จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก - บทที่4 | อาหารต่างโลก โดย เบบี้มู้ด @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก,เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก

รายละเอียด

จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ผู้แต่ง

เบบี้มู้ด

เรื่องย่อ


‘ชีวิตของผมเคยเป็นเรื่องราวธรรมดาของพนักงานเงินเดือนในเมืองใหญ่ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งวันนึงที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นจึงทำให้ผมถูกพาตัวไปยังโลกแห่งเวทมนตร์ที่ผมไม่เคยรู้จัก’




ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และความลึกลับ เลฟต้องทิ้งชีวิตที่เคยรู้จักและเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ เขาไม่ใช่แค่ต้องหาทางกลับบ้านในโลกเดิมแต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการเป็นชาวไร่ในดินแดนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกใบเก่า


ในขณะเดียวกันเลฟกลับพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่เกี่ยวกับการเกษตร เขาต้องปลูกพืชพันธุ์ที่มีพลังเวทมนตร์ ใช้เวทมนตร์ในการดูแลฟาร์มและปกป้องมันจากภัยคุกคามที่หลากหลาย เขาเผชิญกับอุปสรรคและการต่อสู้ที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ การจัดการทรัพยากรและการทำภารกิจต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตใหม่




[นิยายเรื่องนี้อ่านฟรีจนจบ]

สารบัญ

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่1 | ชีวิตใหม่,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่2 | การฟื้นคืน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่3 | ตั้งรากฐาน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่4 | อาหารต่างโลก,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว

เนื้อหา

บทที่4 | อาหารต่างโลก


ในที่สุดรุ่งสางก็มาเยือน ผมตื่นขึ้นพร้อมเสียงนกร้องประสานกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามาในห้อง ทำให้รู้สึกเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมรีบลุกไปเปิดดูว่าใครที่มาเยือนในยามเช้าตรู่แบบนี้

เมื่อเปิดประตูออก ผมพบกับแกรกซ์ที่วันนี้แต่งตัวเหมือนช่างฝีมือที่กำลังจะออกไปทำงาน เขายื่นถุงบางอย่างให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ผมรับถุงนั้นไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ แล้วเราทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระกันไปเรื่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง นอนสบายไหม วันนี้อยากทำอะไร กินอะไรรึยัง พลางหัวเราะไปด้วยกันอย่างสบายใจ

เมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร ผมก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองแทบไม่ได้กินอะไรเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา เพราะนอนโรงพยาบาลโดยไม่พัก แต่ถึงแม้จะตื่นมา ผมก็ไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด ผมอธิบายเรื่องนี้ให้แกรกซ์ฟัง เขาหัวเราะร่าออกมาอย่างสนุกสนานก่อนจะอธิบายให้ฟังว่า ยาที่ผมได้รับมีส่วนผสมพิเศษเกี่ยวกับการทดแทนอาหาร เมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็เหมือนกับได้รับพลังงานจากอาหารสามมื้อ มันเป็นสูตรเฉพาะที่นักเดินทางหลายคนใช้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีเงินพอซื้อมันได้

แต่วันนี้ผมไม่ได้รับยานั้นแล้ว ทำให้ต้องออกไปหาอะไรกินในตอนเช้า เพราะตอนนี้ท้องผมเริ่มร้องดังโครกครากจนแทบจะทนไม่ไหว

แกรกซ์ที่เห็นท่าทางของผม เขาก็เสนอว่าจะพาไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมบอกเหตุผลว่า

"ตลอดมาผมให้แกรกซ์ช่วยมาตลอด ตอนนี้ผมอยากลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองดูบ้าง"

แกรกซ์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ราวกับพ่อที่มองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะเอ่ยปากว่า

"ถ้ามีอะไรก็ให้ฉันช่วยได้เสมอนะ"

หลังจากที่แกรกซ์พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปเพื่อเริ่มงานของเขา ผมค่อยๆ ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันกลับมาสำรวจของที่อยู่ภายในถุง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและความคาดหวังในสิ่งที่กำลังจะได้เห็น

