ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่นปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...
การที่โนอาห์พูดเช่นนั้น หมายความว่าอีกฝ่ายประเมินเขาไว้ว่าในอนาคตข้างหน้ามีสิทธิ์ที่พลังจะเติบโตเทียบเคียงพอกับนักบุญ..
ทีแรกเลปทีร์คิดว่าอีกฝ่ายคงแค่พยายามให้กำลังใจเขา..
แต่ความรู้สึกเชื่อมั่นและความคาดหวังที่หลั่งใหลเข้ามาทำให้เด็กชายรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดจริง
หากเป็นเลปทีร์เมื่อก่อนหน้านี้ คำพูดเช่นนั้นคงจะทำให้เขารู้สึกใจชื้นและมั่นใจขึ้นมา
…
เลปทีร์เคยเห็นพลังเยียวยาของนักบุญมาก่อน…มันต่างกับพลังรักษาของผู้เยียวยาโดยสิ้นเชิง
พลังของนักบุญนั้นสามารถรักษาบาดแผลสาหัสสากรรจ์ให้หายเป็นปลิดทิ้งได้ในอึดใจเดียว มิหนำซ้ำยังสามารถรักษาโรคหายยากให้หายขาดได้ภายในห้าวัน
เพราะนักบุญนั้นคือผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังของเทพีอคานธาได้อย่างอิสระ
ต่างจากผู้เยียวยาที่ใช้พลังรักษาได้อย่างจำกัด
ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้พลังของเทพหรือเทพีได้ อย่างกรณีของเทพีอคานธาผู้เป็นเทพีแห่งการรักษาเยียวยา พลังรักษาของผู้เยียวยาและนักบุญทุกคนล้วนแล้วแต่มีรากฐานมาจากนาง
ซึ่งนางจะมอบพลังให้กับมนุษย์ที่นางรู้สึกถูกใจในคุณสมบัติเท่านั้น
แล้วต้องมีคุณสมบัติอย่างไร...ไม่มีใครรู้เลย
ดังนั้นนักบุญและผู้เยียวยาจึงได้รับความเคารพจากคนหมู่มาก และหายากทีเดียว เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเงื่อนไขในการรับพลังจากเทพีอคานธาคืออะไร
แม้จะว่าหายากนักหนา ทว่าผู้เยียวยาก็ยังคงมีประจำอยู่ทั่วทุกอาณาจักรกระจัดกระจายกันไป
แต่นักบุญกลับมีไม่เคยถึงห้าคนด้วยซ้ำไป
เขาได้ยินว่าปัจจุบันนี้มีนักบุญศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับเลือกอยู่แค่สามคนเท่านั้น
หนึ่งในนั้นสามคนนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
เลปทีร์กำๆ แบๆ มือของตัวเองอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะเงยหน้ามองโนอาห์ที่หันมาสบตากับเขา
“ท่านสงสัยไหมว่าทำไมข้าจึงไม่ยอมหลบหนีไปที่อื่น ทั้งๆ ที่โดนคนของที่นี่ทำร้ายตั้งมากมาย"
หัวข้อการสนทนาที่เปลี่ยนไปทำให้โนอาห์ต้องเลิกคิ้วมองด้วยความฉงน
จากนั้นแล้ว
ปีศาจเจ้าของตาสองสีก็ค่อยๆ พยักหน้าอย่างช้าๆ
" แต่เพราะคิดว่าเจ้าคงมีเหตุผลของตัวเอง ข้าจึงไม่ได้เอ่ยปากถาม" โนอาห์ว่าพลางยกมือขาวนวลขึ้นมาวางบนศีรษะของคนตัวเล็กกว่าอย่างอ่อนโยน " ในโลกแห่งนี้มีมนุษย์ที่เกลียดปีศาจนักหนา และมีมนุษย์ที่แสนดีกับปีศาจเหลือหลาย.."
