่ะสิ”


เลปทีร์ชะงักกึก


จริงอย่างที่โนอาห์ว่า เขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอีกคนเลยสักนิด


“ท่านอาจจะเป็นปีศาจที่เป็นปีศาจดีก็เป็นได้”


“ข้าอาจจะเป็นปีศาจที่แสร้งทำเป็นปีศาจดีก็ได้” โนอาห์พูดยิ้มๆ


ทว่าดวงตาไม่ได้ยิ้มตามสักนิด


เลปทีร์ดึงมือของโนอาห์เพื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้น “สำหรับข้าแล้ว ไม่มีใครเลวร้ายเท่าเฮเรียสหรอก”


“คนที่รังแกเจ้ามาตลอดระยะเวลาสองปีน่ะหรือ”


เลปทีร์ยืนนิ่งค้าง ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองโนอาห์อย่างสับสนปนมึนงง เขาเคยเล่าเรื่องของเฮเรียสให้อีกฝ่ายฟังหรือ?


“มิน่าเล่า เจ้าถึงได้ดูไม่ระแวงข้าเลย” โนอาห์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดฉับพลัน “ว่าไป ข้ารอเจ้าให้ลืมตาตื่นตั้งนาน รอจนแทบจะกลายเป็นฝ่ายหลับไปเสียเอง”


“ที่จริงท่านควรจะทิ้งข้าแล้วหนีไปเสียเองแท้ๆ ” แม้จะทำเสียงเหมือนแกล้งหยอกเย้าเล่น แต่ลึกๆ เลปทีร์เองก็รู้สึกใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก


ไม่มีใครปฎิบัติกับเขาเช่นนี้มานานแล้ว


ปีศาจตาสองสีกวักมือ อีกฝ่ายพยักเพยิดหน้าเป็นสัญญานว่าให้เดินตามมา เห็นเช่นนั้นเลปทีร์ก็ค่อยๆ ย่องเดินตามหลังไปอย่างระมัดระวังที่สุด…


ก็ปรากฎว่ามีผู้คุมอีกคนเปิดประตูหินเข้ามาเจอะกับโนอาห์ที่กำลังจะผลักประตูออกไปพอดี


“บังเอิญเสียจริง”


โนอาห์แย้มยิ้มพราย เพียงชั่วพริบตาก็ไปปรากฎอยู่ข้างหลังผู้คุมคนนั้น จัดการฟาดสันคอจนอีกฝ่ายหมดสติล้มตึง จากนั้นก็หันมาดึงแขนเลปทีร์พร้อมกับก้าวเท้าวิ่งเร็วขึ้นอีก ปีศาจตาสองสีวิ่งนำหน้าไปพร้อมๆ กับที่เลปทีร์จ้ำเท้าวิ่งตามไปติดๆ


แสงสว่างอยู่ตรงหน้านี้แล้ว


“เฮ้ย ไอ้ปีศาจ! นี่คิดจะใช้มนุษย์เป็นตัวประกันหรือไง”


ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป ผู้คุมคนที่สาม สี่ และห้าก็โผล่มาล้อมเขาและโนอาห์เอาไว้


“ท่านชายคนนั้นน่ะ” ผู้คุมคนที่อยู่ทางขวามือตะโกนเสียงดัง “มาทางนี้เร็วเข้า!”


พวกมันกำลังหมายถึงโนอาห์


เลปทีร์กลืนน้ำลายเอื้อกขณะกวาดมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ผู้คุมทุกคนตรงหน้าเขามีธนูอยู่ในมือ หากเคลื่อนไหวหรือทำอะไรผิดพลาดไป มีหวังได้ถูกยิงทะลุหัวใจแน่


หรือเขาควรจะใช้เวท–


“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว คูนิโคลัส” โนอาห์ที่เหมือนอ่านใจเขาได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ดังพอที่เขาจะได้ยิน “เจ้าไม่ควรคิดจะฆ่าใครด้วยคาถาที่ข้าสอนเจ้า”


“แต่ว่า–”