เมื่อได้ลองเปิดดูก็พบว่าภายในนั้นมีเมล็ดพันธุ์อยู่จำนวนนึงซึ่งถูกเก็บไว้ในถุงผ้าขนาดเล็ก เมื่อได้ลองนับถุงผ้านั้นแล้วถึงจะรู้ว่าแกรกซ์นำมาให้ผมถึงห้าถุง

ภายในนั้นมีทั้ง

「 บลูมูนแครอท, ดรีมบลอสซัม, มะเขือเทศซิลเวอร์, ฟลอเรนคอร์น, อควาเบลลี่ 」

ชื่อเหล่านี้ถูกเขียนไว้ที่ด้านหน้าของถุง ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออ่านคุณสมบัติของมันจากหนังสือ โดยส่วนใหญ่พวกมันจะช่วยเสริมพลังในการใช้เวทย์มนตร์ และแต่ละอันก็แตกต่างกันไป

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมและทำให้ผมตัดสินใจเริ่มปลูกคือมะเขือเทศซิลเวอร์ ด้วยคุณสมบัติของมันที่ทำให้หายเหนื่อยล้า ผมน่าจะมอบมันให้แกรกซ์ได้บ้าง

ก่อนอื่นเลย สิ่งที่ผมควรทำตอนนี้คือการเติมพลังด้วยมื้อเช้า

หลังจากเดินออกจากห้องพัก ผมพบกับผู้คนมากมายที่เดินไปมาอย่างพลุกพล่าน ราวกับวันนี้เป็นวันเทศกาลใหญ่ บางคนสวมชุดสีสันแปลกตาที่น่าจะมาจากต่างแดน 

 เสียงพ่อค้าแม่ค้าเจี๊ยวจ๊าวเร่ขายของดังขึ้นตลอดทาง ส่วนใหญ่ขายเนื้อสัตว์สีแปลกตา ยิ่งถ้าใครมีเนื้อสัตว์หายากก็ยิ่งมีลูกค้ามากขึ้น

เมื่อมาถึงหน้าร้านแห่งหนึ่ง บรรยากาศหน้าร้านเต็มไปด้วยสีสันสดใส การตกแต่งดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมด้วยดอกไม้สดที่ดูราวกับของปลอมและป้ายไม้แกะสลักสวยงาม เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร และบรรยากาศคึกคักด้วยเสียงพูดคุยของลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่นั่งทานอาหารกันอยู่

“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ” เสียงของหญิงสาวผมบลอนด์ในชุดเมดเอ่ยขึ้น แม้ใบหน้าของเธอจะดูดุดัน แต่เสียงของเธอกลับนุ่มนวลจนชวนเคลิ้ม ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นทำให้ผมต้องจับจ้องอย่างไม่สามารถละสายตาได้

“มาท่านเดียวนะคะ” เธอยิ้มอย่างเชิญชวนก่อนจะเดินนำทางไปยังโต๊ะเก้าอี้ไม้ภายในร้าน พลางวางกระดาษที่น่าจะเป็นเมนูของที่นี่ไว้บนโต๊ะ

เมื่อผมได้ลองกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ อาหารของที่นี่คงจะเป็นเนื้อสัตว์จนหมดเพราะส่วนใหญ่นั้นไม่สเต็กก็สตูว์เนื้อสัตว์

“ผมเอาสตูว์ทะเลในแสงจันทร์”

“เลือกได้ดีค่ะ” 

ผมเลือกเมนูไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เธอรับออ  เดอร์ของผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวท้ายร้าน

เมื่อได้ลองมองไปรอบด้านของร้านความรู้สึกแรกที่รับรู้คือความอบอุ่นและเป็นกันเองของบรรยากาศ ผนังร้านตกแต่งด้วยไม้สลักลวดลายซับซ้อนที่ให้ความรู้สึกถึงความประณีตและดั้งเดิม โคมไฟแขวนที่ส่องแสงนวลไปรอบๆ ทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวาและไม่เงียบเหงา โต๊ะไม้และเก้าอี้ที่มีพนักพิงสูงถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และพื้นร้านที่ปูด้วยกระเบื้องหินลวดลายงดงามสร้างบรรยากาศที่เรียบหรู

