ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่นปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
“ลาเซเธียส” เลปทีร์กลืนน้ำลายเอื้อก ก้มหน้ามองพื้นขณะทวนชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง “ลาเซเธียส..”
“ใช่ ลาเซเธียส” โนอาห์กอดอกแย้มยิ้มมองด้วยท่าทางพอใจ “จำไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
เลปทีร์พยักหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก ครั้นพอเสบตาเข้ากับเนตรสองสีของอีกฝ่ายที่เจือไปด้วยความรู้สึกจริงใจ เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าด้วยสาเหตุใดกันที่ทำให้ปีศาจตรงหน้าดูเป็นมิตรและทำท่าไว้เนื้อเชื่อใจเขามากขนาดนี้
เป็นปีศาจที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นปีศาจเลยสักนิด
“เพราะเจ้าเป็นบุตรชายของนูร์ล่า” โนอาห์ยกมือเกาท้ายทอย “แล้วเจ้าก็…”
ปีศาจตาสองสีชะงักกึกเมื่อเห็นเลปทีร์เอียงคอรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
“ข้าก็? ”
“ดูเป็นมนุษย์ที่ดี” โนอาห์กระแอมไอ “ตามนั้นล่ะ คูนิโคลัส”
คูนิโคลัส?
คำที่โนอาห์ใช้เรียกเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“ท่านบอกว่าหากทำพันธะเลือดแล้วจะยอมบอกให้ฟังไม่ใช่หรือ ความหมายของคำว่าคูนิโคลัสน่ะ”
ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเสี่ยงถามออกไป แม้ในใจจะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะหาข้ออ้างอย่างอื่นมาใช้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบอีก
โนอาห์ยิ้ม คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างแบบที่เลปทีร์อ่านไม่ออก
“ก็จริง” ปีศาจตาสองสีหัวเราะ “เจ้าอุตส่าห์ทำตามที่ข้าบอก ถ้าไม่บอกก็ไม่ได้สินะ”
ครั้นแล้วริมฝีปากบางของอีกฝ่ายก็ขยับ เห็นเช่นนั้นเด็กชายผมขาวก็ทำตาโต
“คูนิโคลัสแปลว่า” โนอาห์กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่า ขณะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของอีกฝ่าย มือขวาก็ยกขึ้นมาป้องปากทำเสียงกระซิบกระซาบ “เจ้าผู้เป็นที่น่าเอ็นดู”
เลปทีร์เหลือบมองคนที่ผละออกไป ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบส่งยิ้มงดงามอย่างเจ้าชายมาให้
รอยยิ้มนั้นงดงาม แต่ดวงตาสองสีคู่นั้นไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิด นัยน์เนตรสีฟ้าใสและสีโลหิตกลับฉายแววโศกเศร้าในแบบที่มองเพียงปราดเดียวก็สัมผัสได้
อากัปกิริยาดังกล่าวทำให้เด็กชายรู้สึกว่าอีกฝ่ายสร้างมันขึ้นมาเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง…
หรือบางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป
เลปทีร์หลุบตาลงมองพื้นหินอ่อนสีเทา
ไม่ได้เซ้าซี้ถามเพิ่มเติมอีกต่อไป
***
เฮเรียสตั้งใจลงมายังคุกใต้ดินเพื่อดูสภาพอันน่าสมเพชของไอ้ปีศาจด้วยตาของตนเอง
แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เขาเห็นกลับเป็นภาพของเด็กสาวที่มีเส้นผมสีดำยาวในชุดกระโปรงสีท้องฟ้ายามรัตติกาลกำลังยืนหันหลังให้ ข้างๆ กันคือไอ้เด็กปีศาจที่นั่งหมดสติคอพับไปด้านหน้า
