จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก - บทที่1 | ชีวิตใหม่ โดย เบบี้มู้ด @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก,เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก

รายละเอียด

จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ผู้แต่ง

เบบี้มู้ด

เรื่องย่อ


‘ชีวิตของผมเคยเป็นเรื่องราวธรรมดาของพนักงานเงินเดือนในเมืองใหญ่ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งวันนึงที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นจึงทำให้ผมถูกพาตัวไปยังโลกแห่งเวทมนตร์ที่ผมไม่เคยรู้จัก’




ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และความลึกลับ เลฟต้องทิ้งชีวิตที่เคยรู้จักและเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ เขาไม่ใช่แค่ต้องหาทางกลับบ้านในโลกเดิมแต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการเป็นชาวไร่ในดินแดนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกใบเก่า


ในขณะเดียวกันเลฟกลับพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่เกี่ยวกับการเกษตร เขาต้องปลูกพืชพันธุ์ที่มีพลังเวทมนตร์ ใช้เวทมนตร์ในการดูแลฟาร์มและปกป้องมันจากภัยคุกคามที่หลากหลาย เขาเผชิญกับอุปสรรคและการต่อสู้ที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ การจัดการทรัพยากรและการทำภารกิจต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตใหม่




[นิยายเรื่องนี้อ่านฟรีจนจบ]

สารบัญ

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่1 | ชีวิตใหม่,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่2 | การฟื้นคืน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่3 | ตั้งรากฐาน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่4 | อาหารต่างโลก,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว

เนื้อหา

บทที่1 | ชีวิตใหม่


“อยากจะลองทำไร่แบบปู่จังเลยนะครับ”

“เอาไว้โตขึ้นมาช่วยปู่แล้วกันนะ”

นั่นคือประโยคสนทนาสุดท้ายของผมและคุณปู่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วก่อนที่ผมจะไม่ได้ติดต่อกับท่านอีกเลยตั้งแต่ครอบครัวย้ายมาในตัวเมือง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้คุณปู่ยังอยู่ดีรึเปล่า

ความคิดถึงวันวานเก่าๆมักจะหวนมาให้นึกถึงประจำหลังเลิกงานและมักจะเกิดขึ้นในตอนที่ผมยืนเลือกของในร้านสะดวกซื้อตอนขณะกำลังเลือกซื้อผักต่างๆนาๆไปทำกับข้าวกินที่หอพัก

คิดถึงคุณปู่จังเลยนะ

หลังจากที่ผมเลือกซื้อของเสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับถุงที่เต็มไปด้วยของใช้ประจำวันและพยายามก้าวเท้าออกไปยังถนน ฝนที่เพิ่งเริ่มโปรยปรายในตอนแรกกลับกลายเป็นฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนแทบจะปิดกั้นทุกเสียงรอบข้าง เสียงเม็ดฝนกระทบกับพื้นและหลังของร้านค้าราวกับเสียงดนตรีที่บรรเลงไม่หยุด ขณะที่ผมพยายามจะเร่งรีบนำของทั้งหมดไปเก็บไว้ในรถที่จอดอยู่ตรงข้ามร้าน ความเย็นของฝนที่ซึมผ่านเสื้อผ้าทำให้ไม่อยากเคลื่อนไหวไปไหนแต่มันก็ยังคงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบท่ามกลางความเงียบงันของพายุที่บดบังทุกเสียง

ผมไม่ได้ใส่ใจกับอะไรนัก สายตาจับจ้องเพียงจุดหมายเดียวคือรถที่จอดอยู่ตรงข้ามร้าน ขอแค่ไปถึงก็ถือว่าจบเรื่อง แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากร้านสะดวกซื้อ ฝนกลับเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานี ราวกับจงใจกลั่นแกล้งให้ร่างกายของผมชุ่มโชกยิ่งกว่าเดิม เสียงฝนกระทบกับพื้นถนนและหลังคารถดังสะท้อนในความเงียบ ผมเร่งฝีเท้า สู้กับหยาดฝนที่ถาโถมลงมา โดยหวังเพียงให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

ในตอนแรก ใจหนึ่งของผมก็บอกให้หยุดยืนรอ ฝนคงไม่ตกนานนัก รออีกสักพักก็คงหยุด แต่ในขณะเดียวกัน อีกเสียงในใจกลับคัดค้าน บอกว่าสิ่งที่ต้องทำก็แค่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว รถอยู่แค่ตรงนั้น จะมายืนให้ขาเมื่อยทำไมกัน สองความคิดวนเวียนตีกันอยู่ในหัว ท่ามกลางเสียงฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุด ใจหนึ่งก็อยากรอคอย แต่อีกใจก็อยากพุ่งไปสู่จุดหมายให้เร็วที่สุด

