ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น - 5 นามแห่งวิญญาณ โดย Chamaniao @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี

รายละเอียด

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น โดย Chamaniao @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

ผู้แต่ง

Chamaniao

เรื่องย่อ

สารบัญ

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-1 พบเจอ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-2 คำสัญญา,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-3 ผูกโลหิต,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-4 ความสบายใจ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-5 นามแห่งวิญญาณ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-6 ไล่ตาม,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-7 ดำมืด,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-8 ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-9 หนทางของเวทมนตร์ 1,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-10 หนทางของเวทมนตร์ 2,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-11 หนทางแห่งเวทมนตร์ 3

เนื้อหา

5 นามแห่งวิญญาณ



“นูร์ล่า เลอวิงกัลด์ ?”


“ใช่ นูร์ล่า เลอวิงกัลด์” ท่านแม่ของเขาพูดยิ้มๆ “สหายคนสำคัญที่สุดของข้า”


โนอาห์ขมวดคิ้วมุ่น เขาก้มมองจี้อัญมณีทรงกลมสีเงินบนลำคอของท่านแม่อย่างงุนงง มันคืออัญมณีที่คอยช่วยพยุงพลังชีวิตของท่านแม่ไม่ให้ลดน้อยถอยลงไปมากกว่านี้ มันคือพลังที่ช่วยพยุงอาการป่วยของท่านแม่


มันคือสิ่งที่ทำให้ท่านแม่ยังใช้ชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้


ทว่าสิ่งที่สุดยอดขนาดนั้นกลับเป็นของขวัญที่ท่านแม่เล่าว่าได้มาจากนูร์ล่า เลอวิงกัลด์


“แต่ท่านบอกว่า..” โนอาห์ลังเล แต่แล้วก็พูดออกมาในที่สุด “นางเป็นมนุษย์”


มนุษย์เนี่ยนะจะสร้างของที่สุดยอดขนาดนี้ออกมาได้


ท่านแม่ยิ้มให้กับคำพูดของโนอาห์ราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา ยิ้มราวกับมีคำพูดมากมายที่ต้องการพรั่งพรูระบายออกมา แต่ถึงอย่างนั้นกลับเงียบไปไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีก


“มนุษย์เป็นแค่อาหารของพวกเราไม่ใช่หรือ” เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มนุษย์แข็งแกร่งไม่ถึงครึ่งของพวกเราด้วยซ้ำ พวกนั้นมีดีแค่รสชาติแท้ๆ ”


สงสัยว่าตนจะพูดด้วยใบหน้าจริงจังมากเกินไปหน่อย เพราะท่านแม่ถึงกับยกหลังมือขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ


ทุกท่วงท่าของท่านแม่นุ่มนวลและสง่างามเหลือเกิน


“เจ้าพูดเหมือนเคยกินเลือดของมนุษย์เลยนะ”


“ข้าแค่เคยได้ยินว่าเลือดของมนุษย์นุ่มละมุนลิ้น” โนอาห์ฉีกยิ้ม “อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอด และข้าก็จะได้รับอนุญาตให้ลิ้มรสเลือดมนุษย์แล้ว จากนั้นข้าก็จะใช้เวทมนตร์ได้!!”


“พ่อของเจ้าเล่าให้ฟังสินะ” ท่านแม่ยิ้มบางๆ ให้เขา “เรื่องที่ว่าเมื่อกินเลือดมนุษย์แล้วพลังเวทในตัวจะตื่นขึ้นมา”


โนอาห์หันไปมองมารดาของตน เขาพยักหน้าให้นางอย่างกระตือรือร้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “ใช่ ข้าอดทนรอไม่ไหวแล้ว”


ท่านแม่ยิ้มละไม


" ข้าหวังว่าข้าจะใช้ธาตุมืดได้เหมือนกับน้อง”


คราวนี้ท่านแม่ชะงักกึก ดวงตาสีฟ้าคู่งามไหววูบ ก่อนจะชำเลืองมองเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ


“ข้าเองก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”


ท่านแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะดึงเขาเข้าไปกอดแน่น


“มันควรจะเป็นเช่นนั้น” นางเอ่ยเสียงกระซิบ “เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนกับแม่”


ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจว่าท่านแม่กำลังหมายถึงเรื่องอะไร…