ในศีรษะของเขาเต็มไปด้วยความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมา
นางนี่มันเป็นใคร ก็ในเมื่อที่นี่คือคุกใต้ดินที่มีแค่เขากับคนสนิทและพวกนักเยียวยาระดับสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ อีกทั้งการที่จะลงมาได้จะต้องผ่านยามหน้าประตูที่ถูกฝึกทักษะการต่อสู้มาอย่างดี ไม่สิ ถึงจะผ่านยามพวกนั้นมาได้ การจะเปิดประตูคุกใต้ตินนี่ได้ก็ต้องใช้กุญแจชนิดพิเศษเปิดเท่านั้น และคนที่ได้รับเลือกให้ถือกุญแจก็มีจำนวนเพียงหยิบมือ ไม่มีทางที่คนธรรมดาทั่วไปจะ…
เฮเรียสเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงตรงนี้
เอาเถอะ มีอยู่ทางหนึ่งที่จะทำให้รู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ
ว่าที่เออร์เนสต์หยิบเอามีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมา เด็กหนุ่มหรี่ตาเล็งเป้าไปยังลำคอขาวผ่องของอีกฝ่าย
ก่อนจะปาด้ามมีดออกไปด้วยแรงขว้างและองศาที่คำนวณไว้แล้วเรียบร้อยในสมอง
เขาไม่เคยพลาดเป้า
มีดเล่มเล็กพุ่งตรงแหวกผ่าอากาศไปราวกับลูกศรที่ถูกง้างออกมาจากคันธนู ซึ่งในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้หากเด็กสาวคนนั้นไม่ยอมเคลื่อนตัวหลบไปอีกทาง ใบมีดแวววาวจะต้องปักทะลุคอเด็กสาวอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าในช่วงพริบตานั้นเอง
ร่างของเด็กสาวผมดำรัตติกาลก็หายไปจากสายตาของเฮเรียส ราวกับว่าอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือภาพลวงตามาโดยตลอด
" ว้าว เป็นมนุษย์ที่รูปงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นเลย "
เสียงหวานปานน้ำผึ้งดังขึ้นจากด้านหลัง ว่าที่เออร์เนสต์หันขวับไปทางต้นเสียงนั้นทันทีด้วยความหวาดระแวง
" ตัวตนของเจ้าช่างขัดแย้งกับพื้นที่แห่งนี้ " เด็กสาวแย้มยิ้มพรายงดงาม แต่ในสายตาของเฮเรียส มันคือรอยยิ้มเคลือบยาพิษที่เอาชีวิตให้ถึงแก่ความตายได้
เขาได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา
" ขัดแย้งอะไร "
" ก็แหม…" อีกฝ่ายยกมือขาวซีดขึ้นมาลูบไล้ปลายเส้นผมสีดำของตน " ถูกรายล้อมด้วยออร่าเวทมนตร์สีแดงมากมายขนาดนั้น– "
สิ้นคำ
เด็กสาวคนนั้นก็ปรากฎตัวพรวดห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่คืบ " แต่กลับใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลยสักธาตุเลยเนี่ยนะ เจ้าผู้มีสายเลือดตระกูลปักษาอัคคี "
เฮเรียสเบิกตาโต คำพูดของอีกคนแทงใจดำเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มว่าที่เออร์เนสต์ถลึงตามองเด็กสาวอย่างไม่พอใจ
และความไม่พอใจนั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้ง
" ถ้ายังพูดจาไม่เข้าหูข้าอีก" เฮเรียสหรี่ตามองพร้อมๆ กับที่มือก็เลื่อนไปจับด้ามดาบ
" ถึงจะมีเวทมนตร์ แกก็ไม่รอดหรอก"
" นั่นสินะ" เด็กสาวกระตุกยิ้ม " ก็ถึงแม้จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ฝีมือดาบก็อยู่ในขั้นที่แม้แต่ท่านอัศวินผู้พิทักษ์ยังให้การยอมรับนี่นา–"
