ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น - 11 หนทางแห่งเวทมนตร์ 3 โดย Chamaniao @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ชาย-หญิง,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สงคราม,มิตรภาพ,โชเน็นไอ,#BL,แฟนตาซี

รายละเอียด

ปีศาจที่ไม่อาจกินเลือดมนุษย์อื่นใดได้ ภูติสีขาวผู้ไม่อาจถูกใครโอบกอดมอบความรักได้ แต่แล้วมนุษย์คนนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น...

ผู้แต่ง

Chamaniao

เรื่องย่อ

สารบัญ

The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-1 พบเจอ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-2 คำสัญญา,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-3 ผูกโลหิต,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-4 ความสบายใจ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-5 นามแห่งวิญญาณ,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-6 ไล่ตาม,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-7 ดำมืด,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-8 ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-9 หนทางของเวทมนตร์ 1,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-10 หนทางของเวทมนตร์ 2,The fallen priest นักบุญผู้ร่วงหล่น-11 หนทางแห่งเวทมนตร์ 3

เนื้อหา

11 หนทางแห่งเวทมนตร์ 3



โนอาห์ได้แต่เบิกตากว้าง เขามองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจระคนตื่นเต้น


แสงสีทองมากมายที่เคยโอบล้อมบ้านของเลปทีร์ แสงสีทองที่ทำหน้าที่ปกป้องบ้านหลังนั้นราวกับเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์ปราสาทของราชา แสงสีทองแข็งแกร่งที่ถูกร่ายขึ้นมาโดยฝีมือของนูร์ล่าคนนั้น


บัดนี้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยฝีมือบุตรชายของนางเอง


แสงสีทองนับหมื่นพลันมลายหายไปสิ้นทั้งหมด เหลือทิ้งไว้เพียงบ้านซอมซ่อธรรมดาและความมืดสีดำอนธการ


ทั้งๆ ที่นั่นคือเขตแดนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ผู้ใช้เวทเคยค้นพบมา ทั้งๆ ที่กว่าจะสร้างเขตแดนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นขึ้นมาได้จะต้องใช้เวลาร่ายคาถาเกือบสัปดาห์แท้ๆ หรือถ้าหากเป็นกรณีของนูร์ล่า ปีศาจหนุ่มคิดว่าเจ้าตัวก็น่าจะใช้เวลาเป็นอย่างต่ำสักสามวัน


แต่เลปทีร์กลับทำลายมันลงได้ภายในหนึ่งนาที


ไม่ใช่ด้วยคาถาเวทมนตร์ด้วยซ้ำ


แต่ด้วยคำพูดธรรมดาของตนเท่านั้นเอง คำพูดธรรมดาเสมือนเจ้านายเอ่ยปากสั่งการลูกน้อง


และแสงสีทองเหล่านั้นก็ทำตามคำของเด็กชายอย่างว่าง่ายเสียด้วย


“แบบนี้หมายความว่า” เด็กชายผมขาวพิศุทธิ์หันมาทำตาเป็นประกาย ส่งยิ้มกว้างให้กับเขา “ข้าสามารถร่ายพวกเขาขึ้นมาใหม่ก็ได้ด้วยใช่ไหม”


โนอาห์ส่งยิ้ม พยักหน้าหงึก ก่อนจะหันไปจ้องมองบ้านหลังเล็กสีน้ำตาลทรงซอมซ่อ เป็นบ้านที่เก่าและทรุดโทรมมากเสียจนหากมองผ่านๆ คงจะคิดว่าเป็นบ้านร้างที่ไร้ผู้คนอาศัย


ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รู้สึกได้อย่างบางเบาจากบ้านหลังนั้นทำให้ปีศาจตาสองสีรู้ได้ในทันทีว่าภายในนั้นจะต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่


ท่ามกลางสายลมที่เงียบเชียบและสงบนิ่ง เลปทีร์เป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปก่อน ท่าทางการก้าวเดินของเด็กชายเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและกระตือรือร้น ราวกับว่าภายในนั้นคือพื้นที่ผจญภัยที่รอให้เข้าไปสำรวจ ท่าทางที่แปลกไปแม้จะเพียงเล็กน้อยของเลปทีร์ทำให้ปีศาจตาสองสีประหลาดใจไม่น้อย


