ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น - 7 ดำมืด โดย Chamaniao @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี

รายละเอียด

ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

ผู้แต่ง

Chamaniao

เรื่องย่อ

สารบัญ

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-1 พบเจอ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-2 คำสัญญา,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-3 ผูกโลหิต,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-4 ความสบายใจ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-5 นามแห่งวิญญาณ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-6 ไล่ตาม,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-7 ดำมืด,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-8 ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-9 หนทางของเวทมนตร์ 1,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-10 หนทางของเวทมนตร์ 2,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-11 หนทางแห่งเวทมนตร์ 3

เนื้อหา

7 ดำมืด



ข้าไม่คิดเช่นนั้น” เลปทีร์ทำท่านึกไปพลาง “ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยโดนปีศาจที่ไหนทำร้ายเลย ไม่สิ ไม่เคยเจอปีศาจด้วยซ้ำ” ครั้นพอเอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาสีอเมทิสต์ก็แข็งกร้าวขึ้นมา “ยกเว้นก็แต่ไอ้เวรเลือดเย็นนั่นที่ตามจองล้างจองผลาญชีวิตข้า”


ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้โนอาห์หัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีมุมเช่นนี้กับเขาด้วย”


เด็กชายผมขาวชะงัก อีกฝ่ายก้มหน้าพึมพำเสียงเบา “ขอโทษที่แสดงออกอย่างไม่เหมาะสมครับ”


“ไม่หรอก น่าสนใจดี” ปีศาจตาสองสีกล่าวยิ้มๆ “ปฎิกิริยาที่มนุษย์แสดงออกมาจะแตกต่างไปตามบุคคลที่ตนจัดประเภทไว้สินะ”


เลปทีร์กระพริบตาปริบ ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ ราวกับไม่แน่ใจ


“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เด็กชายผมขาวหลุบตามองพื้น “แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด…ข้าไม่มีความกล้ามากพอทีจะแสดงท่าทางแบบนั้นต่อหน้าเจ้าตัวหรอก”


เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ โนอาห์สังเกตเห็นว่าเลปทีร์กำหมัดแน่นเสียจนเส้นเลือดและกระดูกปูดโปนขึ้นมาบนข้อมือ แต่เพราะอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ จึงไม่อาจเห็นได้ว่าเด็กชายมนุษย์กำลังพูดประโยคนี้ด้วยสีหน้าแบบไหนอยู่กันแน่


หดหู่ สิ้นหวัง เจ็บใจ หรือปลงโลกกันนะ


ในตอนที่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ พันธะเลือดก็พลันเฉลยคำตอบออกมาให้ก่อนเสียแล้ว


เคียดแค้น


คำก่นด่ามาพร้อมกับคำสาปแช่งและความเคียดแค้นมากมายมหาศาล จนโนอาห์นึกประหลาดใจไม่ได้…


เจ้ามนุษย์ที่ดูเหมือนราวกับกระต่ายป่า ยังคงมีสีขาวและความไร้เดียงสา ยังคงมีความสุภาพและความเห็นอกเห็นใจเหมือนอย่างท่านแม่ มีความเข้มแข็งและความอ่อนโยนที่ถอดแบบมาจากนูร์ล่า


มนุษย์เช่นนั้นมีความรู้สึกดำมืดแบบนี้ด้วยหรือ...


เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใครต่อบทสนทนา ก็พลันบังเกิดความเงียบงันที่ทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงเสียดสีของใบไม้ที่กระทบกัน


ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ปีศาจตาสองสีก็พูดโพล่งขึ้นมา


“เจ้าต้องมีอำนาจเสียก่อน” ว่าพลางก็ฉีกยิ้มละไม “ดังนั้น จึงได้เวลาเริ่มบทเรียนแรกแล้ว”




***




“เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าตอนนี้ข้าไม่ควรไปลากปีศาจกลับมาที่นี่”


คาร์เซียพลิกเล็บมือไปมา “ก็หมายความตามที่พูด”


“เมื่อสักครู่เจ้าเพิ่งบอกข้าว่า..” เฮเรียสเหวี่ยงมือไปข้างหน้าอย่างใส่อารมณ์ “ถ้าข้าอยากได้พลัง ก็ควรถีบไอ้ปีศาจนั่นลงคุกใต้ดินอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่เรอะ!!!”