เฮเรียสที่กำลังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นชักดาบออกมา เขาเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตามที่เคยได้รับการฝึกจากอัศวินผู้พิทักษ์ลำดับหนึ่ง การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงตลอดระยะหลายปีจากอาจารย์ผู้มีฝีมือเลืองชื่อไปทั้งสามอาณาจักร ทำให้เขาสามารถนำปลายดาบไปจ่อคอเด็กสาวตรงหน้าได้ในพริบตาโดยที่นางไม่สามารถตอบสนองได้ทันเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
“ใช่เลย “เฮเรียสส่งยิ้มเย็นๆ ไปให้อีกฝ่ายบ้าง “ข้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดมานั่นล่ะ”
จากนั้นแล้วเขาก็กดปลายดาบให้จมลึกเข้าไปในผิวหนังสีขาวราวหิมะจนโลหิตสีเงินซึมออกมา
“ไอ้พวกผู้ใช้เวทที่เคยพูดจาดูถูกข้า” ว่าที่เออร์เนสต์เลียริมฝีปาก “ถูกดาบเล่มนี้ปาดคอตายโดยที่ไม่รู้ตัวมานักต่อนักแล้ว”
เฮเรียสคาดหวังว่าจะเห็นความหวาดกลัวสะท้อนออกมาจากดวงตาของอีกฝ่าย ทว่าใบหน้าที่ไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนของเด็กสาวกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“ฝีมือเยี่ยมอย่างที่เคยได้ยินมา” เด็กสาวยกนิ้วชี้ขึ้นมาลูบริมฝีปากสีแดงสด “น่าเสียดายจริงๆ นั่นล่ะที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้”
ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงลงตรงนั้นเอง
ในตอนที่ตัดสินใจได้ว่าจะต้องฆ่าไอ้คนน่ารำคาญตรงหน้านี้ให้ตายๆ ไปเสีย
นางก็หายตัวไปอีกครั้ง
พอเฮเรียสกะพริบตา ก็ปรากฎว่าคราวนี้เด็กสาวคนนั้นกลับไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าไอ้ปีศาจผมขาวที่ถูกล่ามโซ่อยู่ริมห้อง นางเอียงคอมองมัน ก่อนจะหันหน้ามาทางเขา
“ถ้าข้าบอกว่า” เด็กสาวแย้มยิ้มละไม “ฆ่าปีศาจตนนี้ผ่านพิธีกรรมแล้วจะใช้พลังเวทมนตร์ได้สมใจอยากล่ะ”
“อะไรนะ”
“ฆ่าปีศาจตนนี้ด้วยมือของเจ้าเอง” เด็กสาวพูดย้ำ “วันนี้ เวลาเที่ยงคืน ด้วยดาบแห่งเปลวเพลิงสีคราม ตอนที่พระจันทร์เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน”
เฮเรียสขมวดคิ้ว คราวนี้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาดึงความสนใจของเขาได้อยู่หมัด
“สิ่งที่ข้าจะเตรียมให้เจ้าก็คือวงเวทสำหรับทำพิธี” เด็กสาวยันตัวลุกขึ้นยืน คราวนี้นางหันมาจ้องเขา “สิ่งที่เจ้าต้องเตรียมมาเองก็คือโซ่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อล่ามไม่ให้เขาหนีไปได้ และดาบเปลวเพลิงสีครามสำหรับฆ่าและชิงเอาพลัง”
“เจ้าคือใคร” เขาอดไม่ได้ที่จะยิงคำถามออกไป “ต้องการอะไรจึงได้บอกเรื่องนี้กับข้า”
“เรียกข้าว่าคาร์เซีย” เด็กสาวนามว่าคาร์เซียเชิดหน้าตอบคำถาม ดวงตาสีดำรัตติกาลหรี่มองอย่างไร้อารมณ์ “และข้าต้องการให้เจ้าฆ่าปีศาจตนนี้เสีย ก็แค่นั้น”
เฮเรียสแค่นหัวเราะเหอะ “มันก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วนั่นไง” เขาคว่ำนิ้วโป้งลง “ลงมือเสียเลยสิ”
