จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก - บทที่2 | การฟื้นคืน โดย เบบี้มู้ด @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก,เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก

รายละเอียด

จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ผู้แต่ง

เบบี้มู้ด

เรื่องย่อ


‘ชีวิตของผมเคยเป็นเรื่องราวธรรมดาของพนักงานเงินเดือนในเมืองใหญ่ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งวันนึงที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นจึงทำให้ผมถูกพาตัวไปยังโลกแห่งเวทมนตร์ที่ผมไม่เคยรู้จัก’




ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และความลึกลับ เลฟต้องทิ้งชีวิตที่เคยรู้จักและเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ เขาไม่ใช่แค่ต้องหาทางกลับบ้านในโลกเดิมแต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการเป็นชาวไร่ในดินแดนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกใบเก่า


ในขณะเดียวกันเลฟกลับพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่เกี่ยวกับการเกษตร เขาต้องปลูกพืชพันธุ์ที่มีพลังเวทมนตร์ ใช้เวทมนตร์ในการดูแลฟาร์มและปกป้องมันจากภัยคุกคามที่หลากหลาย เขาเผชิญกับอุปสรรคและการต่อสู้ที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ การจัดการทรัพยากรและการทำภารกิจต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตใหม่




[นิยายเรื่องนี้อ่านฟรีจนจบ]

สารบัญ

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่1 | ชีวิตใหม่,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่2 | การฟื้นคืน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่3 | ตั้งรากฐาน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่4 | อาหารต่างโลก,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว

เนื้อหา

บทที่2 | การฟื้นคืน


“เร่เข้ามา เร่เข้ามา เนื้อสดๆใหม่ๆ เร่เข้ามาๆ”

“ขายอะไรบ้างครับพ่อค้า”

ตั้งแต่ผมเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองผมก็เจอร้านค้าที่ไม่ซ้ำหน้าส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นร้านขายเนื้อสัตว์ไม่ก็ร้านขายยาโพชั่นทั่วไปไม่มีแม้แต่พืชผักหรือผลไม้เลยแม้แต่น้อย

“วันนี้มีเนื้อฟริซเวิร์มเลยพ่อหนุ่ม เนื้อแน่นสุดๆเอาไปย่างกินเหมือนจะได้พบกับพระเจ้าเลยละ” คำพูดที่เขาพูดถึงนั้นดูเหมือนจะสวยงามและน่าดึงดูดใจจนอยากจะซื้อ แต่เมื่อเขาหยิบตัวอย่างขึ้นมาให้ผมเห็น กลับกลายเป็นเนื้อหนอนยักษ์ขนาดใหญ่ที่ทำให้ผมแทบจะเป็นลมตรงนั้น ด้วยความกลัว ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่น่าขนลุกนี้

“ที่นี่ไม่มีผักขายเลยหรอครับ? ผมเดินไปมาจะหลายรอบแล้ว ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว”

“แสดงว่าไม่ใช่คนประเทศนี้สินะ”

“ขะ..ครับ?”

พ่อค้าที่แม้ว่าจะมีกล้ามเป็นมัดแต่ก็ดูเป็นมิตรพูดคุยสนุกสนานจนกระทั่งผมถามคำถามนั้นไปเขาก็ดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปจนบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัด ทำเอาผมรู้สึกหายใจไม่ออกไปโดยปริยาย

“นายรู้จักนครวาโลเรีย อย่างน้อยถ้าเป็นคนต่างประเทศก็น่าจะได้ยินมาบ้างนะ” นครวาโลเรีย?

ปีที่55 หลังจากนครวาโลเรียล่มสลาย

ชื่อนี้ผมจำได้จากคุณพยาบาลผมชมพูคนนั้นที่เคยบอกปีของผมเอาไว้

“อ๋า ผมจำได้อยู่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ไม่ผักขายละครับ?”

“55ปีที่แล้วก่อนนครวาโลเรียล่มสลาย ในวันแห่งการประกาศสงครามที่เต็มไปด้วยความหวังและความกล้าหาญ ของกษัตริย์เฮนรีอัส เพื่อเป้าหมายทัพในการโค่นล้มจอมมารที่มีอำนาจสูงส่งและมีอิทธิพลที่อันตราย สุดท้ายเมื่อการต่อสู้มาถึง จุดจบของการต่อสู้นั้นคือการที่กษัตริย์เฮนรีอัสได้สู้จนตัวตาย ท่ามกลางการปกป้องอาณาจักรด้วยหัวใจที่ไม่ยอมย่อท้อ ทว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือจอมมารได้หายไปพร้อมกับการทิ้งคำสาปไว้ในผืนดินของประเทศนี้ คำสาปนั้นได้ทำให้ผืนดินกลายเป็นที่แห้งแล้งและความอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นความเปล่าเปลี่ยว ทุกสิ่งที่ปลูกลงไปนั้นไม่สามารถเติบโตได้”

เมื่อได้ยินเรื่องเล่าของพ่อค้าผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยมาตลอดที่เดินสำรวจมาที่เมืองแห่งนี้ผืนดินทุกที่แม้จะดูมีหญ้าปกคลุมแต่ก็ล้วนเป็นหญ้าที่แห้งตายรวมถึงดินที่ดำทมิฬดูหม่นหมองจับใจ

“แล้วไม่มีใครคิดจะแก้มันเลยหรอ?”