คาร์เซียสะบัดผมสีดำยาว ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางและเปลี่ยนมานั่งท่าไขว่ห้าง “นั่นมันก่อนที่ข้าจะรู้ว่าท่านพี่ของข้าสนใจไอ้ปีศาจนั่น”


เฮเรียสขมวดคิ้วมุ่น “เหตุผลล่ะ”


“ข้าไม่อยากทะเลาะกับท่านพี่” เด็กสาวผมดำยกมือปิดปากหาว “ก็แค่นั้น”


แต่เฮเรียสกลับรู้สึกว่าเหตุผลจะต้องไม่ใช่แค่นั้น


“เจ้าพูดถึงพี่ชายตัวเองด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเสียๆ หายๆ” เออร์เนสต์แค่นหัวเราะหึ “แต่ตอนนี้กลับบอกว่าไม่อยากทะเลาะกับพี่ชายเนี่ยนะ”


“ก็พี่ชายของข้าชอบปรากฎตัวออกมาแค่วันที่พระจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงิน” เด็กสาวเอียงคอยิ้มหวาน “ข้าจะไปทะเลาะกับพี่ชายสุดที่รักที่นานๆ จะปรากฎตัวออกมาได้อย่างไร”


“แล้วถ้าข้าตามไปลากคอไอ้ปีศาจนั่นกลับมาโดยที่ไม่ต้องพึ่งเจ้าล่ะ”


“ยิ่งดีเลย เชิญ” เธอโบกมือไปมา “ถ้าทำได้น่ะนะ”


คำพูดคำจาไร้อารมณ์ของเด็กสาวตรงหน้าทำให้เฮเรียสรู้สึกฉุนกึก เขาเดินกระทืบเท้าออกไปข้างนอกอย่างไม่พอใจ


“เจ้ารู้เหรอว่าปีศาจนั่นอยู่ที่ไหน”


เสียงเล็กๆ ที่ไล่ตามหลังมาทำให้เฮเรียสชะงัก


“ทิศใต้สุดของหมู่บ้าน” เด็กสาวป้องปากตะโกน “ระวังโดนพี่ข้าเชือดกลับมาด้วยล่ะ”


เด็กหนุ่มว่าที่เออร์เนสต์เดินอาดๆ ออกไปอย่างหัวเสีย บวกกับคำเดือนที่ไม่จริงจังของคาร์เซียก็ยิ่งทำให้เฮเรียสรู้สึกหัวเสียมากขึ้นไปอีก


ก็แค่ปีศาจที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ มันจะแผลงฤทธิ์ได้ขนาดไหนเชียว




***




ถึงจะบอกให้เริ่มบทเรียนแรกก็เถอะ


ยังไม่ทันที่เลปทีร์จะได้ประมวลผลคำพูดของโนอาห์ จู่ๆ อีกฝ่ายก็กระชากดึงเขาให้เดินออกห่างจากตัวบ้าน เด็กชายผมขาวอ้าปากจะตั้งคำถาม แต่ปีศาจตาสองสีกลับยกสองมือขึ้นบีบไหล่ของเขาแน่น


เลปทีร์ชายตามองไปทางซ้ายมือ มือของโนอาห์ที่วางบนไหล่ของเขานั้นกลายสภาพเป็นก้อนเนื้อสีแดงสดดูน่ากลัวจนเด็กชายนิ่วหน้า เขาพยายามจะบุ้ยบ้ายบอกอีกฝ่ายว่าก่อนอื่นจะปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ แต่โนอาห์กลับยิ่งใช้สองมือกดไหล่ตรึงเด็กชายให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งเขาก็ต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้


“บทเรียนแรก” โนอาห์ก้มลงใกล้เขาพลางพูดเสียงกระซิบ “เจ้าต้องฝึกควบคุมออร่าเวทมนตร์ให้ได้”