“ไม่ต้องกลัว พวกเราจะคอยคุ้มกันให้ “หนึ่งในผู้คุมเอ่ย “วิ่งออกมาเลย”


โนอาห์ทำท่ากลั้นขำ เขาหันมามองเลปทีร์ ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


“ส่วนแก” ชายผู้ที่ถือธนูขบฟันกรอด “ไอ้ปีศาจ ในที่สุดพวกเขาก็ลงมติแล้วว่าควรจะฆ่าแกบูชาเทพีอคานธาเพื่อหยุดยั้งโรคระบาด”


เด็กชายผมขาวเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น


พวกมันเอาจริง


คุณแม่อุตส่าห์บอกว่าให้เขาอดทนรักษาตัวเอาไว้ บอกให้มีชีวิตรอดต่อไปให้ได้เพื่อที่จะได้เห็นป่าเจ็ดสีที่สุดขอบโลก ป่าเจ็ดสีที่เขาว่ากันว่าทั้งต้นไม้และใบหญ้าส่องแสงประกายระยิบระยับเสมือนถูกสลักมาจากอัญมณีที่งดงามที่สุดในทวีป ป่าเจ็ดสีที่ว่ากันว่ามีผีเสื้อยักษ์ที่มีปีกงดงามเป็นผู้พิทักษ์รักษาอยู่


ป่าเจ็ดสีที่เป็นบ้านเกิดของคุณแม่


เลปทีร์ก้มมองมือทั้งสองข้างของตนที่สั่นเทา ก่อนจะเงยหน้ามองโนอาห์ที่กำลังเดินห่างออกไป… ทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ


เด็กชายรู้สึกว่าความกลัวเอ่อล้นจุกขึ้นมาที่ลำคอ เขารู้สึกเหมือนจะคลื่นไส้อาเจียนและ–


“นีมูเร ลู อัช”


โนอาห์หยุดอยู่ข้างหน้านักธนูคนหนึ่งที่อยู่ใกล้มากที่สุด


“เป็นคาถาที่ไพเราะดี เจ้าว่าไหม” เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าคุณชายทำราวกับกำลังรำพึงรำพันกับตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าไหล่ของชายตรงหน้า “เป็นคาถาที่ทำให้หลับฝันดี พวกเจ้าที่บูชาเทพีแห่งดวงจันทร์น่าจะรู้จักดี”


เพียงเท่านั้น เลปทีร์ก็เข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดได้ทันที


“พวกเราไม่ได้นับถือเทพีแห่งดวงจันทร์เสียหน่อย” หนึ่งในนักธนูห้าคนนั้นแย้งขึ้นมา “พวกเรานับถือเทพีอคานธาแห่งการรักษาต่างหา–”


“นับถือเทพีผู้สูงส่งที่รักษาชีวิตผู้คน แต่คิดจะพรากชีวิตเด็กคนหนึ่งไป ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ”


“นีมูเร ลู อัช..”


ทันทีที่ท่องคาถาจบ เด็กชายก็รู้สึกได้ถึงสายลมบางเบาพัดผ่านร่างกาย สายลมอ่อนโยนที่ทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน เป็นสายลมที่ทำให้จิตใจที่ตื่นตระหนกค่อยๆ กลับมาสงบลง


เมื่อสายลมเหล่านั้นพัดผ่านไป เพียงพริบตานักธนูทั้งห้าก็ล้มตึงลงไปกับพื้น ทั้งหมดนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เสียงกรนที่ได้ยินทำให้เลปทีร์รับรู้ได้ว่าพวกเขายังไม่ตาย แค่เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์เท่านั้น


ไม่ใช่แค่คนใช้ธนูทั้งห้าเท่านั้นที่โดนผลของเวทมนตร์ เด็กชายเห็นนกสามตัวตกลงมานอนแน่นิ่งแทบเท้าปีศาจตาสองสี ตามมาด้วยกระรอกหางฟูที่อยู่บนต้นไม้ก็ตกลงมานอนหงายท้องอยู่ไม่ไกล


ภาพตรงหน้าทำให้โนอาห์ผิวปากออกมา คนรูปงามหันขวับมามองเขาด้วยดวงตาลุกวาว “เจ้ามันสุดยอดอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ชัดๆ ”


เลปทีร์ยิ้มฝืด ไม่แน่ใจว่าควรจะยินดีกับคำชมเมื่อครู่ดีหรือไม่ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์เลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายบอกให้พูดตามเขาก็แค่พูดตามไปเท่านั้น...


