จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก - บทที่3 | ตั้งรากฐาน โดย เบบี้มู้ด @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก,เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก

รายละเอียด

จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ผู้แต่ง

เบบี้มู้ด

เรื่องย่อ


‘ชีวิตของผมเคยเป็นเรื่องราวธรรมดาของพนักงานเงินเดือนในเมืองใหญ่ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งวันนึงที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นจึงทำให้ผมถูกพาตัวไปยังโลกแห่งเวทมนตร์ที่ผมไม่เคยรู้จัก’




ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และความลึกลับ เลฟต้องทิ้งชีวิตที่เคยรู้จักและเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ เขาไม่ใช่แค่ต้องหาทางกลับบ้านในโลกเดิมแต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการเป็นชาวไร่ในดินแดนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกใบเก่า


ในขณะเดียวกันเลฟกลับพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่เกี่ยวกับการเกษตร เขาต้องปลูกพืชพันธุ์ที่มีพลังเวทมนตร์ ใช้เวทมนตร์ในการดูแลฟาร์มและปกป้องมันจากภัยคุกคามที่หลากหลาย เขาเผชิญกับอุปสรรคและการต่อสู้ที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ การจัดการทรัพยากรและการทำภารกิจต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตใหม่




[นิยายเรื่องนี้อ่านฟรีจนจบ]

สารบัญ

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่1 | ชีวิตใหม่,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่2 | การฟื้นคืน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่3 | ตั้งรากฐาน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่4 | อาหารต่างโลก,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว

เนื้อหา

บทที่3 | ตั้งรากฐาน


เสียงผู้คนฮือฮาปนกับเสียงนกร้องในยามเช้าตรู่ทำให้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรำคาญและไม่สบายตัว เมื่อผมลืมตาขึ้น ก็พบกับเพดานที่คุ้นเคยและคุณพยาบาลที่รู้จักดี เธอส่งยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยปากพูดคุย

“เจอกันอีกแล้วนะคะ คุณเลฟ”

“ครับ เจอกันอีกแล้ว”

คำพูดและน้ำเสียงของเธอแสดงถึงความขี้เล่น รอยยิ้มที่เธอมอบให้ทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นภายในใจราวกับเหมือนตัวเองได้กลับมาที่บ้านอีกครั้ง

“ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับคุณพยาบาล ผมนึกว่าจะไปต่างโลกอีกซะแล้ว คุณเนี่ยเหมือนจะเป็นจุดเซฟของผมเลยนะครับ”

“เรียกฉันเอลซิเรียเถอะค่ะ ในเมื่อฉันเป็นจุดเซฟให้คุณเลฟ เราคงอาจจะเจอกันบ่อยๆ รู้ชื่อไปคงไม่เสียหายอะไรหรอก ใช่มั้ยคะ”

เอลซิเรีย ช่างเป็นชื่อที่เพราะที่สุดที่เคยได้ยินมาเลยละ ผมพยักหน้ารับความเห็นของเธอ ก่อนจะพยุงตัวออกจากเตียงและลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ

“ขอบคุณที่ช่วยรักษาผมนะครับ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ คนที่รักษาคุณเลฟ คือคุณหมอโซรอสต่างหาก” หลังจากสิ้นสุดคำพูดของเอลซิเลย ประตูบานใหญ่ของห้องก็เปิดออก เผยให้เห็นชายที่มีผมสีดำสนิท นัยน์ตาเฉียบคมและหูจิ้งจอกสีดำที่โดดเด่น ใบหน้าของเขาหล่อเหลา ยากจะละสายตา 

“คุณรู้มั้ยว่าบางสิ่งบางอย่างที่มีข้อห้ามไว้ ก็คือห้ามยุ่ง ห้ามอ่าน ห้ามนำมาใช้” แม้ใบหน้าของเขาจะดูเป็นมิตรพร้อมกับน้ำเสียงที่เปร่งออกมานั้นดูอ่อนโยนแต่เมื่อได้ลองไปลึกๆเข้าในดวงตาคู่นั้น กลับรู้สึกถึงความเย็นชาที่แพร่กระจายออกมา

“อะ ผมขอโทษครับคุณโซรอส และก็ขอบคุณที่รักษาผมด้วยนะครับ ขอบคุณมากนะครับ” ผมก้มศรีษะลงเพื่อเป็นการขอบคุณเขาอย่างซึ้งใจ โซรอสไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เขายังคงยืนนิ่งมองผมด้วยความสงบ ก่อนจะหันไปพูดคุยกับเอลซิเรียในภาษาที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้

“Vira'ah nara'lun teshk’el nira bora, mae vik shan ku loran tel ivor (ถ้าข่าวเรื่องของผู้ชายคนนี้หลุดไปถึงในเมืองใหญ่ มีหวังเขาจะโดนใช้งานจนตายแน่ๆ)”

“Sa kelan nar zi do rak? (แล้วเราต้องทำกันยังไงคะ?)”