มือนั้นค่อยๆ สางเส้นผมของเลปทีร์ไปมาอย่างเอ็นดู " มีมนุษย์ที่แสนดีอย่างแม่ของเจ้าอยู่…ยอมช่วยเหลือแม่ของข้า ทั้งๆ ที่นางเองเคยถูกปีศาจทำร้ายมาก่อนแท้ๆ … " พูดมาถึงตรงนี้อีกฝ่ายก็พลันหลุบตาลงด้วยท่าทางครุ่นคิด “มีมนุษย์ที่ตามฆ่าเผ่าพันธุ์ของข้าไปยังสุดขอบโลกเพียงเพราะเชื่อว่าปีศาจทุกตัวชั่วร้ายอยู่ ทั้งๆ ที่มันเองก็ได้ปีศาจช่วยไว้แท้ๆ ” ครั้นแล้วก็คนรูปงามก็หันมาส่งยิ้มละไมให้กับเขา " โลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ซับซ้อนมากเสียจนไม่สามารถตัดสินตามภาพที่เห็น…ไม่อาจใช้ตรรกะที่ตนเคยประสบพบเจอมาตัดสินตัวบุคคลได้”
นิ้วเรียวยาวของโนอาห์เริ่มม้วนปลายเส้นผมของเขาไปมา
“ข้าเป็นใครเล่าจึงมีสิทธิ์มาสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงกระทำเช่นนั้น ไม่ยอมกระทำเช่นนั้น "
เด็กชายผมขาวเบิกตากว้าง น้ำเสียงสบายๆ ของโนอาห์ทำให้เขารู้สึกราวกับได้ปลดล็อคอะไรบางอย่างในใจ
“ตรงนี้”
เลปทีร์ใช้นิ้วขวาจิ้มบริเวณหัวไหล่ซ้ายของตน
“มีอักขระกักขังวาดไว้อยู่”
!
ได้ยินเช่นนั้นโนอาห์ก็ขมวดคิัวมุ่น บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันหมายความว่าอะไร
“ใครทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นกับเจ้า”
“ท่านนักบุญผู้สูงส่ง” เลปทีร์ฉีกยิ้มฝืดๆ ออกมา “แองเจส”
การที่มีอักขระกักขังประทับบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หมายว่าเจ้าตัวนั้นถูกสาปให้ต้องอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งในพื้นที่จำกัดจนกว่าจะสิ้นอายุขัย เป็นคำสาปที่มีเพียงพวกนักบุญเท่านั้นที่ใช้ได้ เนื่องจากคำสาปชนิดนี้เป็นคำสาปที่ใช้เล่นงานพวกปีศาจหรือสัตว์ประหลาดที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อมนุษย์เกินกว่าที่พวกนักบุญหรือพาลาดินจะรับมือไหว ไม่สามารถกำจัดให้สูญสลายได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ จึงทำได้เพียงกักขังไว้เท่านั้น
“แองเจสคนนั้นหรือ…นักบุญผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้ปกป้องอาณาจักรเอียสตัน”
เอียสตัน
เป็นชื่อที่ไม่ได้ยินมานานมากเสียจนเลปทีร์เกือบจะลืมไปเสียแล้วว่าสถานที่ๆ ตนเคยอาศัยอยู่นั้นชื่อว่าเอียสตัน..เมืองหลวงเอียสตัน
เด็กชายผมขาวหยักหน้าหงึก “แองเจสคนนั้นนั่นล่ะ”
“อะไรที่ทำให้เขาต้องลงมือสาปเจ้าเช่นนั้น”
“เพราะเขาคิดว่าข้าเป็นปีศาจ” เลปทีร์เม้มริมฝีปากแน่น “เขาคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าบุตรชายขุนนาง เขาคิดว่าข้าเป็นต้นตอของพลังสีดำชั่วร้ายที่ปรากฎออกมากลางเมืองหลวงเมื่อเจ็ดปีก่อน”
โนอาห์ยังคงยืนนิ่งฟัง
" ทั้งๆ ที่ตัวต้นเหตุก็คือเจ้าบุตรชายขุนนางนั่น และคนที่มาช่วยข้าไว้ไม่ให้ถูกลูกขุนนางนั่นฆ่าก็คือท่านแม่ "
ปีศาจตาสองสีกะพริบตาเชื่องช้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น
" แองเจสจะฆ่าข้า แต่ท่านแม่ขอร้องเอาไว้ ดังนั้นโทษทัณฑ์จึงเปลี่ยนจากสั่งประหารมาเป็นเนรเทศให้ไปอยู่สุดชายขอบอาณาจักร" เลปทีร์เล่ามาถึงตรงนี้ก็เริ่มฉีกยิ้มฝืดเฝื่อน " แม้จะต้องอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ ข้าก็คิดว่าไม่เป็นไร หลงนึกว่าอย่างน้อยทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ แต่ไม่ใช่เลย "