ก่อนที่ต่อมาโนอาห์จะเข้าใจเหตุผลของการกระทำได้ในที่สุด


ก็ในเมื่อสิ่งที่คนตรงหน้าเพิ่งจะค้นพบก็คืออำนาจ นี่นะ


เป็นโนอาห์ที่ยังคงลังเล แต่ก็เป็นความลังเลเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะทันทีที่พันธะโลหิตทำงานและเขารู้สึกได้จากเลปทีร์ว่าไม่มีอะไรให้ต้องระแวดระวังอีกต่อไป ปีศาจหนุ่มก็ก้าวเดินตามหลังเลปทีร์ไปติดๆ


***


ภายในบ้านหลังนี้ไม่มีสิ่งใดเลยดังคำที่เลปทีร์เคยกล่าวไว้


ไม่มีสิ่งใดเลยยกเว้นก็แต่ชั้นวาง โต๊ะเขียนหนังสือ และหนังสัตว์ปูพื้นต่างเตียงนอน


" ไม่มีอะไรเลย " เลปทีร์ว่า " ข้าไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วท่านแม่กำลังปกป้องอะไรอยู่กันแน่ …ชั้นวางหนังสือที่ทำจากไม้ขัดมันเงาอย่างนั้นหรือ.."


แต่โนอาห์คิดว่าเขารู้


ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน แน่นอนว่าชั้นวางหนังสือขัดมันใหม่เอี่ยมสีน้ำตาลย่อมสะดุดตากว่าสิ่งของอื่นภายในบ้าน


แต่ก็ยังมีอย่างอื่นอีกที่สะดุดตาไม่ต่างกัน–


ปีศาจเจ้าของตาสองสีตรงดิ่งไปสิ่งที่สะดุดตาตน สายตาของเขาจับจ้องไปยังต้นไม้ใส่กระถางริมหน้าต่างต้นไม้ที่มีใบเป็นสีรุ้งเหลือบพรายแวววาว


เป็นต้นไม้ชนิดที่โนอาห์รู้จักดีเสียด้วย


ต้นไม้ต้นนี้คือหลักฐาน เป็นหลักฐานที่ทำให้โนอาห์เข้าใจได้ในที่สุดว่าตัวตนของนูร์ล่าแท้จริงแล้วคือใครกันแน่


คำทำนายของท่านแม่


พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขามักจะรู้สึกได้จากเลปทีร์


และพรสวรรค์ในการใช้เวทมนตร์ของอีกฝ่าย


สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานของเขาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก


“ข้าคิดว่าข้าตอบได้นะ” โนอาห์หันมองคนข้างตัวที่สูงเพียงหัวไหล่ของเขา “คำถามที่มันกวนใจเจ้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้น่ะ”


คำถามที่วนเวียนอยู่ในใจของเลปทีรื และพันธะเลือดก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงข้อกังขานั้น


เลปทีร์ไม่ตอบ เพียงแค่ใช้ดวงตาสีอเมธิสต์จ้องมองตรงๆ มาที่เขา


“เจ้าคือภูติ”


โนอาห์พูดออกมาในที่สุด ดวงตาสองสีของเขาสบเข้ากับดวงตาสีม่วงของอีกฝ่าย” และต้นไม้นั่นคือหลักฐาน”


" ต้นไม้ตรงหน้าต่างนั่น…" เด็กชายทำสีหน้้างงงวย “ต้นไม้ธรรมดา…ไม่ใช่หรือ”


โนอาห์ชะงัก ก่อนจะพ่นลมหายใจพรืดออกมา “คาถาคลายมนต์ลวงตาคือบทนี้”


ทันทีที่โนอาห์พูดคาถาดังกล่าวออกมาและเลปทีร์ท่องตามจนจบบท ครั้นพอเด็กชายหันไปมองต้นไม้ที่ว่าอีกที อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตาออกมา


" นั่นช่วยอธิบายทัั้งหมด " โนอาห์แย้มยิ้มพราย " ว่าเหตุใดเจ้าจึงใช้เวทมนตร์ได้คล่องแคล่วแบบนั้นแม้ว่าจะไม่เคยฝึกฝนมาก่อน "


" พวกภูติจะเป็นแบบนั้นหรือ"


" ใช่ เก่งกาจเชี่ยวชาญเวทมนตร์ เป็นที่รักของออร่าเวทมนตร์ "


เลปทีร์ทำหน้าตางุนงงพลางเอียงคอน้อยๆ " ข้าเป็นภูติหรือ "