มิหนำซ้ำมุมหนึ่งของร้านมีบาร์ไม้ยาวที่ให้บริการเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เสียงพูดคุยและหัวเราะของลูกค้าผสมผสานกับกลิ่นหอมของอาหารและเครื่องเทศที่ลอยออกมาจากห้องครัว

บางครั้งเสียงเคาะของเครื่องครัวและการทำอาหารจากห้องครัวท้ายร้านทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

เพียงแค่ถอนหายใจไม่กี่เฮือกอาหารของผมก็เสริ์ฟซึ่งมันไวราวกับโกหก ผมก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อขอบคุณสาวเมดผมบลอนด์คนนั้น เธอก้มศรีษะลงเพื่อตอบรับคำขอบคุณของผมเช่นกัน

เมื่อผมได้ลองมองอาหารที่ถูกเสิร์ฟตรงหน้า ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับสีสันของมันที่ดูจืดจาง มีเนื้อที่ไม่คุ้นตาจัดเรียงอยู่ในน้ำสีขาวขุ่นที่ขาดสีสันสดใส

แม้ว่าเนื้อจะถูกหั่นอย่างสวยงาม แต่สีของมันดูไม่เด่นมากนัก เมื่อได้ลองชิมเข้าไปหนึ่งคำก็เหมือนราวกับว่าเมนูนี้ขาดอะไรบางอย่างไป เหมือนว่ารสชาติจะไม่สุดเท่าไหร่

แม้ว่าสีสันของสตูว์จะดูจืดจางและไม่ค่อยดึงดูด แต่เมื่อมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอด ผมจึงต้องจำใจกินมันจนหมด ไม่เหลือสักหยดเดียว

ผมกล่าวขอบคุณเมดสาวที่มาทำความสะอาด ก่อนจะจ่ายเงินสิบเอลโซพร้อมกับทิปอีกสองเอลโซ หญิงสาวขอบคุณด้วยความจริงใจและยิ้มอย่างอบอุ่น

หลังจากเดินออกมาจากร้านอาหาร ผมรีบตรงไปยังลานกว้างทันที เพื่อเริ่มภารกิจปลูกผักสักที รู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาไปมากพอแล้ว

เมื่อไปถึงจุดหมาย ผมพบแกรกซ์และชาวบ้านบางคนกำลังตัดต้นไม้ที่มีใบสีดำราวกับเฉาตายไปแล้ว ด้วยความสงสัย ผมจึงตัดสินใจเดินไปถามพวกเขา

“ไม่ใช่ว่าพวกมันตายไปแล้วหรอ?”

“โอ้ ว่าไงพ่อหนุ่ม?” แกรกซ์กล่าวทักทาย “ใช่แล้ว ต้นไม้พวกนี้ดูเหมือนตายไปแล้ว แต่ลำต้นของมันยังคงมีพลังเวทย์อยู่ด้านในและยังพยายามสู้กับคำสาปมาตลอด ทำให้ลำต้นยังไม่ตายตามใบของมัน เราสามารถนำมันมาทำประโยชน์ได้อยู่” เขาพูดจบก็หันไปทำงานของเขาต่อ ส่วนผมหลังจากได้คำตอบให้หายสงสัยแล้วก็เดินมายังส่วนที่ทำงานของผมเช่นกัน

ผมถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อความสะดวก ก่อนจะเดินไปยังห้องเก็บของเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยข้าวของที่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว ผมเริ่มรื้อค้นอย่างระมัดระวังเพื่อค้นหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงาน วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น แต่ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เริ่มต้นโครงการปลูกมะเขือเทศซิลเวอร์ที่รอคอย