โนอาห์คาดเดาเรื่องราวได้ในที่สุด
" แลกกับโทษประหาร เขาสาปเจ้าให้ต้องอาศัยอยู่แต่ในพื้นที่ๆ จำกัดไว้สินะ"
เลปทีร์พยักหน้า
" ทีแรกข้าคิดว่าเป็นเพราะเจ้าปีศาจมันเเล่นเล่ห์ลวงอะไรสักอย่าง ท่านนักบุญผู้สูงส่งจึงได้เข้าใจข้าผิดไปว่าข้าเป็นปีศาจ "
ใช่ เขาคิดว่าปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งมากจนถึงขนาดทำให้ท่านนักบุญแองเจสถึงกับสับสน
แต่เขามารู้ทีหลังว่าไม่ใช่
ที่จริงแล้ว
มันเป็นเพราะว่านักบุญนั่นคิดจ้องจะหาแพะรับบาปต่างหากเล่า
" ที่ท่านพูดว่าอีกหน่อยข้าจะมีพลังทัดเทียมนักบุญก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว " เลปทีร์ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง " ก็ในเมื่อนักบุญทุกคนในตอนนี้นั้น… "
ไม่ต้องให้เด็กชายผมขาวเอ่ยจนจบประโยค โนอาห์ก็พลันเข้าใจในบัดดล
นักบุญทุกคนในตอนนี้ล้วนแล้วแต่ทำพันธญญากับปีศาจหมดแล้วทั้งนั้น
“ในอนาคตข้าอาจจะเป็นนักบุญก็ได้” เลปทีร์ก้มลงมองฝ่ามือของตนพลางหัวเราะฝืนๆ “แต่ไม่ใช่นักบุญที่ขาวสะอาดเหมือนอย่างเหล่าผู้กอบกู้เมื่อยี่สิบปีก่อนหรอก”
ความรู้สึกของโนอาห์ที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้เด็กชายค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง
อีกฝ่ายกำลังคาดหวังให้เขาเป็นแสงสว่างเหมือนอย่างท่านแม่ คาดหวังให้เขาสะอาดและบริสุทธิ์เหมือนดั่งสายน้ำในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า คาดหวังให้เขาเป็นเหมือนดั่งเสาที่คอยค้ำจุนไม่ให้เจ้าตัวต้องพังทลายลง เหมือนดั่งที่ท่านแม่ของเขาคอยค้ำจุนสนับสนุนท่านแม่ของโนอาห์
“ถ้ากำจัดเฮเรียสคนนั้นได้ ความสดใสของเจ้าจะกลับมาหรือเปล่า”
คำถามจริงจังที่หลุดออกมาจากปากของปีศาจตาสองสีทำให้เลปทีร์เบิกตาโพลง
“เจ้าจะกลับมาเป็นเหมือนนูร์ล่าหรือเปล่า”
“ข้าไม่รู้”
เลปทีร์ตอบทันควันขณะเหม่อมองไปข้างหน้า เขาไม่รู้จริงๆ
เขาไม่รู้ว่าตนเองจะกลับมาเป็นเหมือนอย่างเมื่อก่อนได้หรือไม่
เขาในตอนนั้นที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกเสียเหลือเกิน
…
ความเงียบดำเนินไปสักพัก
ก่อนที่เลปทีร์จะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“ถ้าข้าขอร้องพวกไอเวทมนตร์ตรงนั้นให้ออกไป พวกมันจะยอมออกไปให้ข้าหรือเปล่า”
เด็กชายหมายถึงไอเวทมนตร์สีขาวเจิดจ้าที่ทำหน้าที่เป็นเขตแดนคอยปกป้องคุ้มครองของสำคัญในบ้านจากปีศาจเอาไว้อยู่
“ข้าคิดว่าไม่ได้” โนอาห์สั่นศีรษะ “มันคือเวทมนตร์ที่มีคาถาซับซ้อนมาก ไม่อาจใช้แค่การขอร้องปากเปล่ากับพวกมันได้หรอก”
ได้ยินเช่นนั้นเลปทีร์ก็เม้มริมฝีปากแน่นอย่างขบคิด
ในนั้นมีอะไรที่ปีศาจไม่อาจควรเห็นอย่างนั้นหรือ ท่านแม่จึงได้กางเขตแดนแข็งแกร่งคลุมเอาไว้เช่นนี้
ที่จริงจะปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ก็ได้
ก็ในเมื่อเป็นของที่ท่านแม่เก็บเป็นความลับและไม่เคยปริปากบอกไม่รู้ นั่นหมายความว่ามันต้องเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆ จะไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ อีกทั้งยังมีเขตแดนแข็งแกร่งเช่นนี้คลุมไว้อยู่ นั่นหมายความว่าอาจจะยังคงปลอดภัยไปชั่วกาลนาน..