จนกระทั่งถึงวันจัดพิธีสืบทอดตำแหน่งราชาปีศาจ มันคือวันที่เขาจะได้กลายเป็นว่าที่รัชทายาทแห่งไปศาจอาณาจักรอย่างเป็นทางการ


โนอาห์เข้าใจคำพูดของท่านแม่แจ่มแจ้งก็วันนั้นเอง



ห่วยแตก


ห่วยแตก เลือดมนุษย์มันห่วยแตก ห่วยแตกยิ่งกว่าเลือดของหมูป่าที่ตายมาแล้วสามเดือน ห่วยแตกจนโนอาห์อยากอาเจียนเลือดที่ตนกลืนลงคอออกมาให้หมดไส้หมดพุง


รสชาติห่วยแตกสิ้นดี


ว่าที่เจ้าชายรัชทายาทวิ่งลงจากปะรำพิธีอย่างเร่งรีบ ไม่สนใจแล้วซึ่งสายตาของใครต่อใครที่จ้องมองมา


ให้เขากินเลือดของหมูป่าไปตลอดชีวิตยังจะดีเสียกว่า



“เจ้าควรฝืนกินเลือดของมนุษย์บ้าง” ท่านแม่ของเขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งขณะลูบไล้เส้นผมหยาบกระด้างของเขาไปมา “ดูร่างกายเจ้าสิ ผ่ายผอมอย่างกับอะไรดี”


“ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย” โนอาห์ตอบอย่างไม่ใส่ใจขณะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี “ที่จริงเลือดหมูป่าก็อร่อยไม่ต่างกัน ไม่ต้องกินเลือดมนุษย์ให้คาวปากหรอก”


“นั่นสินะ..”


ท่านแม่รำพึงราวกับเห็นด้วยกับเขา…


แต่โนอาห์รู้ดีว่าอันที่จริงท่านแม่ไม่ได้เห็นด้วยกับเขาเลยสักนิดเดียว


เพราะสภาพร่างกายที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกนี่ก็…


“ข้าไม่เป็นไร” ทว่าโนอาห์ก็ทำได้เพียงแค่ยืนกรานอย่างมั่นใจ “ข้าไม่เป็นไร”




***


“ท่านแม่ไปเอาสร้อยนั่นมาจากไหน”


เขาพยายามฝืนเค้นถามออกมาทั้งๆ ที่ร่างกายแทบจะไม่ไหว ทั้งร่างนั้นร้อนรุ่มและหนาวสั่นในเวลาเดียวกัน อีกทั้งเปลือกตาก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่ตลอดเวลา หน้าอกก็ปวดแสบปวดร้อนเสมือนถูกลนด้วยเหล็กแหลมที่ถูกเผาในเตาหลอม แขนและขาปวดร้าวจนถึงกระดูก--


เพียงเพราะแค่เขาไม่ได้กินเลือดมนุษย์มาสามปีเนี่ยนะ


“นูร์ล่า เลอวิงกัลด์น่ะ” ท่านแม่ยิ้มบาง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เพื่อสวมสร้อยที่มีจี้สีเงินแบบเดียวกันให้กับเขา “ข้าไปขอให้นางทำสร้อยแบบเดียวกับของข้ามาให้”


โนอาห์นึกอยากจะปัดมือของแม่ไปอีกทางเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ เจ้ามนุษย์ที่ชื่อว่านูร์ล่า เลอวิงกัลด์ไม่เคยทำอะไรให้โกรธแค้นเคืองใจ แต่จู่ๆ โนอาห์กลับรู้สึกเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น


นูร์ล่าอย่างโน้น นูร์ล่าอย่างนั้น นูร์ล่าอย่างงี้


“มนุษย์มีแต่เห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ” เขาอดที่จะย้อนถามไม่ได้ “ท่านพ่อก็เคยบอกอยู่” เอ่ยเช่นนั้น เว้นช่องว่างไป ก่อนจะช้อนตาขึ้นจ้องมองใบหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าเขม็ง “พวกมันทำให้พวกเราต้องถูกขับไล่มาอยู่ที่นี่ จะไปญาติดีกับมันทำไม”


“แล้วเจ้าจะรู้เอง”


ทว่าท่านแม่กลับเพียงแค่ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของเขา ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสองมือลงมาประคองใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน “แล้วเจ้าจะรู้เอง”


ประโยคนั้นหลุดออกมาจากริมฝีปากของท่านแม่ถึงห้าครั้ง


***


โนอาห์เข้าใจได้ในที่สุดว่าทำไมนูร์ล่า เลอวิงกัลด์คนนั้นถึงได้กลายมาเป็นคนสำคัญของท่านแม่


“ข้าคิดว่าท่านควรจะพอได้แล้–”


“ไม่!!”


