ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่นปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผูกนามแห่งวิญญาณ
นั่นคือสิ่งที่โนอาห์คิด
เขาพอจะทำความเข้าใจได้ลางๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นที่คาดเดาจากเรื่องราวที่เคยได้ยินมา
ว่ากันว่าปีศาจที่ไม่อาจดื่มเลือดของมนุษย์ได้คือปีศาจนอกคอก เมื่อดื่มเลือดมนุษย์ไม่ได้ย่อมไม่อาจสัมผัสหรือเข้าถึงพลังเวทมนตร์อันเป็นแก่นแท้ได้
ด้วยเหตุนี้ ปีศาจนอกคอกส่วนใหญ่จึงมีอุดมการณ์หรือแนวคิดที่ไม่สมกับปีศาจ…คล้ายคลึงกับมนุษย์เสียมากกว่า
เมื่อไร้ซึ่งความปรารถนา ความกระหาย และความละโมบต่างจากปีศาจทั่วไป จิตใจที่ดำมืดซึ่งเป็นตัวตนของปีศาจก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ กลายเป็นสะสมและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
จากนั้นแล้ว สักวันหนึ่ง หรือวันใดวันหนึ่ง ความมืดมิดที่สะสมไว้นั้นก็จะโผล่ขึ้นมาในคราวเดียวและทำให้ปีศาจตนนั้นเสียสติและบ้าคลั่ง--สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นปีศาจที่จมดิ่งสู่อนธการ กลายเป็นปีศาจที่สูญเสียสติของตนเอง กลายเป็นปีศาจผู้เสื่อมทรามที่พร้อมจะกวาดล้างทุกอย่างให้พังราบเป็นหน้ากลอง
แต่ว่านั่นก็เป็นแค่เรื่องเล่าโบราณเท่านั้น ที่ผ่านมาไม่มีปีศาจตนไหนที่ไม่กินเลือดมนุษย์ ไม่มีปีศาจตนไหนที่ใช้พลังเวทไม่ได้
ไม่มีเลย
ยกเว้นก็แต่ท่านแม่
ท่านแม่ที่กลายเป็นปีศาจนอกคอกตนแรกในรอบห้าร้อยปีทำให้ช่วงแรกๆ พวกปีศาจขุนนางต่างก็หวั่นเกรงท่านแม่กันมาก
แต่ว่า
แต่ว่าท่านแม่นั้นสุดแสนจะอ่อนโยน ทั้งนุ่มนวลและเปราะบางราวกับดวงแก้ว ไอ้คำกล่าวที่ว่าปีศาจที่ไม่กินเลือดมนุษย์สุดท้ายแล้วบั้นปลายชีวิตก็จะกลายเป็นปีศาจร้ายในหมู่ปีศาจ
ท่านแม่ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องตลกขำขันไปเสียแล้ว
สภาพร่างกายอันอ่อนแอของท่านแม่ยิ่งตอกย้ำทำให้เห็นว่าคำบอกเล่าโบราณช่างเพ้อพกไร้สาระ ปีศาจเช่นนั้นหรือจะกลายเป็นผู้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ไม่มีทางเสียหรอก
ยิ่งท่านแม่สิ้นอายุขัยในสภาพที่จากไปอย่างสงบ ก็ยิ่งทำให้คำกล่าวโบราณเหล่านั้นไร้ค่าไปทันตา เห็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัวพวกปีศาจนอกคอกต่อไป ปีศาจที่กินเลือดมนุษย์ไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นแค่ปีศาจอ่อนแอไร้กำลัง
โนอาห์เองก็ด้วย เขาเองก็ไม่ต้องหวาดกลัวตัวเองอีกแล้วว่าตนอาจจะกลายเป็นปีศาจร้ายที่ยิ่งกว่าปีศาจร้าย ปีศาจร้ายผู้นำพาภัยพิบัติแห่งความตายมาสู่ทุกชีวิตบนโลก
…
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเลปทีร์ก็ทำให้เริ่มกังวลขึ้นมา
หรือบางทีการที่ท่านแม่สามารถจากไปได้อย่างสงบ นั่นก็เพราะเป็นผลพวงจากพลังของนูร์ล่าหรือเปล่านะ