" แม่เจ้าเป็นมนุษย์ นั่นหมายความว่าพ่อของเจ้าน่าจะเป็นภูติ และเจ้าก็คือครึ่งภูติ "


เลปทีร์ขมวดคิ้วมุ่น นิ่งไปราวกับกำลังรอคำอธิบายเพิ่มเติม


" ใบของมันเป็นสีรุ้งเหลือบพราย " โนอาห์เดินดิ่งตรงไปยังหน้าต่าง "บ่งบอกว่ามันคือต้นไม้จากป่าของภูติ " ปีศาจเจ้าของตาสองสีหรี่ตาลงขณะเอื้อมมือออกไปอย่างช้าๆ เพื่อสัมผัสใบไม้สีรุ้งนั้น " ไม่ใช่ต้นไม้จากป่าภูติธรรมดา แต่เป็นต้นไม้ที่ผูกเส้นด้ายแห่งชีวิตของพวกภูติเอาไว้ " เขาว่าพลางใช้นิ้วชี้ลูบไล้ความมันบนผิวใบ " เพราะฉะนั้นถ้าต้นไม้นี่ตาย ภูติก็จะตาย"


" พวกภูติทุกตนเลยหรือ " เลปทีร์เบิกตากว้าง " ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับต้นไม้หรือ ชีวิตของข้าด้วยหรือ เพราะอย่างนั้นท่านแม่จึงร่ายอาณาเขตขึ้นมาใช่ไหม เพื่อปกป้องต้นไม้ต้นนี้ เพื่อปกป้องข้า " เด็กชายพูดเร็วรัว ทั้งสายตาก็เต็มไปด้วยความกังวลใจแบบที่ปิดไม่มิด “ไม่ใช่ว่าพวกภูติทุกตนอายุยืนยาว และส่วนใหญ่มักจะหมดอายุขัยและตายเองตามธรรมชาติไม่ใช่หรือ ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องของต้นไม้นี่เลย”


โนอาห์นิ่งไป เขาไม่แน่ใจว่าควรจะบอกเรื่องนี้ให้เลปทีร์รู้หรือไม่


ก็ในเมื่อนูร์ล่าผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของเลปทีร์ยังไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายได้รู้เลย


แต่ว่า


อีกฝ่ายมีสิทธิ์รู้ว่าตัวเองเป็นใคร


แต่ก็อีกนั่นล่ะ


บางทีอาจจะมีเหตุผลที่ท่านนูร์ล่าจงใจปิดข้อมูลส่วนนี้จากเลปทีร์ก็เป็นได้


" เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามนุษย์เช่นพวกเจ้าเองก็มีหลายแบบ มีทั้งพวกมนุษย์ในปราสาท พวกมนุษย์บนผืนดิน พวกมนุษย์ในบึง "


เลปทีร์พยักหน้า


" ปีศาจเองก็เช่นกัน ภูติเองก็เช่นกัน " โนอาห์เม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดออกมาในคราวเดียว


" พวกภูติที่พลังชีวิตถูกผูกกับต้นไม้ มีแค่พวกภูติมีปีกอย่างเจ้าเท่านั้นนั่นล่ะ "


เขาเห็นเต็มสองตาว่าเลปทีร์นิ่งค้างไปอย่างไร


" ฟังแค่นี้ก็รู้ใช่ไหม "


เด็กชายผมขาวพยักหน้าช้าๆ ดวงตาสีม่วงเบิกกว้าง ยังคงทำสีหน้าช็อกกับสิ่งที่ได้รู้


" ภูติส่วนใหญ่ไม่มีปีก ดังนั้นภูติมีปีกคือแบบเดียวกับพวกมนุษย์ในปราสาทใช่ไหม”


พวกชนชั้นสูง–พวกชนชั้นปกครอง


โนอาห์พยักหน้าแทนคำตอบ


" ส่วนภูติทั่วไปก็เป็นแค่ภูติธรรมดา อายุยืนยาวอย่างที่เคยได้ยินมา เส้นพลังชีวิตก็ไม่ได้ถูกผูกไว้กับสิ่งอื่นใดเหมือนอย่างภูติมีปีก พวกเขาเป็นนายของตัวเอง มีชีวิตเป็นของตัวเอง– "


เลปทีรฺ์สะบัดศีรษะไปมา เด็กชายจ้องมองต้นไม้ขนาดเท่าฝ่ามือไม่วางตา " ข้าควรทำอย่างไรกับมัน "