นั่นคือสิ่งที่ผมตัดสินใจผิดพลาดที่สุดในชีวิต

ผมตัดสินใจก้าวเท้าออกไปทันที โดยไม่สนใจแม้ฝนจะตกหนัก เสียงฝนกระทบกับพื้นดังกระหึ่มจนแทบกลบเสียงรอบข้าง จนกระทั่งผมหันไปเห็นแสงไฟจากหน้ารถคันใหญ่ที่กำลังพุ่งตรงมาหา ผมได้ยินเสียงบีบแตรดังสะท้อนอยู่ในอากาศและเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ตื่นตระหนกอยู่ในเวลาเดียวกัน บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ราวกับเวลาทุกอย่างถูกหยุดเอาไว้แค่ตรงนี้ ผมเห็นแม้กระทั่งหยดน้ำฝนที่สาดลงมา เห็นแม้กระทั่งรถยนต์ที่เคลื่อนขยับมาช้าๆและพุ่งชนตัวผมในที่สุด

*ตู้ม!!* *เอี๊ยด!*

“กรี๊ด!!!!” หลังสิ้นสุดเสียงกรีดร้องของผู้คนที่อยู่ในระแวกนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงร่างกายของตัวเองที่กระเด็นออกไปหลายสิบเมตร พื้นถนนที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนในตอนนี้ดันกลายเป็นเลือดแดงสดที่นองเต็มพื้นสีเทา

ผมยังรู้สึกตัวอยู่เล็กน้อย ภาพสุดท้ายที่ปรากฏในสายตาคือพื้นถนนและผู้คนที่วิ่งกรูเข้ามาหา ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดและลับหายไปจนไม่สามารถเห็นอะไรได้อีกเลย



“ผมไม่ได้อยากเป็นพนักงานแบบนี้เลยสักนิด”

“ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตเป็นชาวไร่แบบคุณปู่”















“คนไข้คะ คนไข้”

“ตื่นได้แล้วนะคะ วันนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะคะ ลุกขึ้นมาทานยาก่อน”

เสียงนกร้องพร้อมกับแสงแดดที่แยงจนแสบตา ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลสักแห่งแต่เมื่อได้หันไปมองนางพยาบาลที่มาปลุกผมเมื่อสักครู่ก็ทำให้ผมมีคำถามผุดขึ้นมาหลายร้อยคำถาม

ผมสีชมพูอ่อนราวกับซากุระมิหนำซ้ำหน้าตาก็ดูสวยจนเกินมนุษย์ ใบหูที่แหลมคล้ายกับเอลฟ์ในเทพนิยาย พร้อมกับชุดที่ดูไม่ใช่พยาบาลในยุคปัจจุบันที่ผมรู้จัก

เมื่อสำรวจร่างกายของตัวเองก็พบว่าตัวผมเองนั้นสวมชุดราวกับนักผจญภัยที่อยู่ในวิดีโอเกมหรือการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็กแทนที่มันควรจะเป็นชุดสูทที่ผมสวมไปทำงานในตอนแรกและเมื่อได้ลองกวาดตามองไปรอบห้องก็ถึงจะได้รับรู้ว่าตัวเองในตอนนี้อยู่ในที่ที่ไม่รู้จักซะแล้ว

“งั้นฉันวางขวดยาไว้ตรงนี้นะคะ แล้วก็ถ้าจะออกก็อย่าลืมไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์ด้วยนะคะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ! ผมขอถามได้มั้ยว่านี่ปีอะไร?”

แม้คำถามของผมจะดูโง่เง่าจนไม่น่าตอบแต่เธอคนนั้นก็หันมามองผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะเอ่ยปากตอบด้วยความเต็มใจ

“ปีที่55 หลังจากการล่มสลายของนครวาโลเรียค่ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของเธอก็ทำให้ผมแน่ใจในทันทีเลยว่าผมในตอนนี้มาอยู่ที่ต่างโลกและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือโลกแบบไหน ผมก้มศีรษะขอบคุณเธออย่างซึ้งใจ เธอตอบรับคำขอบคุณนั้นด้วยรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ก็ใช่ครับว่าผมเคยคิดอยู่บ้างว่าถ้าโดนรถคันใหญ่ชนเข้าจริงๆ จะได้มาที่ต่างโลกเหมือนที่คนอื่นแซวกันรึเปล่า แต่วันนี้ผมก็ได้คำตอบแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมาเสียไวขนาดนี้

ในขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรไปพร่ำเพื่อสายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายวางไว้อยู่ข้างกายก็อดใจไม่ได้ที่จะเปิดมันดู

ภายในกระเป๋ามีหนังสือร่ายเวทย์ขนาดเล็กและถุงเงินจำนวนนึงและก็พวกของใช้ทั่วไปมิหนำซ้ำยังมีเสื้อผ้าอยู่หนึ่งชุดแต่สิ่งที่ดึงดูดใจของผมกลับเป็นหนังสือร่ายเวทย์เล่มนั้น

ผมหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความสงสัยและเมื่อได้ลองเปิดดูก็พบกับตัวอักษรที่ขีดเขียดตวัดไปมาทำให้รู้สึกไม่คุ้นตาแต่ผมกลับอ่านมันออกราวกับตัวเองกำเนิดที่นี่

「 สเตตัส อาเพริโอ: เมื่อผู้ใช้ร่ายคาถานี้ จะมีหน้าต่างสถานะปรากฏขึ้นตรงหน้า พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับค่าสถานะ พลังชีวิต เลเวล และสกิลทั้งหมดของผู้ใช้ในปัจจุบัน」

“สเตตัส อาเพริโอ!”

หลังจากที่ผมเริ่มอ่านคำตามตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษไปสักพัก แถบสถานะสีฟ้าก็เริ่มปรากฏขึ้นในอากาศ ให้เห็นข้อมูลที่หลากหลายเกี่ยวกับตัวผมรวมถึงสกิลติดตัวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดภาพบนแถบสถานะมีความละเอียดและชัดเจนเผยให้เห็นรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับความสามารถและคุณสมบัติของผมอย่างครบถ้วน

「 สกิลติดตัว : เวทย์มนต์แห่งการเกษตร」

ว้าว ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เดิมทีผมก็คงไม่ใช่แนวสายบู้สักเท่าไหร่และมีความฝันในการทำไร่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

แม้จะเสียดายชีวิตในโลกใบเก่าแต่ถ้าเลือกให้กลับไปอยู่ในบทบาทนพนักงานเงินเดือนรายได้เท่าหางหมู แค่นึกก็ขนลุกแล้ว แต่ในโลกนี้ผมเป็นอิสระจากงานแบบนั้น เพราะมันไม่มียังไงละ ฮ่าๆๆ

ก่อนจะออกไปใช้ชีวิตใหม่ที่เทพเจ้ามอบให้แก่ผม ผมจำเป็นต้องจ่ายเงินค่ารักษาของที่นี่เสียก่อนและเมื่อผมได้เดินไปถึงที่หน้าเคาเตอร์ของโรงพยาบาลก็พบกับนางพยาบาลเอลฟ์คนสวยคนเดิม

“ทั้งหมดรวมสิบเอลโซค่ะ” แล้วสิบเอลโซมันเท่าไหร่ละเนี่ย ผมได้แต่ยืนงุนงงอยู่หน้าเคาน์เตอร์ พยายามควักเงินออกจากถุงด้วยความสับสนจนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร นางพยาบาลเห็นสถานการณ์ของผมแล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเพราะความงุ่มง่ามของผม ก่อนที่เธอจะยิ้มและหยิบเงินออกจากถุงไปสิบเหรียญ ผมก้มศีรษะขอบคุณเธออีกครั้งด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับรู้สึกถึงความอุ่นใจจากการช่วยเหลือของเธอ

เมื่อผมได้ย่างก้าวออกจากประตูไม้บานใหญ่ก็ได้พบกับบรรยากาศรอบข้างเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนหลากหลายเดินไปมาพร้อมกับเสียงดนตรีพื้นเมืองที่ดังกระหึ่มเติมเต็มอากาศ ท้องฟ้าโปร่งใสและอากาศสดชื่น ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างเต็มอิ่ม รู้สึกถึงความสดชื่นและความตื่นเต้นในใจ นี่คงเป็นสัญญาณบอกว่าผมพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนแห่งนี้






ข้อมูลเสริม

— 1 เอลโซ = 10 บาท (10 เอลโซ เท่ากับ100บาท)

— ทุกคนในโลกนี้เกิดมามีสกิลติดตัวที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้