“Vira'lan kel mor, her kral sol vin (เก็บเป็นความลับซะ บอกชาวบ้านด้วย)” 

ทันทีที่บทสนทนาของภาษาที่แสนจะแปลกประหลาดจบลง     โซรอสก็กระตุกคิ้วด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ผมที่อยู่ไกลๆก็ยังสัมผัสมันได้ถึงออร่าที่เขาแผ่ออกมา

ผมเหลือบสายตาหันไปมองเอลซิเลียที่ยืนพิงกำแพงพลางก้มศีรษะลงเล็กน้อย แสดงถึงความเศร้าที่อยู่ภายในใจและยากเกินกว่าจะบรรยายออกมา

“เขาพูดไม่ดีใส่คุณหรอครับ?” หล่อนสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่ผมเอ่ยถาม ใบหน้าที่มีความหม่นหมองกลับมาสดใสภายในพริบตา

“ไม่เลยค่ะ ไม่มีอะไรเลย” ท่าทางของเธอดูลุกลี้ลุกลนจนผิดสังเกต แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไร และเริ่มต้นการสนทนาเกี่ยวกับการออกจากโรงพยาบาลและการจ่ายค่ารักษาแทน

จนสุดท้ายก็ได้มาว่ารู้ว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นมีคนจ่ายให้เสียแล้ว และคนที่จ่ายนั้นไม่ใช่ใครไหนไกล นั่นก็คือพ่อค้าไฟแรงอย่างแกรกซ์นั่นเอง

หลังจากที่โบกมือลาเอลซิเรียและก้มศีรษะขอบคุณเธอที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด ผมก็ได้เดินออกจากโรงพยาบาลที่คุ้นเคยก่อนจะเจอชาวบ้านมากหน้าหลายตาจ้องมองมาที่ผมก่อนจะกรูกันเข้ามาห้อมล้อมรอบกาย

“ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่ม ขอบคุณมากๆ” เสียงผู้คนต่างแตกเป็นเสียงเดียวกัน คำพูดชมที่ไหลหลากเทเข้ามา แม้บางคำจะดูเกินหน้าเกินตาไปนิดหน่อยแต่ผมก็รับมันไว้อย่างเต็มใจ

ขณะที่ผู้คนห้อมล้อมรอบตัวผม เสียงพูดคุยดังก้องอยู่รอบด้าน ทันใดนั้น มือปริศนาคว้าจับไหล่ผมไว้ ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอหันไปเห็นใบหน้าเขา ความรู้สึกโล่งใจก็พลันเข้ามาแทนที่ เมื่อคนนั้นคือแกรกซ์ คนที่ผมรู้สึกสนิทมากที่สุดในตอนนี้

“ทุกคน อย่าพึ่งรุมเขาได้มั้ย? เขาก็พึ่งเข้าโรงพยาบาลมาด้วย ให้เขาได้พักบ้างเถอะ” หลังจากแกรกซ์พูดจบ ชาวบ้านก็เริ่มบ่นพึมพำกันเบาๆ ก่อนจะแยกย้ายเดินไปคนละทิศทาง จนในที่สุดก็เหลือเพียงผมและแกรกซ์

เขาหันมามองผมด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเปิดบทสนทนาครั้งใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจ

“หลังจากที่นายช่วยฟื้นคืนผืนดินฉันและเหล่าชาวบ้านก็ตัดสินใจว่าจะให้นายเป็นคนคอยดูแลสวนผักให้พวกเราถึงแม้ว่าจะตระกูลของฉันจะเป็นชาวไร่ชาวนามาก่อนแต่เพราะเลิกทำไปนานแล้วฉันก็เลยไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับพวกนี้เลย แต่ถ้านายรู้สึกว่าไม่อยากทำพวกฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“ทำครับ”

ผมตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ใครบ้างจะปฏิเสธงานง่ายๆ แบบนี้ล่ะ? ไม่ต้องไปสู้กับมอนสเตอร์หรือออกล่าสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะพิลึกอย่างเนื้อหนอนยักษ์ที่แกรกซ์เอามาขาย คำตอบของผมทำเอาพี่แกเหวอไปสักพักใหญ่ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจะไปถึงหู

“ดีมากๆ” เขาพูดพลางตบหลังผมดังปั๊ก จนผมแทบจะกระอักเลือดออกมาและนอนตายอยู่ตรงนั้นให้จบๆ

หลังจากจบบทสนทนา แกรกซ์ก็พาผมไปยังสวนกว้างอีกครั้ง พร้อมแนะนำพื้นที่ต่างๆ เท่าที่จะอธิบายได้ เขายังเสนอว่าจะสร้างบ้านให้ผมในระหว่างที่กำลังสร้างบ้านกับชาวบ้านบางส่วนด้วย หนึ่งในห้องพักของหมู่บ้าน เขาเสนอให้ผมอยู่ฟรี โดยมีเงื่อนไขว่าผมต้องนำผักที่ปลูกได้ในอนาคตมาใช้แทนเงินเป็นค่าที่พักและเป็นค่าตอบแทนที่ผมแก้คำสาปได้

“และนี่คือตำราที่บ้านฉันเก็บเอาไว้ ฝุ่นมันก็จะเกาะหน่อย” แกรกซ์พูดพร้อมยื่นหนังสือบางเล่มให้ผม หน้าปกของมันเขียนว่า ตำราสวนพืชผัก แม้หนังสือเล่มนี้จะไม่หนามาก แต่ก็เชื่อว่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ผมได้

เมื่อผมเปิดหนังสือและเริ่มพลิกอ่าน ก็พบกับพืชพันธุ์ที่หลากหลายซึ่งแตกต่างจากโลกที่ผมเคยรู้จัก ทั้งสีสันที่สวยงามและสรรพคุณที่น่าทึ่ง หนังสือไม่เพียงแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลไม้และสมุนไพรต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ทำยาได้อีกด้วย

「 โฟลเรนชิพ (Florenchipe)

คุณสมบัติ: ผักกาดที่มีใบสีเขียวเข้มและรสชาติหวาน ทำให้การทำงานหนักไม่เหนื่อยและเพิ่มพลังในการทำงานและต่อสู้ 」

นี่คือข้อความแรกที่ทำให้ผมสะดุดตาทันที ก่อนจะค่อยๆ เริ่มอ่านมันอย่างละเอียดมากขึ้น เนื้อหาด้านในเต็มไปด้วยสรรพคุณที่น่าสนใจจนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปถาม  แกรกซ์อีกครั้ง

“แล้วพวกเมล็ดจะหาได้จากไหน?”

“ฉันน่าจะมีอยู่ในบ้าน เอาไว้เดี๋ยวไปค้นให้นะ”

“ทำไมนายถึงยังมีของแบบนี้อยู่ทั้งที่นครนั้นล่มสลายไปแล้ว ทำไมนายถึงยังมีอะไรแบบนี้อยู่กันละ?”

ผมแอบตกใจเล็กน้อย แกรกซ์ดูเหมือนจะมีทุกสิ่งที่ผมต้องการ ทั้งๆ ที่อารยธรรมในโลกนี้ล่มสลายไปนานแล้ว แต่เขากลับยังมีของหายากเหล่านี้ไว้ในครอบครอง มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหามาได้อย่างไร

“เพราะความโชคดีละมั้ง ที่ท่านแม่ของผมเป็นคนที่ชอบซื้อเมล็ดพันธุ์เก็บไว้จำนวนมากและความโชคดีซ้ำสองที่หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร” แม้เสียงของเขาจะเจือความเศร้าหมอง แต่บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเมื่อเอ่ยถึงแม่ของเขา 

ผมเผลอยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ฟังแบบนั้น แต่สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้รู้ว่า ความตายอันโหดร้ายได้พรากเธอไป โดยไม่เหลือแม้แต่ร่างให้ได้ไว้อาลัย

“เอาเป็นว่า วันนี้ไปพักผ่อนก่อนเถอะนะ แล้วก็ถ้าเริ่มงานก็มาเริ่มได้ทุกเมื่อเลยนะ ส่วนเรื่องเมล็ดพันธุ์ เดี๋ยวผมจะเอามาให้นะ” 

แม้เพิ่งจะเล่าเรื่องเศร้าออกมา แต่เขากลับไม่แสดงอาการโศกเศร้าแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังตบบ่าผมให้กำลังใจ ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ

ผมชักเริ่มอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ไวๆชะมัดเลย