ในตอนที่โนอาห์กำลังจะเปิดปากให้คำแนะนำ เลปทีร์ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน


" หากเอาเก็บไว้ในคลังของท่านก่อนได้ไหม โนอาห์"


เลปทีร์หมายถึงคลังเก็บของส่วนตัวของราชวงศ์


คำขอของอีกฝ่ายทำให้โนอาห์อ้าปากพะงาบ


" คำพูดของข้าไม่ได้ทำให้เจ้าเข้าใจมากขึ้นเลยหรือไง!” ปีศาจตาสองสีแว้ดเสียงขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน “เจ้ารู้ไหมว่าต้นไม้นั่นมันสำคัญมากขนาดไหน!!!”


“เพราะว่ามันสำคัญ ข้าจึงอยากฝากมันไว้กับท่าน” เลปทีร์หันมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยสายตาจริงจัง


แต่ทว่าโนอาห์ไม่คิดเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดร้ายต่ออีกฝ่าย แต่การที่เลปทีร์เลือกวางใจปีศาจอย่างเขา ไม่สิ เป็นปีศาจที่เพิ่งจะพบกันด้วยซ้ำ การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่บ้าบิ่นและไร้หัวคิดเป็นอย่างมาก


หากเป็นปีศาจอื่น หากเป็นท่านพ่อ หากเป็นคาร์เซีย หากเป็นองครักษ์ของเขา–


เลปทีร์จะต้อง…


“ลาเซเธียส”


เสียงเล็กๆ ที่เรียกนามแห่งวิญญาณของเขาทำให้โนอาห์สะดุ้ง


“ท่านโนอาห์เองก็ไว้ใจข้าไม่ใช่หรือ” เด็กชายผมขาวกะพริบตาถี่ๆ “ท่านจึงได้บอกนามแห่งวิญญาณให้ข้ารู้ การที่ข้าไว้ใจท่าน ฝากต้นไม้นี้ไว้กับท่านมันก็เหมือนกะ-–”


“ไม่ใช่!!!” โนอาห์สะบัดศีรษะ เขาจ้องดวงแก้วสีอเมธิสต์เขม็ง “มันไม่เหมือนกัน!!”


สีหน้าของเด็กชายบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ


“เจ้ารู้นามแห่งวิญญาณของข้า เจ้าก็แค่ควบคุมข้าได้ชั่วคราว ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต” โนอาห์ชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “แต่เจ้ามอบต้นไม้แห่งชีวิตให้ข้า เจ้าตาย–”


“ท่านไม่ได้คิดจะฆ่าข้า ข้าจะตายได้อย่างไร”


โนอาห์ยกมือขวาลูบหน้า พันธะโลหิตคงจะทำให้เลปทีร์รับรู้ถึงความรู้สึกและเจตนาของเขาได้ มันก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่มีใครบางคนไว้ใจเขาขนาดนี้ ไม่สิ รู้สึกดีมากๆ ด้วยซ้ำ แต่ว่าการไว้ใจบางอย่างที่มันมากเกินไป สุดท้ายแล้วมันจะกลับกลายเป็นอาวุธที่กลับมาทำร้ายเจ้าตัวเอง


“เจ้าไม่เข้าใจ”


“ข้าไม่เข้าใจ” เลปทีร์พยักหน้า “แต่ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้ว”


“เราควรเอาต้นไม้นี้ไปเก็บไว้ที่ป่าของภูติ”


โนอาห์เสนอขึ้นมา


ที่จริง ตั้งแต่เห็นต้นไม้ผูกชีวิตครั้งแรก ความคิดที่ว่าควรจะเอาต้นไม้นี่กลับหวนคืนสู่ป่าแห่งภูติก็ผุดขึ้นมาในใจโดยตลอด


“เจ้าเคยได้ยินไหม จะซ่อนต้นไม้ก็ต้องซ่อนในป่า”


“แต่ระหว่างนั้น ท่านจะยอมรับฝากต้นไม้แห่งชีวิตของข้าชั่วคราวใช่ไหม”


คราวนี้โนอาห์จำยอมต้องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้




***




แสงเทียนส่องออกมาจากตัวบ้านซอมซ่อ เฮเรียสรู้สึกว่าภายในอกเต้นสะบัดโครมคราม ว่าที่เออร์เนสต์กำดาบสั้นในมือแน่น ก่อนที่ในหัวจะเริ่มคิดวางแผนหาทางหนีทีไล่เสร็จสรรพ