หลังจากพบเครื่องมือที่ต้องการแล้ว ผมจึงเดินออกมายังลานกว้างเพื่อเริ่มพรวนดิน ผมหยิบจอบและเสียมมาพร้อมกับมือที่เตรียมพร้อมที่จะทำงาน พื้นดินแห้งและแข็ง แต่ผมใช้แรงอย่างเต็มที่ในการขุดและพรวนเพื่อให้มันนุ่มและพร้อมสำหรับการปลูก

การทำงานแบบนี้ทำให้ผมเหงื่อออกเล็กน้อย แต่ความมุ่งมั่นในการเตรียมพื้นที่ให้ดีที่สุดช่วยให้ผมมีกำลังใจ เมื่อดินเตรียมพร้อมแล้ว ผมเริ่มวางเมล็ดมะเขือเทศซิลเวอร์ลงในหลุมที่ขุดไว้แต่ละหลุมอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเงียบสงบของพื้นที่ผมรู้สึกถึงความคาดหวังและความหวังที่จะเห็นผลลัพธ์ในไม่ช้า

โชคดีที่ว่ามีเพียงแค่ผืนดินเท่านั้นที่โดนสาปแต่พวกน้ำตามลำธารยังคงดื่มกินได้ตามปกติ นั่นหมายถึงผมสามารถนำมารดให้กับเหล่าพวกผักของผมได้

นั่นทำให้ผมตัดสินใจหยิบถังน้ำขนาดกลางสองใบ เพื่อไปตักน้ำจากลำธารที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ผมเดินไปยังลำธารที่ไหลอย่างสงบ และเริ่มตักน้ำอย่างระมัดระวัง ก่อนจะนำมันกลับมาเติมลงในดินอย่างช้าๆ

เมื่อคืนก่อนที่ผมจะหลับตาลง ผมลองอ่านหนังสือเวทย์ที่ติดตัวมานับตั้งแต่ที่ผมมาถึงที่แห่งนี้ หนังสือเล่มนี้มีหลายหน้า แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ทำให้ผมอ่านไม่หมดภายในวันเดียว เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ผมพบกับคาถาที่สามารถเร่งให้พืชพันธุ์เจริญงอกงามได้อย่างรวดเร็วละวันนี้ผมจะทดลองใช้มันกับสิ่งที่ผมพึ่งปลูกลงไป

“ฟิลาเนีย ราเลีย นิวา! ขอให้ดวงวิญญาณแห่งผืนป่าเติมเต็มชีวาให้แก่ดินให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์!”

หลังจากที่ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสมาธิในการร่ายคาถา ผมตะโกนคาถาออกมาพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสกับผืนดินแปลงผัก ทันใดนั้น เวทย์วงแหวนสีเขียวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือพื้นดิน และลมที่พัดกระหน่ำราวกับพายุรุนแรงที่เริ่มก่อตัวขึ้น

ผู้คนรอบด้านต่างฮือฮากันเมื่อบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แกรกซ์ที่อยู่ไม่ไกลนักต้องรีบหันมามองทันทีเมื่อเห็นแสงจากวงเวทย์ที่ส่องประกายขึ้น

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที วงแหวนเวทย์ก็ค่อยๆ จางหายไป และต้นอ่อนของมะเขือเทศซิลเวอร์ก็เริ่มผุดขึ้นมาจากดินอย่างช้าๆทำเอาผู้คนที่เดินมาดูต่างฮือฮาและซุบซิบกันไปทั่ว

  สายตาของผมเหลือบไปเห็นคนที่รู้สึกคุ้นตานั้นก็คือคุณโซรอส คุณหมอของโรงพยาบาลประจำเมือง เขามองมาที่ผมด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์นัก แม้จะอยู่ห่าง แต่ก็สัมผัสได้จนขนลุก เราทั้งคู่สบตากันอยู่สักพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินหายไปในฝูงชน ทิ้งไว้เพียงปริศนาที่ค้างคาใจเอาไว้ว่าผมทำผิดอะไรไปรึเปล่า