คาร์เซียใช้สองมือทำท่าปัดฝุ่นบนกระโปรงไปมา “แหม จะฆ่าน่ะก็ฆ่าได้อยู่หรอก” เด็กสาวผมดำมองเล็บพลางพลิกนิ้วมือไปมา “แต่พลังนั้นมันก็จะหายไปด้วยน่ะสิ เป็นเจ้าจะไม่อยากได้หรือ”
เฮเรียสเหลือบมองเด็กสาวสลับกับปีศาจผมขาว “พลังอะไร”
“เวทมนตร์” เซย์เนย์ฉีกยิ้มแฉ่ง “แบบนี้”
เพียงวินาทีเดียว แค่วินาทีเดียวเท่านั้น ทั่วทั้งห้องในคุกใต้ดินนี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีใส สีใสเป็นประกายราวกับเกล็ดคริสตัล ครั้นพอเงยหน้ามองขึ้นข้างบน ก็เห็นไอละอองสีขาววิบวับเล็กๆ หมุนวนไปมาอย่างเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง
ไอประกายสีขาวนั้นค่อยๆ ตกลงมาบนแขนของเขา
และผิวหนังบริเวณที่โดนไอสีขาวนั้นสัมผัส ก็พลันเกิดน้ำแข็งงอกขึ้นมา
สิ่งที่เห็นทำให้เฮเรียสเบิกตากว้างทันที เขาตกใจจนตั้งท่าจะก้าวเท้าถอยหลัง ทว่าก็ทำไม่ได้
เด็กหนุ่มเพิ่งจะรู้ตัวตอนนั้นเองว่าขาทั้งสองข้างถูกน้ำแข็งเวทมนตร์ตรึงไว้กับที่เสียแล้ว
“ปล่อยข้–”
ไม่ทันที่เฮเรียสจะออกคำสั่งได้จนจบประโยค น้ำแข็งเหล่านั้นก็พลันละลายหายไปหมดเสียแล้ว
“ก็ตามที่ข้าบอกนั่นล่ะ เจ้าคนหน้าคล้ายแอสชูล” คาร์เซียหมุนตัวหันหลังให้เขา นางดีดนิ้ว แล้ววงเวทรูปร่างประหลาดก็พลันปรากฎขึ้นมาบนพื้น “เปิดประตูแล้วข้าเหนื่อยมาก คงต้องกลับไปพักผ่อนเอาพลัง ดังนั้นฝากเจ้าด้วย”
ยังไม่ทันที่เฮเรียสจะเปิดปากถามอะไรเพิ่มเติม เด็กสาวประหลาดตรงหน้าก็หายวับไปจากสายตาเสียแล้ว
ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
เฮเรียสเหล่มองเด็กชายผมขาวด้วยหางตา
แล้วในศีรษะก็พลันเริ่มคิดคำนวณหาหนทางที่จะแอบขโมยเอาประกายไฟสีครามออกมาจากคลังสมบัติลับของหัวหน้าตระกูลปักษาอัคคี
***
ในที่สุดเวลาเที่ยงคืนก็มาเยือน ดวงจันทร์เต็มดวงทอประกายแสงสีน้ำเงินอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว เฮเรียสไม่ยักรู้มาก่อนว่าวันนี้คือคืนที่ดวงจันทร์จะกลายเป็นสีน้ำเงิน
วันนี้เองคือวันที่พวกนักเวทจะปรุงยาหรือทำพิธีกรรมอะไรที่มันสำคัญมากๆ
เพราะเขาใช้เวทมนตร์ไม่ได้ และเพราะคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน ดังนั้นจึงไม่เคยใส่ใจหรือติดตามข่าวสารด้านดาราศาสตร์เลย
เฮเรียสริมฝีปาก
ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้แล้วทั้งหมด กระทั่งไฟสีครามที่ถูกเก็บรักษาไว้ในคลังและเป็นของรักของหวงของท่านลุง เขาก็คิดหาวิธีขโมยมันออกมาจนได้ แม้ว่านั่นจะต้องแลกกับการจ้างพวกคนในตลาดมืดให้ช่วยลักลอบขนออกมา ทั้งๆ ที่ลงทุนถึงขนาดนั้นก็ไม่วายเกือบโดนจับ และรอดออกมาด้วยการติดสินบนราคาแพงหูฉี่
…
แต่เมื่อลงคุกใต้ดินมา กลับไร้วี่แววของไอ้ปีศาจที่ต้องเป็นเครื่องบูชายัญ
“เจ้าจะบอกข้าว่า” เฮเรียสถีบโต๊ะไม้มะกานีข้างตัวจนล้มโครม ข้าวของที่เคยวางบนโต๊ะนั้นหล่นระจัดกระจาย แจกันงดงามสีขาวตกแตกกลายเป็นเศษซากไม่เหลือชิ้นดี บรรดาลูกน้องทั้งหมดสี่คนล้วนแล้วแต่เหลือบมองตากันด้วยท่าทางหวาดหวั่น
“มันหนีออกจากคุกใต้ดินได้ทั้งๆ ที่มีคนตามไปดักหน้ามันตั้งหกคนน่ะเรอะ!!!”