โนอาห์จึงสันนิษฐานว่าตนนั้นอาจจะสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองเหมือนกับเรื่องราวโบราณที่เล่าสืบต่อกันมา
ท่านแม่ไม่ได้มีจุดจบเหมือนกับคำพูดพวกนั้นก็จริง…แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีจุดจบแบบนั้นนี่ อีกอย่าง…ในเมื่อนูร์ล่าจากไปแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีใครรู้วิธีหยุดยั้งความคลั่งของปีศาจนอกคอกอีกแล้ว
เขาไม่อยากกลายเป็นแบบนั้น
ตอนนี้…หนทางเดียวที่เขาคิดออกคือการผูกนามแห่งวิญญาณไว้กับเลปทีร์ .. เพื่อที่เด็กชายจะได้สามารถหยุดเขาในตอนที่กำลังคลุ้มคลั่งได้
สามาถฆ่าเขาได้
เด็กชายผู้มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ ทั้งยังเป็นบุตรชายของนูร์ล่าคนนั้นอีก…
“ถ้าท่านผูกนามแห่งวิญญาณไว้กับข้า ท่านก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าตลอดกาล มันต่างจากการที่ต่างฝ่ายต่างรู้นามแห่งวิญญาณของกันและกัน…” เลปทีร์ขมวดคิ้วมุ่น “อิสระของท่านจะหายไปไม่ใช่หรือ”
อิสระ
โนอาห์พยักหน้า นึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดของคนตรงหน้า เขาไม่ได้นึกถึงคำๆ นี้มาก่อน
“ท่านยอมรับได้หรือ”
“ข้ายอมรับได้” เขาตอบทันควัน ยืนกรานอย่างแข็งขัน แต่น่าแปลกที่ในวินาทีต่อมากลับรู้สึกสั่นไหวและลังเลใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
มีแวบหนึ่งที่โนอาห์นึกขึ้นมา เขาจะยอมรับได้จริงน่ะหรือ
แต่ภาพของโลหิตสีแดง กระต่ายสีขาว และเด็กชายคนนั้นที่ผุดขึ้นมาในใจก็ทำให้ปีศาจตาสองสีตัดสินใจได้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องทำ อย่างไรเสียก็ต้องผูกนามแห่งวิญญาณ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดหรือเปล่าก็ตาม แม้จะไม่รู้ว่าในอนาคตตนจะเสียใจหรือเปล่าก็ตาม
แต่ในตอนนี้มันคือสิ่งที่สมควรทำมากที่สุดไม่ใช่หรือ
ตอนนั้นเองที่มืออันสั่นเทาของเด็กชายผมขาวพลันยื่นมาวางบนต้นแขนของเขาอย่างแผ่วเบา
“ไม่”
เลปทีร์สั่นศีรษะ “ไม่” เด็กชายเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ “ท่านยอมรับและทำใจไม่ได้หรอก”
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”
“เพราะข้ารู้สึกได้” เด็กชายผมขาวหลุบตามองผืนดิน “ข้ารู้สึกได้..ถึงความลังเลในใจท่าน”
บางทีพันธะโลหิต…อาจจะเริ่มสำแดงฤทธิ์แล้วกระมัง
เมื่อเวลาผ่านไป ต่างฝ่ายต่างก็จะรับรู้ความรู้สึกของกันและกันเสมือนใช้เวทอ่านใจ
ที่พันธะโลหิตถูกกล่าวขานกันว่าเป็นพันธะเดียวที่สามารถทำให้คู่ของพันธะไม่อาจทรยศกันแและกันได้
ก็เพราะว่าเป็นพันธะเดียวที่สามารถมอบความสามารถในการอ่านใจให้กับผู้ทำพันธะนี่ล่ะกระมัง
ความเงียบงันดำเนินไปสักพัก และเลปทีร์ก็เป็นฝ่ายเสนอตัวขึ้นมา
“ท่านไม่อยากถูกพรากอิสระ ส่วนข้าก็ไม่อยากพรากอิสระไปจากท่าน” เด็กชายผมขาวทำท่าราวกับตัดสินใจได้ “มีหนทางที่ง่ายกว่านั้นไม่ใช่หรือ”
เป็นโนอาห์ที่ต้องเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ “หนทางที่ง่ายกว่า? ”