เด็กชายผมขาวมองตรงไปข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าควรตอบสนองต่อคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไร ดังนั้นจึงยืนตัวแข็งทื่อทำตัวไม่ถูก เขานิ่งรอให้อีกฝ่ายสอน ชี้แนะ ออกคำสั่ง หรืออะไรก็ตาม แต่ทว่าโนอาห์กลับไม่ยอมทำอะไรเลยสักอย่าง ไม่แม้แต่จะท่องคาถามเวทมนตร์ออกมาอย่างที่เคยทำเพื่อให้เขาได้พูดตาม เห็นเช่นนั้นในใจเลปทีร์ก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา


จากนั้นแล้ว ในศีรษะก็หวนนึกถึงเวทมนตร์ที่โนอาห์เคยบอกให้เขาท่องเมื่อก่อนหน้านี้


ก่อนหน้านั้นมีคาถาอะไรบ้างนะ


เลปทีร์ทำตาโตเมื่อนึกออก ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีอยู่คาถาหนึ่งที่เมื่อโนอาห์ให้เขาลองท่อง จู่ๆ ก็สามารถมองเห็นออร่าหลากสีขึ้นมาได้


หรือว่าบางทีโนอาห์อาจจะอยากให้เขาทวนคาถาเก่าๆ ด้วยตัวเอง?


ความคิดดังกล่าวสิ้นสุดลงทันทีเมื่อมือข้างขวาของอีกฝ่ายที่เคยวางไว้บนไหล่จู่ๆ ก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมากำรอบลำคอของเขา


“แต่ก่อนจะเริ่มเรียน” โนอาห์ขยับศีรษะเข้ามาใกล้อีก ใกล้เสียจนเลปทีร์รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่าย “ขอข้าทดสอบอะไรหน่อยก็แล้วกัน”


“ทดสอบอะ–”


ไม่พูดพร่ำทำเพลง จู่ๆ แรงบีบมือที่กำรอบลำคอเขาก็แรงขึ้น…แรงขึ้นเรื่อยๆ จนเลปทีร์รู้สึกได้ว่าลมหายใจเริ่มติดขัด ครั้นพอจะออกเสียงปราม ก็ทำไม่ได้แม้แต่จะเปล่งเสียงพยางค์แรกออกมา


โนอาห์คิดจะทำอะไร


เลปทีร์คิดในใจอย่างตื่นตระหนก เขาพยายามดิ้นรนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างทุรนทุรายขนาดไหนก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด มือแข็งแรงของอีกฝ่ายกำรอบคอของเขาราวกับโซ่ที่พันธนาการไว้ไแน่นไม่ยอมให้หนีไปไหน


เวลาผ่านไปจนรู้สึกหมือนชั่วกัปชั่วกัลย์ และเด็กชายผมขาวก็รู้สึกเหมือนตนนั้นใกล้จะสิ้นสติอยู่รอมร่อ เขาพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ใช้แขนปัดป่ายไปมาอย่างพร้อมกับพยายามแกะเอามือของอีกฝ่ายให้ปล่อยตนไป


ทั้งๆ ที่แสดงออกมาว่าไม่ไหวแล้ว


แต่แรงบีบที่กำรอบคอของเขาก็ไม่ได้แผ่วเบาลงเลย


“ข้าไม่เข้าใจ”


ปีศาจตาสองสีพึมพำ ก่อนจะส่งเสียงเฮือกออกมาราวกับสำลักอากาศ


จู่ๆ โนอาห์ก็ปล่อยมือออกจากคอของเขา และเด็กชายที่ใช้แรงทั้งหมดไปกับการดิ้นรนก็ทรุดนั่งลงกับพื้นทันที ก่อนจะรีบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งระหว่างที่ยังหอบหายใจไม่หาย–


ตอนนั้นเองที่โนอาห์ก็ก้มตัวลงมาพลางยกมือขวาขึ้นแตะไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบา เด็กชายผมขาวที่ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกับสถานการณ์เมื่อครู่ถึงกับสะดุ้งโหยง เขายกสองแขนขึ้นมาบังพร้อมกับหลับตาปี๋ ในใจเริ่มหวนนึกถึงเวทมนตร์บทนั้นขึ้นมาอีกครั้ง


เวทมนตร์ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็ง


“ไม่เป็นไร” โนอาห์เลื่อนมือขึ้นมาวางบนศีรษะของเลปทีร์ “ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้าหรอก”