“ก็ใช่ว่าจะไม่มี นักเวทย์ฝีมือดีหลายคนก็พยายามมานับหลายสิบครั้งแต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จสักคน ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากจะให้ดินสามารถกลับมาปลูกพืชผักได้อีกครั้ง”

ยิ่งผมฟังผมก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ ต่อให้เมืองนี้จะดูสวยงามเพียงไหนแต่เมื่อขาดสีสันความเขียวขจีของพืชดอกไม้ก็ดูหม่นหมองจนไม่น่าอยู่อาศัย แต่ถึงแม้จะดูไม่น่าอยู่อาศัยแค่ไหน ชาวบ้านในเมืองก็ไม่สามารถจะย้ายไปไหนได้ ลำพังการหาอาหารกินอยู่แบบนี้ก็แทบจะไม่สบายอยู่แล้ว อย่านึกถึงการต้องออกเดินทางและต้องเตรียมเสบียงเชียว

แต่ผมก็ดันลืมสิ่งนึงไปนั่นคือสมุดเวทย์ที่ผมมีติดตัวอยู่ ในเมื่อสกิลที่ติดตัวของผมเป็นเกี่ยวกับการเกษตรก็น่าจะทำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

“พ่อค้า พอจะมีพื้นที่ทำไร่มั้ย ผมเป็นนักเวทย์เช่นกันอยากจะลองเผื่อว่าตัวผมเองจะทำอะไรได้บ้าง”

“เรียกฉันว่าแกรกซ์ได้นะ ละก็เรื่องแบบนั้นมีอยู่แล้ว ตระกูลของฉันเนี่ยเป็นชาวไร่มาก่อนนะ แต่ว่าฉันไม่มีอะไรตอบแทนหรอกนะพ่อหนุ่ม ”

“ไม่เป็นไรครับแกรกซ์ ผมทำด้วยความสมัครใจ” แกรกซ์พยักหน้าเล็กน้ยก่อนที่ร่างกายกำยำของเขาจะเดินนำไปที่ทุ่งไร่ที่ไม่ห่างจากตัวหมู่บ้านมากนัก

พื้นดินที่ถูกพรวนเอาไว้พร้อมปลูกแต่กลับมีแต่ความว่างเปล่าไร้แม้แต่เมล็ด บรรยากาศอึมครึมจนน่าเวทนา พื้นที่แม้จะกว้างใหญ่แต่เมื่อไม่สามารถปลูกอะไรได้มันก็แค่ลานกว้างสำหรับวิ่งเล่นเท่านั้น

ผมหยิบหนังสือเล่มถนัดมือออกมาพลางเปิดหาคาถาที่อาจนะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์แบบนี้โดยมีแกรกซ์คอยยืนให้กำลังใจอยู่ห่างๆ

เมื่อเจอบทที่ผมคิดว่าน่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ผมจึงค่อยๆ เดินไปยังตรงกลางลานกว้าง ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ก่อนจะเริ่มร่ายคาถาออกมา ลำแสงจากพลังเวทย์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวผม ขณะที่ผมพยายามใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ท้าทายนี้

“อีโนก้า ฟาร์นาอิส! ดินดั่งมวลสาร, เปลี่ยนแปลงสุขสม, ฟื้นฟูทรัพยากร, เสริมพลังการเติบโต!”

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมตะลึงกับผลลัพธ์เล็กน้อยก่อนจะหันไปมองที่แกรกซ์  เขาไม่พูดอะไรออกมาพลางยกชูโป้งมาให้ผมอย่างยิ้มแย้มโดยที่เขายังไม่รู้ว่าผมเริ่มใช้คาถาไปแล้วและมันไม่ได้ผล

“เฮลิออส โนวัส! ดินพร่างพราว, จงกลับมาสดชื่น, ดินอุดมไปด้วยชีวิต!”