นึกมาถึงตรงนี้เด็กชายผมขาวก็ขมวดคิ้วมุ่น อดคิดไม่ได้ว่าเวทมนตร์มันใช้กันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ..


“ก็เพราะเจ้าใช้มันง่ายๆ แบบนี้นี่แหละ” โนอาห์ยกสองมือกอดอก “ข้าถึงได้เรียกเจ้าว่าอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ยังไงเล่า”


เลปทีร์รู้สึกทะแม่งๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว และประโยคเมื่อสักครู่ของโนอาห์ก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง


“ท่านอ่านใจข้าได้จริงๆ ด้วย!” เลปทีร์ยกมือชี้นิ้วคนผมทองด้วยดวงตาเบิกกว้าง “ท่านอ่านใจข้า!!!”


โนอาห์ทำสีหน้าเรียบนิ่งราวกับว่านั่นไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร “ใช่” อีกฝ่ายก้าวเท้าฉับๆ เดินนำหน้าไปอีกครั้ง “คราวนี้ก็ไปกันได้สักที ไม่มีอุปสรรคอะไรมาขวางทางแล้ว”


นั่นล่ะเลปทีร์จึงได้รู้สึกตัวว่าตนนั้นทำตามที่โนอาห์สั่งมาโดยตลอดโดยที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย เขาตามติดโนอาห์ไปโดยที่ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าโนอาห์ตั้งใจจะทำอะไร


จุดประสงค์ของโนอาห์คืออะไร


พวกเขากำลังจะไปที่ไหนกันแน่


“หาที่เหมาะๆ เพื่อฝึกเวทมนตร์ให้เจ้า”


โนอาห์ตอบคำถามของเขาโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามอง


“ข้ารู้จักที่เหมาะๆ อยู่ที่หนึ่ง”




***




“เจ้ามันไม่ใช่คนตระกูลปักษาอัคนี”


ด้ามดาบฟาดลงตรงหัวไหล่ของเฮเรียสเต็มแรง แรงมากเสียจนเฮเรียสสะดุ้งเฮือก แต่เขาก็เลือกที่จะกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดแทน


“มีอย่างที่ไหน อายุก็ย่างเข้าตั้งสิบหกแล้ว” ชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุดันพูดตวาดเสียงดังจนเคราสีขาวเหล่านั้นขยับไปตามการเคลื่อนไหวของรูปปาก “แค่เวทลูกไฟเท่ากำปั้นก็ยังร่ายออกมาไม่ได้”


“แต่ฝีมือด้านดาบของข้าก็ไม่มีใครเทียบเคียงได้เหมือนกัน!!!”


“หุบปากไปเลย!” ชายชราถลึงตาใส่เฮเรียส “เจ้ามันห่วยแตกยิ่งกว่าน้องชายตัวเองเสียอีก เจ้าเคยทำอะไรได้ดีบ้างไหม เฮริอัส”


ก็การฟันดาบยังไงล่ะ แต่ไม่เคยมีใครเห็นค่าของมันเลย


ว่าที่เออร์เนสต์คนต่อไปขบฟันและกำหมัดแน่น คำพูดดังกล่าวทำให้เขารู้สึกราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นตบหน้าฉาดใหญ่


“อย่ามาเหยียบที่นี่อีก” ชายผู้โกรธเกรี้ยวคว่ำนิ้วโป้งลง “จนกว่าแกจะใช้เวทมนตร์ของตระกูลได้


“แต่ท่านลุง ข้าแค่อยากมาเยี่ยมท่านแม่–”