แต่เมื่อครู่ข้าเกือบจะตายจริงๆ!! เขานึกในใจ


“ขอโทษด้วย” เอ่ยเช่นนั้นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ข้างเขา “ข้าแค่อยากรู้ว่าเวทมนตร์นี้ปกป้องอะไรอยู่กันแน่”


เลปทีร์ยกแขนปาดเหงื่อ เขาเหลือบมองคนข้างตัวที่ยังคงทำสีหน้าเคร่งเครียด


“ท่าน..หมายความว่ายังไง? ”


คำถามของเด็กชายทำให้โนอาห์หันมาสบตาตรงๆ


“ตอนแรกข้าคิดว่านางกางกั้นเขตแดนเอาไว้เพื่อปกป้องเจ้า” โนอาห์ว่า “แต่พอมาคิดดูอีกที เขตแดนนี่ไม่แม้แต่จะส่งออร่าออกมาจัดการข้า ทั้งๆ ที่ข้าแสดงอาการมุ่งร้ายออกมาชัดเจนว่าจะทำร้ายเจ้าแท้ๆ ” ครั้นแล้วปีศาจตาสองสีก็หันไปมองบ้านแสนซอมซ่อตรงหน้า “นั่นหมายความว่าสิ่งที่นางปกป้องจริงๆ ก็คือสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น”


“ชั้นวางหนังสือหรือ” เลปทีร์ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาจับคอตัวเองที่ยังให้ความรู้สึกร้อนผ่าว “ในนั้นไม่มีอะไรที่มีค่าแล้วนอกจากชั้นวางหนังสือที่ทำมาจากไม้ในป่าเจ็ดสี”


“แค่ชั้นวางของจำเป็นต้องกางเขตแดนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ” โนอาห์ตั้งข้อสังเกต “ไม่น่าใช่”


เลปทีร์เงียบ เขาเองก็คิดไม่ออกแล้วว่าในนั้นจะมีอะไรอย่างอื่นที่มีค่าอีกนอกจากชั้นวางหนังสือที่ท่านแม่คอยทะนุถนอมเป็นอย่างดี


โนอาห์เองก็เงียบไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนและค่อยๆ ถอยออกมาเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา


“เมื่อสักครู่ ขอโทษ” ปีศาจตาสองสีก้มศีรษะมาทางเขา “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเจ้าขนาดนั้น”


ใช่ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ


ทีแรกเขาแค่ตั้งใจจะดูปฎิกิริยาเวทมนตร์ของเขตแดนชั้นสูงที่คลุมบ้านไว้เท่านั้น แต่ว่าทันทีที่เริ่มบีบรอบลำคอของเลปทีร์ จู่ๆ อารมณ์ดำมืดบางอย่างก็ผุดโผล่ขึ้นมาในใจ


มันคือความรู้สึกที่บอกว่ามนุษย์ตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยในกำมือ ที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ชะตาชีวิตของคนตรงหน้าขึ้นอยู่กับเขา…ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น


มันคืออารมณ์ชั่ววูบ เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นมาโดยที่โนอาห์เองยังไม่แม้แต่จะทันได้ตั้งตัว เป็นอารมณ์ทระนงตน หยิ่งผยอง สำคัญว่าตนนั้นมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า


สัญชาตญาณของปีศาจ…สัญชาตญาณชั้นต่ำและดำมืดนั้นมันครอบงำกินเขาเข้าไปเสียแล้ว


จนกระทั่งเห็นเลปทีร์ที่ทำสีหน้าเหมือนกับท่านแม่ในตอนนั้นนั่นล่ะ จึงตกใจและได้สติ ก่อนจะรู้ตัวและรีบปล่อยมือออกจากคอของอีกฝ่าย


“ข้าคิดว่าเจ้าควรผูกพันธะเลือดไว้กับนามแห่งวิญญาณของข้า” เอ่ยถึงตรงนี้โนอาห์ก็หลับตาลง “เผื่อว่าเกิดเหตุเหมือนอย่างเมื่อครู่…”