“พวกข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” หนึ่งในลูกหาบยกมือขึ้นทักท้วงด้วยสีหน้าซีดเซียว “พวกนั้นรายงานตรงกันว่าจู่ๆ ก็หมดสติไปโดยที่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร–”
คำพูดดังกล่าวทำให้เฮเรียสเต้นผาง ใบหน้ายิ่งถมึงทึงเมื่อเห็นว่าลูกน้องทั้งสี่คนไม่สามารถให้คำตอบที่ตนต้องการได้เลย
มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ไอ้ปีศาจเวรนั่นมันหลุดรอดไปได้
ก็เขาอุตส่าห์ล่ามมันไว้กับโซ่ศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของนาง ทำทุกวิถีทางเพื่อตรึงร่างมันไว้ที่นั่นจนกว่าถึงเวลาเที่ยงคืนแท้ๆ
จากนั้นแล้วก็ค่อยเชือดมันทีเผลอเพื่อรับพลังมาในครั้งเดียว!!!
แล้วดูตอนนี้สิ!!!
ไอ้พวกเฮงซวยปล่อยมันให้หลุดออกมาอีกครั้งจนได้!!!
นึกถึงตรงนี้เฮเรียสก็ขบฟันกรอดอย่างไม่สบอารมณ์
แผนการทั้งหมดพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ขณะที่ในหัวกำลังหมกหมุ่นอยู่กับการคิดหาสาเหตุว่าทำไมไอ้ปีศาจนั่นจึงหนีออกไปได้
ตอนนั้นเองที่หางตาก็พลันเห็นลูกน้องอีกคนที่หลบอยู่ด้านหลังสุดค่อยๆ ยกมือขึ้นมา
“เจ้า” เขาชี้ไปยังชายร่างท้วมด้านหลังที่หน้าตาซีดเซียว “ว่ามาสิ”
“มีรายงานบอกว่า เห็นเด็กหนุ่มชนชั้นสูงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านอยู่กับไอ้เด็กปีศาจนั่นด้วย”
ข้อมูลใหม่ที่ได้ยินทำให้เฮเรียสขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจไปชั่วแวบหนึ่ง
ไม่สิ แต่เริ่มเดิมทีแล้วมันไม่ควรจะลงเอยแบบนี้ด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อไม่มีใครใส่ใจไอ้ปีศาจนี่มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ยิ่งกับมันที่อ่อนแอไม่แม้แต่จะยืนหยัดปกป้องตัวเอง แค่วางยามที่แข็งแกร่งไว้สักสองสามคนกันเหนียว มันก็ไม่น่าจะหนีไปไหนได้ แล้วไหนจะข้างนอกที่มีพวกยามทั่วไปคอยลาดตระเวนเป็นหูเป็นตาให้อีกสิบกว่าคน
ไม่มีทางที่มันจะหนีรอดไปได้เลย
ทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้วแท้ๆ ทั้งวงเวท ทั้งเครื่องประกอบพิธีบูชายัญ ทั้งประกายไฟสีคราม ทั้งวางกำลังคน–
“ก็เพราะเจ้ามันห่วยแตกยังไงล่ะ”
“หุบปาก!!!”