นูร์ล่าหันมาขึ้นเสียงใส่เขา น้ำเสียงแหบแห้งนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างมากมายมหาศาล นางทำหน้าราวกับโลกทั้งใบแตกสลาย…


ทำราวกับว่าของที่ล้ำค่าที่สุดในโลกแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงต่อหน้านาง


“ข…ข้า” เมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอทำอะไรลงไป หญิงมนุษย์ก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมา “ข้าขอโทษ”


“ข้าเข้าใจ” โนอาห์หลุบตาลงมองพื้นอิฐสีเทา “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน”


“นางคือคนเดียวที่เข้าใจข้า นางคือสหายเพียงคนเดียวที่เคียงข้างข้ามาโดยตลอดไม่ว่าจะยามทุกข์หรือสุข”


โนอาห์เม้มริมฝีปากแน่น สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะยืนฟังอย่างเงียบๆ


“นางเปรียบเสมือนพี่สาวของข้า นางเปรียบเสมือนครอบครัวของข้า” นูร์ล่าเอ่ยถึงตรงนี้ก็หลั่งหยาดน้ำตาสีใสออกมา “นางเป็นปีศาจ…ที่แตกต่าง”


“ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นมนุษย์ และแม่ของข้าคือปีศาจ ท่านก็ยังนับนางเป็นครอบครัว…เป็นคนสำคัญหรือ? ”


นูร์ล่าไม่ตอบ แต่เลือกที่จะพยักหน้าช้าๆ ด้วยท่าทางอันหนักแน่นแทนคำตอบ


เมื่อเวลาผ่านไป ต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรจนบังเกิดความเงียบงันขึ้นมาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ เป็นความเงียบที่ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกวิตกกังวลใจอย่างรุนแรงของหญิงมนุษย์วัยกลางคนข้างตัว…


สุดท้ายแล้วโนอาห์ก็กลายเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน


“คนที่ปราสาทบอกว่าท่านแม่…ใกล้จะหมดอายุขัยเต็มที”


“ปีศาจที่ไม่กินเลือดมนุษย์” นูร์ล่าพูดยิ้มๆ “อยู่มาได้เกือบสามสิบปีก็เก่งแค่ไหนแล้ว”


โนอาห์เห็นด้วย เพราะขนาดท่านอาที่ดูแข็งแรงกว่า…ยังอายุไม่ยืนเท่าท่านแม่


“เพราะสร้อยเส้นนั้นใช่ไหมที่ทำให้ท่านแม่ยังมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงตอนนี้”


อีกฝ่ายขานรับอย่างไม่ลังเล “ใช่”


“จริงหรือที่มันบรรจุพลังชีวิตของท่านเอาไว้ นูร์ล่า”


“เป็นความจริง” นางกล่าวยืนยันขณะทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “พลังชีวิตของข้าช่วยประคองไม่ให้ไฟแห่งชีวิตของนางมอดดับลงไปมากกว่านี้”


โนอาห์ก้มลงมองจี้สีเงินที่ตนใส่อยู่อย่างชั่งใจว่าควรจะถามออกไปดีหรือไม่ ซึ่งดูเหมือนว่าหญิงชาวมนุษย์จะจับสังเกตเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าของเขาได้


“ใช่ สร้อยเส้นนั้นเองก็ใส่พลังชีวิตของข้าเอาไว้” นางฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าเองก็จะอยู่ได้อีกอย่างน้อยๆ สี่สิบปีเลยล่ะ”


“แบ่งพลังชีวิตให้คนอื่นสิ้นเปลืองแบบนี้” โนอาห์อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะออกมา “แล้วท่านจะเหลือชีวิตของตัวเองสักกี่ปีกัน”


“คนอื่นที่ไหนกันเล่า”


ครั้นแล้วนูร์ล่าก็ฉีกยิ้มเจิดจ้า ดวงตาสีม่วงทอประกายแห่งความเมตตาออกมาในแบบที่โนอาห์ไม่เคยรู้สึกจากชาวปีศาจด้วยกัน…ยกเว้นก็แต่ท่านแม่