ปัญหาคือเขาไม่ได้กังวลไอ้ปีศาจต้องสาป


แต่เป็นไอ้คนผมทองที่กำจัดทหารองครักษ์ของเขาได้ต่างหาก


อีกทั้งคาร์เซียยังบอกว่าเป็นพี่ชายของตน แม้นางจะย้ำว่าคนๆ นั้นไม่มีเวทมนตร์ แต่เจ้านั่นที่ฝ่าองครักษ์มีฝีมือทั้งห้าออกมาได้ ก็ไม่ใช่คนที่เขาจะประมาทเลยสักนิด เขาไม่รู้ว้าไอ้คนผมทองนั่นมันเก่งระดับไหน ทว่าการที่สามารถล้มทหารเกือบห้าคนในคราวเดียวได้ นั่นหมายความว่าจะต้องเป็นคนที่มีฝีมือการต่อสู้มากพอสมควร


ไม่เป็นไร แค่แอบลอบโจมตีแล้วเล่นงานมันจากด้านหลังก็พอ


เพราะเป้าหมายของเขาคือการลากเจ้าปีศาจนั่นลงคุกใต้ดินอีกครั้งหนึ่งยังไงล่ะ


นั่นคือสิ่งที่เฮเรียสคิดในใจ


ในตอนที่กำลังจะย่องอ้อมไปด้านหลังเพื่อแอบสำรวจลาดเลานั้นเอง หูเจ้ากรรมก็ดันบังเอิญได้ยินเสียงแข้งกร้าวของใครบ้างคนเข้า


“ตราบใดที่ข้ายังมีคำสาปกักขังนี่ติดตัวอยู่”


เสียงนั้นคือเสียงของไอ้ปีศาจเฮงซวยนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย


และประโยคถัดมาก็ยังคงเป็นน้ำเสียงเย็นเยียบของไอ้ปีศาจผมขาวเช่นกัน


“ข้าคิดว่าข้าไม่อาจไปได้หรอก ที่ทิศเหนือสุดขอบโลกน่ะ”


ทิศเหนือเรอะ


นั่นมันหมายความว่ายังไง!?


“ข้าไม่อาจหลุดพ้นจากที่นี่ได้จนกว่าจะถึงงานเทศกาลบูชาเทพีอคานธาในอีกห้าปีข้างหน้า”


“ข้าไม่เข้าใจ”


ได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มว่าที่เออร์เนสต์ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเห็นด้วยในใจ


ไอ้เจ้าพวกนี้มันกำลังคุยเรื่องอะไรกัน


เฮเรียสเกร็งประสาทสัมผัสทั้งห้าให้ตื่นตัว


ทิศเหนือที่ว่านั่นคือดินแดนต้องสาปรกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ใช่รึยังไง


“แองเจสคือคนเดียวที่ถอนคำสาปให้ข้าได้” เลปทีร์ว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา..เบามาก แต่หากเทียบกับเขาที่หูดีแม้กระทั่งเสียงเข็มตกก็ยังได้ยิน น้ำเสียงของไอ้ปีศาจก็เปรียบเสมือนกำลังพูดตะโกนอยู่บนยอดเขา “ในอีกห้าปีข้างหน้า เขาจะมาทำหน้าที่เป็นนักบุญผู้อ่านวรสารอวยพร”


“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจว่าระหว่างนั้นเขาจะไม่แวะมาที่นี่”


“เพราะที่นี่ห่วยแตก”


ปีศาจผมขาวตอบทันควัน เป็นคำตอบของคำถามที่สบประมาทสถานที่ของเขา


อาณาจักรของเขา


เป็นคำตอบที่ทำให้เขาอยากพุ่งไปอัดหน้าไอ้ปีศาจนั่นสักหมัด แต่ก็ทำได้เพียงอดทนอดกลั้นและตั้งใจฟังคำตอบต่อไปเท่านั้น


“หากเทียบกับเมืองหลวงแล้ว ที่นี่มันก็แค่ทะเลทรายแห้งแล้ง” ไอ้เจ้าเฮงซวยยังคงร่ายต่อไป “ไม่มีอะไรเลย ไม่มีทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ ไม่ได้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ไม่มีแม้แต่ผู้คนที่ศรัทธาอำนาจของราชาและเทพเจ้าด้วยซ้ำ เป็นอาณาจักรเล็กๆ ที่ไร้ตัวตนอย่างแท้จริง”