ยกเว้นก็แต่ว่า
“ท่านสามารถประเมินได้ไหมว่าเขตแดนของท่านแม่จะอยู่ยาวนานไปอีกเท่าไร”
“แม่ของเจ้าแข็งแกร่ง ดังนั้นข้าคิดว่าเขตแดนนี้จะอยู่ไปอีกนานเท่านานตราบจนกว่าจะมีปีศาจที่มีพลังเหนือกว่าแม่ของเจ้ามาปลดเขตแดนออกไป”
ไม่ต้องบอกเลปทีร์ก็รู้ว่าปีศาจที่มีพลังเหนือกว่าคือใคร
ว่าที่น้องสาวของท่านโนอาห์…
คาร์เซีย
เหมือนโนอาห์จะรับรู้ความต้องการของเขาได้ อีกฝ่ายรีบพูดขึ้นมาทันควัน
“ข้าคิดว่าเราจะต้องรู้กันให้ได้ก่อนว่าสิ่งที่แม่เจ้าปกป้องเอาไว้คืออะไร” โนอาห์ยกมือขึ้นกอดอก “ถ้าหากเป็นแค่สิ่งของที่ช่วยเสริมพลังของฝั่งนักบุญและผู้กอบกู้ ก็อาจจะแค่ปล่อยให้มันอยู่เช่นนั้น อย่างไรถึงน้องสาวของข้าได้ไปก็คงไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว”
เลปทีร์ยังคงจ้องออร่าเวทมนตร์สีขาวที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่วางตา
“แต่ถ้าหากมันคือสิ่งของที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของโลกปีศาจ” คนรูปงามยังคงวิเคราะห์ต่อไป “ให้อยู่ที่นี่ต่อก็คงไม่ดีหรอก เพราะน้องสาวของข้าคงจะทำลายมันทิ้งทันทีที่ปลดเขตแดนได้”
เลปทีร์เห็นด้วย
ตั้งแต่ได้รู้ว่าน้องสาวของโนอาห์คืออัจฉริยะด้านเวทมนตร์ ตั้งแต่รับรู้ว่าอีกฟากคือปีศาจในเรื่องเล่าที่ถูกขับไล่ไปอยู่ในอีกมิติ ตั้งแต่รับรู้ถึงตัวตนของเนธานในร่างของโนอาห์ เลปทีร์ก็เริ่มหวั่นใจและคิดว่าไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป
เขาไม่อยากเล่นบทบาทวีรบุรุษ…
แต่ว่าก็ไม่อยากให้ทุกอย่างที่ท่านแม่ลงแรงพังทลายลงไปเช่นกัน แม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของแม่เลยก็ตาม นอกจากเรื่องที่รู้เพิ่มขึ้นมาอย่างเรื่องที่ว่าแม่เคยเป็นเพื่อนกับท่านไซเบเล่ ท่านแม่ของโนอาห์
เด็กชายรู้สึกราวกับว่าแม่ของตนเป็นคนแปลกหน้าก็ตอนนี้นี่เอง
“ถ้าข้าปลดมันได้ ข้าก็สามารถสร้างเขตแดนแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้งได้ใช่ไหม”
“ถ้าเจ้าปลดมันได้ด้วยการเอ่ยปากขอร้อง เจ้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะสร้างมันใหม่ขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้” โนอาห์พ่นลมหายใจพรืด “เพราะนั่นหมายความว่าเจ้าข้ามขีดจำกัดในการใช้เวทมนตร์ไปอีกขั้นแล้ว”
เลปทีร์สูดลมหายใจเข้าปอด เช่นนั้นเขาจะลองดู
เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่ท่านแม่ปกป้องไว้คืออะไร เพื่อที่จะได้หาวิธีรับมือ
“แต่การทำเช่นนั้นจะเปลืองแรงมาก เปลืองแรงถึงขั้นทำให้หมดสติได้ง่ายๆ ” โนอาห์พูดเตือนขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของเขา “อย่างแย่ที่สุดคือเจ้าจะถูกออร่าเวทมนตร์กินพลังชีวิต ดังนั้นพวกผู้ใช้เวทมนตร์จึงแนะนำให้ใช้คาถาเวทมนตร์สั่งการออร่าเวทมนตร์มากกว่า–”
เลปทีร์พยักหน้า
“ข้าจะขอยอมรับความเสี่ยงนั้น” เด็กชายผมขาวจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ “ถ้าหากมันจะทำให้ข้าปะติดปะต่อได้ว่าตอนนี้กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ท่านแม่ที่เป็นเพื่อนกับปีศาจ ตัวเขาที่จู่ๆ ก็ได้รู้ว่าตนเองนั้นใช้เวทมนตร์ได้ และสิ่งของที่ท่านแม่คุ้มครองปกป้องเอาไว้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่
ท่านแม่แท้จริงแล้วคือใครกันแน่
...
เลปทีร์มั่นใจว่าเวทมนตร์จะต้องให้คำตอบเขาได้แน่