จากนั้นแล้ว ภาพของกระต่ายสีขาวที่ถูกแยกชิ้นส่วนเป็นชิ้นๆ แขนขาของมันที่กระจัดกระจาย ไส้และเครื่องในที่ถูกควักออกมาเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดย้อมผืนดินก็พลันปรากฎขึ้นมาในใจ


โนอาห์เบิกตากว้าง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นภาพของเจ้ากระต่ายนั่นซ้อนทับกับภาพของเลปทีร์


“ใช่” ปีศาจตาสองสีพึมพำ “แบบนี้ดีกว่า”


ให้เลปทีร์ถือครองนามแห่งวิญญาณของเขา หากว่าเขาเผลอทำอะไรเลวร้ายลงไปเหมือนอย่างเมื่อครู่อีก เลปทีร์ที่มีอำนาจเหนือนามแห่งวิญญาณของเขาก็จะสามารถหยุดเขาเอาไว้ได้ด้วยการออกคำสั่ง


เด็กชายผมขาวที่นั่งอยู่ไกลๆ ส่งสายตาเป็นกังวลมาทางเขา อีกฝ่ายทำท่าจะลุกมาหา แต่โนอาห์ก็เลือกที่ยกมือขึ้นปราม “อยู่ตรงนั้น” เขาว่า “ข้าจะสอนวิธีควบคุมให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่งด้วยการใช้นามแห่งวิญญาณ”


เลปทีร์ชะงัก


“เจ้าต้องพูดนามแห่งวิญญาณของข้าเจ็ดครั้ง” พูดถึงตรงนี้โนอาห์ก็ยื่นแขนออกไปข้างหน้า” จากนั้นเจ้าต้องท่องคาถาที่จะทำให้นามแห่งวิญญาณของข้าหมดอำนาจ–”


ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค


จู่ๆ โนอาห์ก็ล้มพับไปต่อหน้าต่อตาเลปทีร์จนเด็กชายถลาวิ่งเข้าไปรับร่างที่เอนลงมาแทบไม่ทัน แต่ด้วยความที่ไม่ทันได้นึกข้อเท็จจริงที่ว่าร่างของอีกฝ่ายทั้งสูงและหนักกว่าตนมากนัก


ก็กลับกลายเป็นเด็กชายต้องกลายเป็นเบาะรองร่างให้โนอาห์ที่จู่ๆ ก็หมดสติไปโดยปริยาย


“ท่านโนอาห์” เลปทีร์เหลือบมองใบหน้าของอีกคนที่ซุกอยุ่ข้างหัวไหล่ของเขา “เป็นอะไรไป–”


“เปล่า”


เด็กชายเบิกตากว้าง เขาไม่ได้รู้สึกไปเองว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอีกครั้ง


“ข้าสบายดี”


อีกฝ่ายค่อยๆ ใช้ข้อศอกยันตัวขึ้นมาอยู่ในท่าคร่อมร่างของเขา


“แค่อยากจะบอกอะไรให้รู้ไว้”


เด็กชายผมขาวกลืนน้ำลายเอื้อก แสงจันทร์สีน้ำเงินที่สาดส่องขับให้ใบหน้าของโนอาห์ในตอนนี้ดูสงบสุขุมและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมสิบเท่า


“ข้ารักอิสระ” โนอาห์ฉีกยิ้มแยกเขี้ยว ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นมาจับกรามของเขา


มือนั้นให้ความรู้สึกเย็นเฉียบ ไม่มีไออุ่นที่รู้สึกถึงชีวิตของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย


“เจ้าบุตรชายของอากาเธีย อย่าไปตกลงอะไรเรื่องนามแห่งวิญญาณกับโนอาห์ง่ายๆ แบบนั้นสิ “ปีศาจตาสองสีว่าพลางก้มหน้าเข้ามาใกล้อีกจนเส้นผมสีทองสยายยาวลงมา “ที่จริงข้าก็ถูกใจเจ้าเหมือนกับโนอาห์นั่นล่ะ”


น้ำเสียงเย็นเยียบของอีกฝ่ายทำให้เลปทีร์กลืนน้ำลายเอื้อก


“แต่อย่าล้ำเส้นให้มากนักก็พอ”


โนอาห์ยิ้มเย็น


“ให้กันได้ใช่ไหม คูนิโคลัสของข้า”