ลูกน้องทั้งสี่คนสะดุ้งโหยง ก่อนจะมองหน้ากันด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก นั่นล่ะเด็กหนุ่มว่าที่เออร์เนสต์ถึงได้รู้ตัวว่าตนเพิ่งจะแสดงท่าทีไม่เหมาะสมออกไป
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
“แต่ว่า–”
“ข้าบอกให้” เฮเรียสตวาดลั่นด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ออกไปกันให้หมด!!!”
สิ้นคำประกาศิตอันเต็มไปด้วยโทสะและความเกรี้ยวกราด เหล่าลูกน้องก็รีบกระวีกระวาดพากันกรูออกจากห้องอย่างไม่คิดชีวิต ไม่นานบรรยากาศก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด เงียบจนเฮเรียสได้ยินแม้กระทั่งเสียงหอบหายใจของตนเองหลังจากที่ปลดปล่อยความโกรธออกมา
“เจ้าปล่อยโอกาสให้หลุดรอดไปแล้ว”
เสียงอ่อนหวานดังขึ้น พร้อมๆ กับควันสีเทาที่เคลื่อนไหวโผล่พ้นจากพื้นดิน ค่อยๆ หมุนวนจนก่อตัวขึ้นเป็นรูปลักษณ์เด็กสาวผู้มีผมยาวสีดำรัตติกาลและสวมชุดกระโปรงยาวสีเดียวกัน
“ข้าแค่หลับพักผ่อนเอาแรง คิดว่าตอนฟ้าสางจะมาดูความสำเร็จเสียหน่อย” เด็กสาวเอียงคอมองเขา “แล้วนี่มันอะไรกัน”
“หุบปาก! หุบปาก!” เฮเรียสกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด “ข้าบอกให้หุบปาก!!!”
“ถ้าเจ้าอยากได้พลัง” เซย์เนย์ส่งยิ้มเยือกเย็น “ก็ต้องลากปีศาจตนนั้นลงไปในคุกใต้ดินอีกครั้งหนึ่ง–”
“มีคนบอกว่าเห็นเด็กหนุ่มผมยาวสีทองเหมือนชนชั้นสูงอยู่กับมันด้วย” เฮเรียสหันขวับไปทางเด็กสาวผมดำ “มันเป็นใคร ทำไมจู่ๆ ถึงโผล่ขึ้นมาช่วยไอ้ปีศาจเวรนั่นได้!!!”
สิ้นคำของเขา คาร์เซียก็ทำหน้าอึ้ง
จากนั้นแล้ว
นางก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กุมท้องหัวเราะต่อเนื่องทำราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อสักครู่มันตลกมากมายนักหนา
“มีอะไรน่าขำ”
“ก็แหม” นางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา “ใครจะไปคิดว่าพี่ชายที่ไร้น้ำยาเรื่องเวทมนตร์จะยืมมือปีศาจตนนั้นเปิดประตูมิติให้กันล่ะ”
เฮเรียสขมวดคิ้วมุ่น “พี่ชายเรอะ”
“หน้าตาคล้ายกับเจ้า รูปงามพอๆ กัน– “เซย์เนย์ยกนิ้วจิ้มแก้มตนเอง “ไม่สิ รูปงามยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก” ครั้นพูดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะออกมาอีก
“แต่ว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้เรื่องเหมือนกันกับเจ้าเลย”
***
เลปทีร์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณแม่จะมีเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้
เขารู้ว่าแม่ใช้เวทมนตร์ได้ก็จริง แต่เวทมนตร์ที่แม่ใช้โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเวทมนตร์รักษา ภาพจำเกี่ยวกับแม่ในความทรงจำของเขาคือเวทมนตร์เยียวยาที่อ่อนโยนงดงาม
ไม่ใช่เวทมนตร์ที่เผาแขนใครสักคนจนไหม้เกรียมไปครึ่งหนึ่งแบบนี้