“แกไม่ใช่คนของตระกูลปักษาอัคคี ตราบใดที่ยังใช้เวทมนตร์ของตระกูลไม่ได้” อีกฝ่ายกล่าวปรามาสเขาด้วยใบหน้าดูแคลน " ก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก"


เฮเรียสสะดุ้ง น้ำเสียงของท่านลุงเต็มไปด้วยอารมณ์ดูถูกเหยียดหยามอย่างแท้จริง


ทั้งๆ ที่น้องชายของเขาก็มีสายเลือดของป่าสีเงินไหลเวียนอยู่ในตัวเหมือนกันกับเขาแท้ๆ ทว่าพรสวรรค์ในการใช้เวทมนตร์ธาตุไฟของน้องชายกลับโดดเด่นมาก-- มากเสียจนถูกวางตัวให้สืบทอดทรัพย์สมบัติและตำแหน่งผู้พิทักษ์ต่อจากท่านลุง...


ตำแหน่งผู้พิทักษ์นั้นเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมหาราชา จึงถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้ขึ้นรับตำแหน่งนี้ได้จะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักทั้งด้านร่างกายและจิตใจ…ต้องพรั่งพร้อมทั้งพลังและอำนาจ


ตระกูลปักษาอัคคีแสนเก่าแก่จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ได้รับเลือก...และได้รับเลือกมาโดยตลอดสามร้อยปี เป็นตระกูลที่สรรค์สร้างผู้พิทักษ์ปกป้องมหาราชามาทุกยุคทุกสมัย


ในสายตาของตระกูลปักษาอัคคีที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ตระกูลป่าสีเงินก็เป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ ที่เชี่ยวชาญแค่เรื่องดาบ


แต่ไม่ใช่กับพ่อ…


แต่แรกนั้นพ่อของเขาเชี่ยวชาญแค่ดาบก็จริง ทว่าเวลาต่อมาก็ได้รับการฝึกเวทย์มนตร์จากท่านแม่จนสามารถประยุกต์ใช้เวทมนตร์ให้เข้ากับเพลงฟันดาบของตนได้


กลายเป็นนักดาบเวทย์คนแรกของอาณาจักร และถูกวางตัวให้กลายเป็นผู้พิทักษ์ต่อจากท่านลุง


เวทย์มนตร์ธาตุไฟที่ว่าแข็งแกร่งนักหนาแล้ว เมื่อนำไปประยุกต์ใช้กับการฟันดาบก็ยิ่งแข็งแกร่งเป็นสองเท่า พรสวรรค์ที่โดดเด่นของพ่อทำให้พวกตระกูลปักษาอัคคียอมรับพ่อเข้ามาในตระกูลโดยง่าย


ทุกคนคิดว่าตระกูลปักษาอัคคีช่างน่ายกย่องยิ่งนักที่เทิดทูนรักบริสุทธิ์ ยอมเปิดโอกาสให้คนรากหญ้าได้แต่งเข้าตระกูลโดยที่ไม่ดูถูกเรื่องชนชั้นวรรณะ…


ใจกว้างบ้าบอน่ะสิ


พวกมันก็แค่มองเห็นความสามารถประยุกต์ใช้อันทรงพลังของท่านพ่อต่างหาก พวกมันหลอกใช้ความรักอันบริสุทธิ์ของท่านพ่อที่มีต่อท่านแม่มาเป็นเครื่องมือประกันพลังอำนาจของปักษาอัคคี พวกมันต้องการวิชาดาบเวทย์ของท่านพ่อ


ทันทีที่ท่านพ่อจากไป..