ถูกต้องตรงประเด็นมากเสียจนเฮเรียสต้องกัดฟันกรอดข่มความโกรธ


" ไม่มีเหตุผลใดที่พวกละโมบโลภมากพวกนั้นจะต้องแวะมาเลย"


จากนั้นแล้ว–


เสียงก็เงียบไป เงียบมากเสียจนบรรยากาศเริ่มวังเวงขึ้นมา


และความเงียบนั้นก็กระตุ้นต่อมความสงสัยของว่าที่เออร์เนสต์เข้าจนได้


เฮเรียสค่อยๆ เป่าลมหายใจระบายโทสะ ก่อนจะตัดสินใจแอบสังเกตการณ์ด้วยการค่อยๆ ชะโงกมองผ่านบานหน้าต่าง


!!!


จู่ๆ แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นมาจนเขาต้องยกแขนขึ้นบังดวงตาตามสัญชาตญาณ


“เลปทีร์!!”


ภาพที่เห็นตรงหน้าคือไอ้ปีศาจผมสีขาวที่กำลังรวบรวมเอาแสงสีทองมหาศาลมาไว้ในมือ


แสงสีทอง


เวทมนตร์!?


เวทมนตร์ไม่ผิดแน่!!!


เฮเรียสนึกในใจ โทสะที่เพิ่งจะดับไปปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้งจนได้


ไอ้เวรนั่นมันใช้เวทมนตร์ได้เรอะ!!!




***




เลปทีร์เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งที่อยากใช้เวทมนตร์ซับซ้อนจำเป็นต้องร่ายคาถา


โนอาห์แนะนำว่าเขาควรจะกางเขตแดนเอาไว้เหมือนเดิมแม้ว่าจะไม่มีต้นไม้แห่งชีวิตนี้แล้วก็ตาม ปีศาจตาสองสีบอกว่าการทำแบบนี้เป็นเหมือนการสร้างกับดักหลุมพรางเพื่อถ่วงเวลา เผื่อว่าบางคนที่รู้เรื่องต้นไม้แห่งชีวิตจะมาตามหา และหลุมพรางของเขตแดนจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเขาทั้งสองรู้ตัวเพื่อหาทางรับมือได้ทัน


ทีแรกเด็กชายคิดว่าการสร้างเขตแดนขึ้นใหม่จะง่ายดายเหมือนอย่างตอนที่ปลดเขตแดน


แต่ว่ามันคือความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์


ผิดพลาดอย่างร้ายแรง


ทันทีที่ขอร้องออร่าเวทมนตร์ เลปทีร์ก็รู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายถูกคว้านและกระชากออกไป ทีแรกเขาคิดว่ามันคือผลข้างเคียงจากการที่ใช้เวทมนตร์ซับซ้อนเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง


แต่ปรากฎว่าไม่ใช่


การขอร้องโดยตรงเช่นนี้สะดวกก็จริง แต่เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่ามันจะต้องผลาญพลังกายมากมายมหาศาลเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้ออร่าเวทมนตร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


“เลปทีร์!!”


เสียงตะโกนของโนอาห์ดังก้องเต็มหู เด็กชายหันไปตามเสียงเรียก แต่น่าแปลกที่สายตากลับพร่าเลือนไปเสียดื้อๆ


แล้วเขาก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวร้อนๆ ไหลออกมาทางจมูก


ไม่สิ ไม่ใช่แค่จมูก


ในปากเองก็มีของเหลวรสชาติขมปร่าที่ส่งกลิ่นสนิมออกมา


เลปทีร์ยกหลังมือเช็ดมุมปาก รู้สึกได้ว่าของเหลวยังคงไหลออกมาทางปากและจมูกเรื่อยๆ เท่านั้นไม่พอ ศีรษะเองก็เริ่มปวดตุบๆ อีกต่างหาก แข้งขาก็เริ่มรู้สึกอ่อนยวบยาบ


“นี่” เสียงของโนอาห์เริ่มร้อนรนและตื่นตระหนก “เจ้าบอกให้ออร่าเวทมนตร์หยุดก่อนได้ไหม”


เสียงคิดในใจของโนอาห์ดังก้องในหัวของเขา


…สภาพของเจ้ามันแย่มาก…


เด็กชายเห็นด้วย


ทว่าในตอนที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยปากขอร้องให้หยุด–


สติของเขาก็ถูกกระชากและภาพตัดไปตอนนั้นเอง