“สอนเวทมนตร์ให้ข้าสิ” เลปทีร์ยิ้มกว้าง “ตอนแรกท่านตั้งใจจะสอนเวทมนตร์ให้ข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ปีศาจตาสองสีพยักหน้า “ใช่”
“ท่านบอกว่าข้าเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์” เลปทีร์สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาในคราวเดียว “ข้าก็จะเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ให้ท่าน ข้าจะแข็งแกร่งขึ้น”
“อัจฉริยะแบบไหน”
“ตามที่ท่านต้องการ”
“ถ้าข้าอยากให้เจ้าเก่งเวทมนตร์ทุกแขนง เจ้าก็จะทำได้หรือ”
เลปทีร์ลังเล แต่ก็ตกลงจนได้ในที่สุด “ใช่”
ไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยจนจบประโยค เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าประโยคต่อไปที่เลปทีร์จะพูดขึ้นมาคืออะไร…
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเปิดปากเสนอตัวเอง มีหรือที่เขาจะปฎิเสธ..
“ข้าจะเป็นคนลงมือเอง” เลปทีร์ค้อมศีรษะลงมาเล็กน้อย “หากท่านคลุ้มคลั่งขึ้นมา ข้าจะจัดการท่านด้วยพลังของข้าเอง”
เอาเถิด เขาเองก็ไม่ใช่ปีศาจที่ดีเด่อะไร การสังหารเขาไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายจมดิ่งสู่ความมืดได้หรอก
เลปทีร์มีหน้าที่กำจัดเขา..มือเปื้อนเลือดด้วยการฆ่าเขาแค่คนเดียวก็พอแล้ว..
คำพูดของเด็กชายผมขาวทำให้เขาอดที่จะยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
“จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้านะ คูนิโคลัส”
แข็งแกร่งเหมือนกับน้องสาวของเขา
เลปทีร์ยังคงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“เจ้ารู้หรือว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน”
“ข้าไม่รู้” เด็กชายสารภาพด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ “แต่ข้าจะพยายาม”
คำตอบนั้นช่างถูกใจโนอาห์เสียเหลือเกิน
“เจ้าจะต้องพยายามมาก” เขายิ้ม “มากๆ เลยทีเดียว”
***
ในเมื่อเขตแดนทำให้โนอาห์เข้าไปในบ้านของเขาไม่ได้ เลปทีร์จึงเลือกที่จะพาโนอาห์ไปยังที่พักอาศัยที่ตนสร้างขึ้นมาชั่วคราวแทน เป็นที่พักที่เด็กชายสร้างขึ้นภายในถ้ำกลางป่าเพื่อหลบเลี่ยงพวกอันธพาลที่คอยจ้องจะรังแก ในนั้นมีเพียงแค่ชั้นวางของ ลังใส่เสบียงจำพวกอาหารแห้ง โต๊ะเขียนหนังสือเก่าๆ และเก้าอี้ที่จับฝุ่นเขรอะเท่านั้น
เป็นที่หลบภัยชั่วคราวของจริง
เลปทีร์ยืนมองโนอาห์ที่ทำท่าสำรวจอย่างสนอกสนใจ..โนอาห์ที่มีรูปลักษณ์ราวกับพวกคนในปราสาท..รูปลักษณ์งดงามเหมือนเฮเรียส
งดงามเหมือนพวกชนชั้นสูง
ต่างก็เพียงแค่โนอาห์ไม่เคยแสดงท่าทางดูถูกเขาเหมือนกับพวกนั้น…พวกเฮเรียสที่ทำให้ชีวิตของเขาราวกับตกนรกทั้งเป็น
นั่นทำให้เลปทีร์อดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่สร้างเขตแดนที่กีดกันพวกมนุษย์ไร้หัวใจพวกนั้น แทนการสร้างเขตแดนกางกั้นปีศาจที่เขาแทบจะไม่เคยพบเคยเห็นกันนะ
แต่ว่า..