มนุษย์คนนี้…ราวกับฝาแฝดของท่านแม่เลยจริงเชียว


“เจ้าหลานชาย เจ้าเป็นบุตรชายสุดรักสุดหวงของเพื่อนรักข้าเชียวนะ” นูร์ล่าหัวเราะ “สมบัติแสนล้ำค่าของไซเบเล่”


ไซเบเล่


นามแห่งวิญญาณของท่านแม่ที่หลุดออกมาจากปากของมนุษย์ตรงหน้าทำให้โนอาห์รู้สึกจั๊กจี้หูพิกล


แต่การที่นูร์ล่าถึงขนาดรู้จักนามวิญญาณของท่านแม่ได้ ก็เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าท่านแม่นั้นเชื่อใจและศรัทธาในตัวหญิงสาวมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้านี้ขนาดไหน


ทว่าดูเหมือนนูร์ล่าจะตีความสีหน้าของโนอาห์ผิดไป


“อ้อ” นางหัวเราะ “เจ้าคงจะรู้สึกไม่ยุติธรรมสินะที่ข้ารู้จักนามวิญญาณของแม่เจ้า แต่แม่ของเจ้ากลับไม่รู้อะไรเลย”


“ไม่รู้หรือ”


แปลก เขานึกว่าทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างแลกนามแห่งวิญญาณให้แก่กันเสียอีก


“ใช่” หญิงชาวมนุษย์เสยเส้นผมที่ปรกหน้าขึ้น” นางยืนกรานว่าไม่อยากรู้จักนามแห่งวิญญาณของข้า”


โนอาห์กะพริบตาปริบ


“ไม่เป็นไร” นูร์ล่ายันตัวลุกขึ้นยืนตรง ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือมาทางเขา “ข้าจะบอกเจ้าแทนก็แล้วกัน”


“ข้าไม่–”


โนอาห์ยังไม่ทันจะได้ปฎิเสธจบประโยค นูร์ล่าก็พูดขัดขึ้นมาก่อนเสียแล้ว


“อากาเธีย”


นูร์ล่าแย้มยิ้มพราย


“อากาเธียคือนามแห่งวิญญาณของข้า”


***


สุดท้ายแล้วนูร์ล่าก็ช่วยท่านแม่ที่ป่วยหนักเอาไว้ไม่ได้


นูร์ล่า…ไม่สิ อากาเธียนั้น นอกจากจะช่วยท่านแม่ไว้ไม่ได้แล้ว ยังต้องสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมดห้าปีของตนไปอย่างสูญเปล่าอีกด้วย


พลังชีวิตอันแสนล้ำค่าในฐานะนักบุญของอากาเธีย หากนางเอาพลังนี้ไปรักษาพวกกษัตริย์หรือพวกขุนนาง…ก็อาจจะเป็นประโยชน์มากกว่าเอามาใช้กับปีศาจที่ใกล้ตายอย่างแม่ของเขา


อย่างน้อยๆ นางก็อาจจะได้รับสมบัติและความมั่งคั่งเป็นสิ่งตอบแทน


“ทำไมท่านต้องทุ่มเทขนาดนั้น”


“เพราะนางเองก็เคยช่วยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของข้า”


โนอาห์อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่นูร์ล่าพูดถึงลูกชายของตน


และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าท่านแม่เคยช่วยเหลือมนุษย์


“ท่านมีลูกชายด้วยหรือ”


“อืม” อากาเธียขานรับอย่างอารมณ์ดี “ห่างจากเจ้าสามปีน่ะ”


“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือ”


“ที่ๆ ไกลแสนไกล”


คำตอบที่ไม่ชัดเจนราวกับปริศนาธรรมทำให้โนอาห์ขมวดคิ้วมุ่น


“ถ้าอะไรต่อมิอะไรเข้าที่เข้าทาง ข้าจะแนะนำเขาให้เจ้ารู้จักก็แล้วกัน บางทีพวกเจ้าอาจจะเป็นเพื่อนกันได้"


โนอาห์เงียบไป เขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบสนองกับข้อมูลที่ได้รับมาอย่างไร


แต่สุดท้ายแล้วก็เผลอพยักหน้าออกไปจนได้


***


นับตั้งแต่ที่ท่านแม่จากไปก็เกือบสองปีแล้ว


ทว่าเขาก็ยังจมอยู่ในความเศร้าอยู่ดี และไม่คิดว่าตนจะหลุดพ้นจากความรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าได้ในเร็วๆ นี้


แต่กระนั้น…


เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาท่านพ่อกลับแต่งตั้งนางปีศาจคนใหม่ขึ้นมาเป็นราชินีต่อจากท่านแม่โดยที่ไม่ถามความเห็นของเขาสักคำ!