เขาที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ถูกตัดหางปล่อยวัดจากตระกูลของท่านแม่ทันที


เฮเรียสขบฟันกรอด


เพิ่งรู้ตัวก็ตอนนี้เองว่าที่ตนยังอยู่ในสภาพอยู่ดีมีสุขได้ก็เพราะมีท่านพ่อคอยคุ้มกะลาหัวมาให้โดยตลอด


ถ้าท่านพ่อไม่เจอกับไอ้แม่ลูกปีศาจคู่นั้นล่ะก็


ถ้าหากท่านพ่ออายุยืนมากกว่านี้ล่ะก็–


ถ้าหาก–


“อย่างแกน่ะเป็นแค่เออร์เนสต์ก็เหมาะสมดัแล้ว”


นั่นคือประโยคที่ท่านลุงทิ้งท้ายไว้ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขา


เฮอะ ภาพตรงหน้าทำให้เฮเรียสได้แต่แค่นหัวเราะ


เออร์เนสต์เทียงเคียงได้กับตำแหน่งผู้ปกครองอาณาจักร เป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และได้รับความเคารพจากคนทั่วไปเหมือนกันก็จริง แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ได้แค่เศษเสี้ยวของตำแหน่งผู้พิทักษ์เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วเออร์เนสต์ก็ต้องเป็นแค่เออร์เนสต์จนสิ้นอายุขัย ต่างกับตำแหน่งผู้พิทักษ์ที่ในอนาคตสามารถรับช่วงต่อตำแหน่งมหาราชาได้หากมีฝีมือและผลงานเป็นที่ประจักษ์


ที่จริงเขาคงไม่ติดอะไรถ้าหากว่าตนถูกวางตัวให้รับตำแหน่งเออร์เนสต์มาตั้งแต่ต้น


เขาที่ได้ฉายาว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นร่างจุติของแอสชูล เทพแห่งดวงอาทิตย์


เขาที่เคยถูกวางตัวให้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาที่พยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อตอบรับความคาดหวังและทำให้ตนเองมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น


แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็ถูกท่านลุงแทงข้างหลังและเขี่ยลงจากบัลลังค์ตำแหน่งผู้พิทักษ์ที่กำลังจะได้ขึ้นนั่ง


เพียงเพราะใช้เวทมนตร์ไม่ได้


ทั้งๆ ที่ท่านลุงคนนั้นพร่ำบอกว่าจะให้การสนับสนุนเขาจนถึงที่สุดถึงแม้ว่าท่านพ่อของเขาจะจากไปแล้วก็ตาม ท่านลุงคนนั้นที่คอยกรอกหูบอกว่าเขาคือผู้ถูกเลือก บอกว่าเขาจะกลายเป็นภาคภูมิใจของตระกูลปักษาอัคคี


เฮเรียสรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไอ้โง่ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มทลาย รู้สึกเหมือนไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกต่อไป


พอกันทีกับภาพลักษณ์ร่างจุติของเทพแอสชูล


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆ อย่างก็ขัดหูขัดตาเฮเรียสไปเสียหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้พวกคนที่ใช้เวทมนตร์ได้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้สองแม่ลูกคู่นั้นที่เป็นต้นเหตุการตายของพ่อ


เฮเรียสตัดสินใจได้ในที่สุด


ว่าจะต้องกวาดล้างกำจัดสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้


เมื่อนั้นแล้ว


พวกมันถึงจะเข้าใจว่าถ้าหากในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าออร่าเวทมนตร์ สุดท้ายแล้วฝีมือดาบของเขาต่างหากที่จะยั่งยืนและไร้เทียมทานที่สุด




***


ที่นี่คือโบสถ์ที่แม่ของเขามักจะเข้าไปสวดภาวนาอยู่บ่อยๆ


จนกระทั่งถูกพวกชาวบ้านกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ


แม่ก็ไม่เคยก้าวเท้าเข้ามาในโบสถ์แห่งนี้อีกเลย


เลปทีร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นโนอาห์เดินดุ่มๆ สำรวจบริเวณโน้นทีบริเวณนั้นทีโดยที่ไม่เกรงกลัวรูปปั้นเทพีอคานธาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง ไม่แม้แต่จะแยแสคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าร่ายมนตร์แห่งแสงสว่างเพื่อกันไม่ให้ปีศาจเข้ามาเหยียบย่างภายในโบสถ์ อีกฝ่ายที่เดินสบายใจไร้กังวลราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ก็ทำให้เลปทีร์อดที่จะยิงคำถามขึ้นมาไม่ได้


“ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ” เด็กชายผมขาวเหล่มองอัญมณีเขตแดนที่ควรจะเปล่งแสงเตือนเหล่าพาลาดินว่ามีปีศาจบุกเข้ามา แต่ทุกอย่างก็ยังคงนิ่งสนิทแม้ว่าโนอาห์จะเดินเตะอัญมณีนั่นเป็นรอบที่ล้านแล้วก็ตาม “แบบว่าปวดแสบปวดร้อน? ”


ปีศาจตาสองสีหันมามองเขาพร้อมทำสีหน้าราวกับว่านั่นเป็นคำถามที่แปลกประหลาดมากที่สุดในโลก


“พลังพวกนี้มีผลแค่กับปีศาจระดับต่ำ” โนอาห์กำลังสำรวจแม่กุญแจสีดำที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”


เลปทีร์ขานรับในลำคอ เขาลืมไปเสียสนิทว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นปีศาจ แต่ก็เป็นถึงปีศาจระดับเชื้อพระวงศ์… ถึงจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ฝีมือการต่อสู้ที่โดดเด่นจนน่ากลัวก็ดูจะทดแทนความสามารถที่ขาดหายไปนี้ได้เป็นอย่างดี


“มีมนุษย์ที่ชื่อนูร์ล่าอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่”


คราวนี้โนอาห์เป็นฝ่ายเปิดปากถามบ้าง เป็นคำถามที่ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่กลับทำให้เลปทีร์รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ


“มันสำคัญตรงไหนหรือ”


“นางคือคนเดียวที่รู้คาถาปลดล็อคแม่กุญแจอันนี้” โนอาห์รีบตอบทันควัน “หากไม่มีนางเราจะเข้าไปข้างในไม่ได้”


ได้ยินเช่นนั้นเลปทีร์ก็พลันขมวดคิ้วทันที


“ฝึกกันข้างนอกไม่ได้หรือ” เด็กชายผมขาวเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ “หากไม่เข้าไปฝึกซ้อมเวทมนตร์ในนั้นจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง”


“ในนั้นคือมิติที่ถูกปรับออร่าเวทมนตร์เอาไว้แล้ว” โนอาห์หันขวับกลับมามองเขา “ถ้าฝึกเวทมนตร์ในนั้นจะทำให้เจ้าจับทางวิธีการใช้เวทมนตร์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม”


ยังมีวิธีที่จะทำให้ใช้เวทมนตร์เป็นเร็วกว่านี้อีกหรือ


“มีสิ” อีกฝ่ายส่งยิ้มยิงฟันกลับมา “ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ดู”


เลปทีร์ไม่ได้แสดงอาการตอบรับอะไร เด็กชายเพียงแค่หลุบตามองพื้นเท่านั้น


“สรุปแล้ว” โนอาห์ยกสองมือกอดอก “เจ้ารู้ไหมว่านูร์ล่ายังอยู่ที่นี่หรือไม่”


ความเงียบทำให้บรรยากาศโดยรอบน่าอึดอัด น่าอึดอัดมากเสียจนเลปทีร์อยากจะมุดดินหนีออกไปจากตรงนี้เสีย


“ว่าอย่างไร”


โนอาห์เริ่มเค้นถามซ้ำอีกครั้ง


“สรุปว่าเจ้ารู้จักไหม”


“นางไม่อยู่แล้ว”


เขาตอบออกไปเช่นนั้น.. ตอบออกไปอย่างใส่อารมณ์โดยไม่ตั้งใจ


“นางย้ายที่อยู่? ”


และเลปทีร์ก็เลือกที่จะฉีกยิ้มขมขื่นกลับมา


“นางจากไปแล้ว”


คำตอบของเขาทำให้โนอาห์กระพริบตาด้วยความประหลาดใจ


“นางจากไปแล้ว.. ไปจากโลกนี้” เด็กชายผมขาวเลี่ยงที่จะสบตากับคนตรงหน้า “นางตายแล้ว”


“เจ้าดูจะรู้จักนางดี… เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับนาง”


เลปทีร์ยังคงเลือกที่จะหลบตา


“ข้าเป็นลูกชาย…ของนาง "