คำถามก่อนหน้านี้ที่โนอาห์เคยถามเขา..คำถามที่ว่าเขากับแม่ถูกปีศาจที่ไหนไล่ตามอยู่หรือเปล่าก็ทำให้เลปทีร์ฉุกคิดได้ว่าบางทีท่านแม่อาจจะมีเหตุผลบางอย่าง..เหตุผลที่ไม่อาจบอกเขาได้
…
บางทีถ้าหากเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางของเวทมนตร์เรื่อยๆ แบบนี้ ก็อาจจะตามหาเบาะแสของคำตอบเจอก็เป็นได้
***
" เจ้าน่ะเป็นข้อยกเว้น "
โนอาห์ในตอนนี้มัดรวบผมไว้ข้างหลัง เส้นผมสีทองและผิวสีขาวผ่องที่ตัดกับสภาพแวดล้อมมืดทึบซอมซ่อ ทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางเหลือเกิน
ปีศาจตาสองสีกำลังอธิบายเงื่อนไขการใช้เวทมนตร์ให้เลปทีร์ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
" ปกติแล้วเจ้าจะต้องเข้าใจความหมายของภาษาและคาถาที่เจ้าท่องออกมาเสียก่อน เพื่อที่เวลาใช้งานจะได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด"
เลปทีร์พยักหน้าหงึกหงั่ก ในใจอดคิดไม่ได้ว่าพอสลับบทบาทกลายมาเป็นผู้สอนแล้ว อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะพูดเยอะขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" แต่เจ้าแค่ท่องตามข้าทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมาย" โนอาห์ผายมือออกกว้าง " กระนั้นเวทมนตร์ก็ยังทรงพลังถึงเพียงนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าอาจจะมีเชื้อสายพิเศษซึ่งเป็นที่รักของออร่าเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ในตัว " เอ่ยถึงตรงนี้คนรูปงามก็ฉีกยิ้มกว้าง " หรือก็คือถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์เลย เจ้าก็ยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อิสระ ตราบใดที่เจ้าท่องคาถาได้ถูกต้อง "
เชื้อสายพิเศษซึ่งเป็นที่รักของออร่าเวทมนตร์…
เลปทีร์สงสัย แปลกใจและงุนงง แต่เพราะอีกคนดูจดจ่อกับการอธิบาย เขาจึงทำได้แค่ทดคำถามไว้ในใจ
คนรูปงามชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
" หรือก็คือถึงแม้ว่าข้าจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ด้วยสมองที่สามารถจำคาถาเวทมนตร์ได้เกือบทั้งหมดสองร้อยบท " โนอาห์ยักไหล่ " ข้าจึงเป็นครูสอนเวทมนตร์จำเป็นให้เจ้าได้ยังไงล่ะ…แต่ก็สอนได้แค่เจ้าล่ะนะ"
เลปทีร์ส่งยิ้มฝืดเฝือให้อีกฝ่าย ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี เนื่องด้วยสมองในตอนนี้แทบจะประมวลผลเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ทันแล้วด้วยซ้ำ
ทว่า
ทว่าคนตรงหน้ากลับกำลังส่งยิ้มเจิดจ้าให้เขา โนอาห์ดูดีใจที่ได้สอนเขา...อีกฝ่ายแสดงท่าทางกระตือรือร้นออกมาอย่างชัดเจน ทั้งสีหน้าก็ดูผ่อนคลายและโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาช่วยปลดเปลื้องความกังวลที่อีกฝ่ายแบกรับไว้บนบ่าให้เบาลง
มีแค่เรื่องนี้กระมั้งที่เลปทีร์รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี
***
โนอาห์กล่าวทวนคาถาที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้ให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง พอเด็กชายลองพูดตาม ก็ปรากฎว่าเป็นคาถาที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นออร่าเวทมนตร์รอบตัว ครั้นพอลองอีกคาถาหนึ่ง ก็ปรากฎว่าเป็นคาถาที่ทำให้เจ้านกฮูกตาโตที่เกาะอยู่ขอบกำแพงถ้ำล้มตึงลงมา คาถาที่ทำให้หลับ..