ดูเหมือนโนอาห์เองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเช่นกัน หลังจากที่โนอาห์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมารดาของตนและของเขาให้ฟัง ปีศาจหนุ่มก็เล่าเรื่องประตูมิติที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับฝึกฝนเวทมนตร์
แต่น่าเสียดายที่แม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องประตูให้เขาฟังเลย ไม่สิ แม้แต่เรื่องที่ว่าแม่เคยมีสหายเป็นปีศาจอย่างท่านไซเบเล่ แม่ก็ไม่เคยแม้แต่จะปริปากพูดให้ฟังเช่นกัน
เลปทีร์จึงต้องบอกโนอาห์ไปตามตรงว่าเขานั้นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับรหัสที่ใช้เปิดประตูมิติดังกล่าวเลยสักนิด
รหัสผ่านต้องใช้ของคนสองคน...โนอาห์บอกว่าเขามีรหัสของตนเอง แต่ไม่รู้รหัสของนูร์ล่า--แม่ของเขา
เมื่อแผนแรกที่ตั้งใจไว้คือการเปิดประตูมิติและแอบซ่อนตัวในนั้นเพื่อฝึกปรือฝีมือสักสี่ห้าสัปดาห์ ทว่าในเมื่อไม่รู้แม้แต่รหัสเปิดประตูมิติที่ว่า โนอาห์ก็ไม่มีที่ไป เด็กชายจึงตัดสินใจเอ่ยปากชวนโนอาห์ให้ไปพักที่บ้านของตนก่อนเป็นการชั่วคราว
กลับกลายเป็นว่าทันทีที่โนอาห์ยื่นแขนผ่านประตูบ้านแสนซอมซ่อของเขาเข้าไป อีกฝ่ายก็พลันส่งเสียงร้องออกมา เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดมากมายจนเลปทีร์ตกใจ เด็กชายเห็นว่าอีกฝ่ายชักมือกลับทันทีราวกับต้องของร้อน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งคุดคู้กอดแขนข้างที่บาดเจ็บของตนเอาไว้
เห็นเช่นนั้นเลปทีร์ก็เร่งรุดเข้าไปดูอาการของเด็กหนุ่มผมทองตรงหน้า เขาสังเกตเห็นว่าแขนข้างนั้นไหม้เกรียมไม่เหลือชิ้นดี ผิวหนังถูกเผาจนกลายเป็นสีดำ ส่วนที่ถูกเผามากเกินไปจนหนังนั้นหลุดร่อนก็มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ผิวบางส่วนแห้งกรอบราวกับใบไม้ในยามฤดูใบไม้ร่วง เผยให้เห็นกระดูกสีขาวและเนื้อเยื่อสีแดงด้านในดูน่ากลัว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
โนอาห์มองแขนข้างซ้ายของตนก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “เวทมนตร์บทนี้ใช้กางอาณาเขตเพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจบุกหรือแอบฝ่าเข้ามา” คนรูปงามพยายามอธิบาย “เป็นเวทมนตร์ธาตุแสงที่ซับซ้อนมาก มักร่ายขึ้นเพื่อใช้กับปีศาจระดับสูงโดยเฉพาะ”
ครั้นพอพูดถึงตรงนี้โนอาห์ก็ใช้นัยน์เนตรสองสีจ้องเขาไม่วางตา
“แล้วทำไมจู่ๆ แม่ของเจ้าถึงใช้เวทมนตร์บทนี้กางคลุมบ้านเอาไว้”
เสียงนุ่มทุ้มนั้นรำพึงรำพันทั้งๆ ที่ยังจ้องตาของเขาอยู่
จากนั้นแล้ว
อีกฝ่ายก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรออก
“พวกเจ้าสองแม่ลูก” โนอาห์ใช้มือข้างขวาเอื้อมมาจับไหล่ของเขาทันควัน ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ด้วยแววตาสงสัยเต็มประดา
“คงไม่ใช่ว่ากำลังถูกปีศาจตนไหนตามล่าอยู่หรอกใช่ไหม”