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นดังเดิม

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนเพราะมั่นใจไปซะเต็มร้อยว่าตัวเองจะทำมันได้ แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่เป็นท่า ผมจึงรีบเปิดหาบทคาถามาเพิ่มอีกจนกระทั่งเจอบทสุดท้ายที่มีคำเตือนไว้เยอะจนลายตา

「คาถานี้สำหรับนักเวทย์เฉพาะทางหรือแรงค์สูงเท่านั้น」

ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อยแม้จะไม่รู้ว่าผลกระทบของมันคืออะไรแต่มันคือทางเลือกสุดท้ายที่ผมต้องลองมันให้ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มีประโยชน์มากกว่านี้ด้วยเถอะ

“เทเร่ย์ มานา ฟลอรีอัส! เปลี่ยนพฤกษ์แห่งดิน, ร่ายมนตร์เติมเต็ม, เปิดทางแห่งชวิตให้ข้าผู้นี้ด้วยเถิด!”

*กึก*

สุดท้ายก็ไร้ซึ่งวี่แววของผืนดินสีเขียวขจี ไม่มีแม้แต่พุ่มหญ้าเล็กๆปรากฏโผล่ขึ้นมา มีพียงเสียงก้อนหินขยับเล็กน้อย ผมถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง หลงคิดไปว่าสกิลติดตัวที่ได้มาจากหมอนี่จะมีประโยชน์มากกว่านี้

ผมค่อยๆเดินออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด แกรกซ์แค่มองมาในตาของผมเขาก็รู้ทันทีว่ามันไม่สำเร็จ เขาตบไหล่ผมเบาๆเป็นการปลอบโยนในความพยายาม

แต่แล้ว เหมือนกับเทพเจ้าทรงโปรด ทันทีที่ผมหันหลังกลับไป ผืนดินที่เคยดำทมิฬกลับเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามที่ควรจะเป็น ใบหญ้าที่อยู่รอบข้างเริ่มกลับมาเป็นสีเขียวขจีและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงของธรรมชาติที่เงียบงันกลับคืนสู่ชีวิต ทำให้รู้สึกถึงความสมบูรณ์และความสดชื่นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

แกรกซ์อ้าปากค้างไปสักพัก ก่อนจะพยายามให้ผมดูผลลัพธ์จากสิ่งที่ผมทำ แม้ว่ามันจะยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ดินบางส่วนยังคงเป็นสีทมิฬ แต่ส่วนที่อยู่รอบๆ สวนไร่กลับมีสีน้ำตาลอ่อน เริ่มจากจุดที่ผมยืน มันแพร่ขยายเป็นวงกลมขนาดใหญ่ และมีวัชพืชงอกเงยออกมาเป็นหย่อมๆ ในพื้นที่ที่ได้รับการฟื้นฟู

“นะ..นายทำได้ยังไง..”

“ผมไม่รู้”

“เปิดแถบสถานะนายเดี๋ยวนี้เลย”

ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะร่ายคาถาเปิดแถบสถานะให้แกรกซ์ดู เมื่อแถบสถานะปรากฏขึ้น แกรกซ์แทบจะผลักผมออกเพื่อที่จะได้อ่านข้อมูลบนแถบสถานะอย่างละเอียด

“เวทย์มนต์แห่งการเกษตร! นี่มันบ้าไปแล้ว นายมาจากตระกูลสูงศักดิ์รึไง!?”

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหมายถึงอะไร แล้วทำไมเขาถึงดูตื่นตระหนกมากกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ จากชายหนุ่มที่ดูเข้มขรึมไหงกลายเป็นกระต่ายตื่นตูมไปซะได้

“แล้วเราจะต้องทำยังไงต่อ?” ผมถามพลางเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า

“ฉลองสิ! เดี๋ยวฉันจะไปบอกทุกคนในหมู่บ้านนะ! นายรอตรงนี้” แกรกซ์พูดจบแล้วรีบวิ่งเข้าหมู่บ้านไปกระจายข่าว ส่วนผมก็ยังนั่งรออยู่ข้างๆ สวนไร่ ก่อนจะสังเกตเห็นมือของตัวเองที่กลายเป็นสีดำจนดูน่ากลัว บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขณะที่ผมพยายามทำใจให้สงบและมองไปยังผลลัพธ์ที่ได้จากความพยายามของตัวเอง

นี่สินะผลข้างเคียงที่ไม่มีบอกเอาไว้

แล้วทำไมถึงไม่มีบอกกันนะ

จู่ๆ ทุกอย่างก็บิดเบี้ยวราวกับถูกบดขยี้จนยับยู่ยี่ ผมรู้สึกถึงอาการมึนหัวอย่างรุนแรงราวกับสมองถูกบีบ หายใจเริ่มติดขัดจนแทบจะหยุดหายใจ ท้ายที่สุดภาพทุกอย่างก็ตัดขาดไปในความมืดมิด