เมื่อเห็นว่าเขาสามารถร่ายคาถาบทเก่าๆ ที่เคยเรียนได้อย่างง่ายดาย บทถัดมาโนอาห์ก็สอนให้เขาควบคุมออร่าเวทมนตร์ คนรูปงามย้ำเขาถึงสามสี่ครั้งว่าการจะควบคุมออร่าเวทมนตร์ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากครั้งแรกเขาทำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไร
ทว่าเมื่อทดลองทำแล้ว สำหรับเลปทีร์มันช่างง่ายดายมากเสียจนตนอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่าให้จับขวานตัดฟืนยังรู้สึกเหนื่อยหอบมากกว่านี้เลย
การควบคุมออร่าเวทมนตร์นั้นทำให้ใช้เวทมนตร์ได้ง่ายกว่าการท่องคาถา หากจะจุดไฟขึ้นมาบนฝ่ามือ ผู้ใช้เวทบางคนอาจจะต้องท่องคาถายาวเหยียดเพียงเพื่อร่ายไฟสักลูกขึ้นมา แต่สำหรับนักเวทบางคนที่สามารถควบคุมออร่าเวทมนตร์ได้ เพียงแค่ร้องขอหรือออกคำสั่งกับออร่าเวทมนตร์ธาตุนั้นๆ พวกมันก็จะเนรมิตพลังให้ตามที่ต้องการ
“ร้องขออย่างไร” เลปทีร์หันไปถามโนอาห์ด้วยความสงสัย “พวกมันมีภาษาของตัวเองไหม? ต้องพูดภาษาของพวกมันหรือเปล่า? ”
โนอาห์ส่ายศีรษะและตวัดสายตากลับมาจ้องเขา “สำหรับเจ้า..แค่ร้องขอด้วยภาษามนุษย์ก็เพียงพอแล้ว”
เลปทีร์มองออร่าสีฟ้าที่หมุนวนอยู่รอบตัวเขา ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกางมือออกและร้องขอออร่าเวทมนตร์ธาตุน้ำให้เปลี่ยนบริเวณที่ตนและโนอาห์ยืนอยู่ให้กลายเป็นน้ำแข็ง เขาพยายามร้องขอมันด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนหวานที่สุด
ซึ่งออร่าเวทมนตร์สีฟ้านับร้อยก็จัดการให้ในพริบตา
ผืนแผ่นดินสีน้ำตาลถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งสีใสพราวระยับ ไอเย็นสีขาวคละคลุ้งไปทั่ว ทั้งความเย็นที่กระทบผิวกายก็ทำให้รู้ว่าน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ใต้ฝ่าเท้าคือของจริง เด็กชายมองรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจอย่างไม่เชื่อว่านี่คือฝีมือของตน
“ทำได้ขนาดนี้ อีกไม่นานก็คงกลายเป็นนักบุญเต็มตัวแล้วกระมั้ง”
เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับกำลังรำพึงต่อตนเอง แต่ทว่าเลปทีร์ก็ยังคงได้ยิน
“นักบุญหรือ? ”
เขาถามออกไปทันควันอย่างไม่เชื่อหู
“ข้าน่ะหรือจะเป็นนักบุญ”