นางนั่นเป็นปีศาจที่กินเลือดมนุษย์ทุกมื้อเป็นว่าเล่น จับมนุษย์มาเคี้ยวเป็นขนม กินพร่ำเพรื่ออย่างสนุกสนาน ไม่ได้ยอมกินเพื่อประทังชีวิตอย่างเขา…หรืออย่างท่านแม่…หรืออย่างท่านราชครู หรืออย่างคนอื่นๆ


ไม่พอ ยังให้กำเนิดลูกสาวออกมาด้วยอีกต่างหาก


คาร์เซีย


น้องสาวของเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ใช้เวทที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรปีศาจ


และนั่น


ก็แลกมาด้วยกับการที่นางต้องกินเลือดมนุษย์มากกว่าสามถังไม้ต่อวัน


***


“ไหนท่านบอกว่าจะแนะนำลูกชายของท่านให้รู้จัก”


นูร์ล่าสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาอิดโรย นางหยีตามองเขาอย่างพินิจพิจารณา เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็อุทานออกมา


“โนอาห์รึ? ”


“ข้าเอง” โนอาห์พยักหน้าหงึก “รู้สึกเบื่อก็เลยขอให้ท่านราชครูแอบพามาเที่ยวโลกมนุษย์น่ะ”


“เบื่อรึ? ” นูร์ล่ากลั้วหัวเราะ “เจ้าเบื่อถึงขนาดแอบแหกกฎสงบศึกมาโลกมนุษย์เลยรึ”


“ไหนท่านบอกว่าจะแวะมาที่โลกปีศาจบ่อยๆ ”


น่าแปลกที่นูร์ล่ากลับเบิกตากว้างให้กับคำถามของเขา คำถามที่เขาแค่ตั้งใจจะหยอกเหย้าเล่นเท่านั้น ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังเลย


หากมนุษย์มาที่โลกปีศาจครั้งหนึ่งแล้ว ลองแค่ก้าวเท้าเข้ามาเพียงก้าวเดียวก็คงถูกรุมทึ้งสูบเลือดจนหมดตัว ยิ่งกับนูร์ล่าที่มีพลังแห่งการรักษาแล้วด้วย…ยิ่งไม่มีเกราะป้องกันที่ท่านแม่เคยกางไว้ให้แล้วด้วย


ไม่มีทางมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน


“ข้าแค่มีธุระบางอย่างต้องทำ” นูร์ล่าส่งยิ้มฝืนๆ ให้เขา “ขอโทษด้วยที่รักษาสัญญาไว้ให้ไม่ได้”


“ธุระอะไรงั้นหรือ”


“ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก”


โนอาห์ย่นคิ้ว “ก็ได้ งั้นข้าจะไม่สอดจมูกเข้าไปยุ่ง”


บังเกิดความเงียบงันขึ้นมาพักใหญ่ และโนอาห์ก็ตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ หญิงมนุษย์วัยกลางคนที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นตามข้อนิ้ว มือและแขน ไม่สิ แม้แต่บริเวณตรงคอที่เคยเต่งตึงก็ยังมีรอยย่นซ้อนทับเป็นชั้น


โนอาห์ไล่สายตาขึ้นมาเรื่อยๆ เขาลอบสังเกตหางตา ใต้ตา และหน้าผากของอีกฝ่ายที่ล้วนแล้วแต่มีรอยย่นมากมายอันแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของความไม่จีรังของสังขาร


ไม่ได้เจอกันเพียงแค่สองปี…แต่เดิมแล้วมนุษย์ตรงหน้าดูเปราะบางอ่อนแอขนาดนี้เชียวหรือ


“เจ้าอยากใช้เวทมนตร์ได้ไหม”


“อะไรนะ”


ครั้นแล้วนูร์ล่าก็หันมาสบตากับเขา แม้อวัยวะส่วนอื่นจะดูร่วงโรยและชรา แต่ดวงตาสีม่วงคู่นั้นไม่ได้สูญเสียประกายไฟแห่งความสดใสเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว


“ที่จริงแล้วแม้จะไม่ได้กินเลือดมนุษย์ เจ้าก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกัน “


เพียงแค่นั้น โนอาห์ก็หันมามองพร้อมเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ


“เดี๋ยวอีกสิบวันข้าจะพาเจ้าไปฝึกเวทมนตร์ในมิติส่วนตัว” นูร์ล่ายิ้มกว้าง “มิติที่ข้ากับแม่ของเจ้าสร้างมันขึ้นมา เป็นมิติที่ออร่าเวทมนตร์ถูกปรับแต่งให้เชื่องช้าลง แล้วเจ้าจะสามารถจับทางวิธีการใช้เวทมนตร์ได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในนั้น”


“จริงหรือ”


“แน่นอน” นูร์ล่ายกแขนขึ้นมาคล้องไหล่เขา “วันนั้นข้าก็คงเป็นอิสระจากพันธะทั้งปวง” นางเอ่ยเช่นนั้น ก่อนจะหันมากระซิบบอกที่ตั้งของประตูมิติ


“เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะไปเยี่ยมเจ้า แล้วพวกเราจะไปที่มิตินั้นด้วยกัน” นางยิ้มสดใส “เจ้า ข้า และลูกชายของข้า” ครั้นแล้วนูร์ล่าก็เงยหน้ามองผืนฟ้า “ข้าสัญญา”


ตั้งแต่วันนั้นโนอาห์ก็รอคอยมาโดยตลอด


ทว่าแม้จะสิบวันผ่านไป หรือสิบเดือนผ่านไป หรือหลายปีผ่านไป


นูร์ล่าก็ไม่เคยปรากฎตัวให้เขาเห็นอีกเลย


***


“ท่านแม่ถูกไอ้เฮเรียสฆ่าตาย”


ทันทีที่โนอาห์เล่าจบ เลปทีร์ก็ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเอ่ยขึ้นมา


“พวกมันกล่าวหาว่าท่านแม่เป็นปีศาจ” เด็กชายผมขาวยกสองมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกหน้า “พวกมันใช้พลังที่ทำให้ท่านแม่สติฟั่นเฟือนวิปลาศไป” ครั้นแล้วเลปทีร์ก็หันมาเผชิญหน้ากับเขา “พวกมนุษย์ในปราสาท”


พวกชนชั้นสูง พวกราชวงศ์


“แล้วเจ้าล่ะ ไม่ใช่มนุษย์ในปราสาทหรือ? ”


“ท่านว่าอะไรนะ”


โนอาห์หลุบตา


ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่มนุษย์ในปราสาท


เพราะเป็นถึงลูกชายของนูร์ล่า สหายมนุษย์ที่ท่านแม่ไว้ใจ มนุษย์ที่ท่านแม่บอกว่าผูกมิตรด้วยได้


ไม่ใช่แน่นอน


อีกทั้งนูร์ล่าเองก็ยังกลายมาเป็นสหายของท่านแม่ได้


แล้วเขาล่ะ


จากนั้นแล้วโนอาห์ก็เงยหน้าขึ้น


แล้วเขาจะกลายมาเป็นสหายของเลปทีร์ได้เหมือนกับที่ท่านแม่กลายมาเป็นสหายของนูร์ล่าได้ไหม


“นามแห่งวิญญาณของข้าคือ ลาเซเธียส”


เลปทีร์ที่กำลังเอาสองมือปิดหน้าถึงกับค่อยๆ ลดมือลงอย่างไม่เชื่อหู


“…ท่านไม่ได้กำลังบอกนามแห่งวิญญาณของท่านให้ข้าฟังใช่ไหม”


“ลาเซเธียส ลาเซเธียส” โนอาห์เดินย่ำเข้าไปใกล้จนเลปทีร์ผงะถอยหลัง “จำไว้ให้ขึ้นใจเสียว่าลาเซเธียสคือนามแห่งวิญญาณของข้า”


สิ้นคำของเขา


เลปทีร์ก็ทำหน้าอึ้งราวกับเพิ่งจะถูกสั่งให้ไปนับจำนวนเม็ดทรายบนชายหาด