จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก - บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว โดย เบบี้มู้ด @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก,เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ปลูกผัก,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,ปลูกผัก,ทำอาหาร,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก

รายละเอียด

จากพนักงานเงินเดือนสู่ชาวไร่แห่งโลกเวทมนต์ เลฟต้องนำความรู้จากโลกเก่าและโลกใหม่มาสร้างชีวิต ปกป้องไร่ และสร้างครอบครัวในโลกใบใหม่นี้

ผู้แต่ง

เบบี้มู้ด

เรื่องย่อ


‘ชีวิตของผมเคยเป็นเรื่องราวธรรมดาของพนักงานเงินเดือนในเมืองใหญ่ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งวันนึงที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นจึงทำให้ผมถูกพาตัวไปยังโลกแห่งเวทมนตร์ที่ผมไม่เคยรู้จัก’




ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และความลึกลับ เลฟต้องทิ้งชีวิตที่เคยรู้จักและเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ เขาไม่ใช่แค่ต้องหาทางกลับบ้านในโลกเดิมแต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการเป็นชาวไร่ในดินแดนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโลกใบเก่า


ในขณะเดียวกันเลฟกลับพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่เกี่ยวกับการเกษตร เขาต้องปลูกพืชพันธุ์ที่มีพลังเวทมนตร์ ใช้เวทมนตร์ในการดูแลฟาร์มและปกป้องมันจากภัยคุกคามที่หลากหลาย เขาเผชิญกับอุปสรรคและการต่อสู้ที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ การจัดการทรัพยากรและการทำภารกิจต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตใหม่




[นิยายเรื่องนี้อ่านฟรีจนจบ]

สารบัญ

ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่1 | ชีวิตใหม่,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่2 | การฟื้นคืน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่3 | ตั้งรากฐาน,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่4 | อาหารต่างโลก,ทะลุมิติมาเป็นชาวไร่ในต่างโลก-บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว

เนื้อหา

บทที่5 | เริ่มเป็นชาวไร่แบบเต็มตัว


นี่ก็ผ่านมาร่วมสามวันแล้วที่ผมเริ่มปลูกมะเขือเทศซิลเวอร์ แม้ว่าผมจะร่ายคาถาเร่งการเจริญเติบโตไปแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าพวกมันยังคงเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น มันทำให้ผมเริ่มสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือเปล่าจึงตัดสินใจอ่านคู่มือที่แกรกซ์มอบมาให้อีกครั้ง

「ใช้น้ำสะอาดผสมกับผงเงินจากแร่เงินธรรมชาติรดเพื่อเพิ่มความแวววาวของผลมะเขือเทศ」

นั่นคงเป็นสิ่งที่ผมลืมอ่าน จึงทำให้พวกมันไม่งอกเงยอย่างที่ควรจะเป็น ผมยิ้มแหยๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะรีบเดินไปหาแกรกซ์เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

“ผงแร่เงินเนี่ย หาได้จากไหนหรอแกรกซ์” ผมเดินเข้าไปถามเขาในขณะที่เขากำลังขนย้ายไม้ที่เพิ่งตัดมาวางเรียงไว้เพื่อเตรียมเริ่มร่างโครงบ้านให้ผม เขาหันมามองเล็กน้อยก่อนจะวางไม้ลงและฟังผมอย่างตั้งใจ

“รู้สึกว่าหมู่บ้านเราน่าจะมีขายอยู่นะ แต่เพราะมันเป็นผงราคามันจะถูกมากๆเลยละ”

“มันกี่เอลโซละ?”

“อืมมมมมมม...น่าจะหนึ่งถุงต่อหนึ่งเอลโซ” นั่นถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากจริงๆ ตามที่เขาบอก เมื่อเทียบกับของใช้ทั่วไปที่เริ่มต้นที่ห้าเอลโซ ตอนนี้เงินในกระเป๋าของผมก็เริ่มแห้งลงทุกที

หลังจากสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งและลักษณะของร้านผมก็ฝากแกรกซ์ช่วยดูแลแปลงผักให้ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเข้าเมือง มุ่งหน้าไปร้านที่มีเจ้าของเป็นเอลฟ์ตามที่ได้รับข้อมูลมา

เมื่อเดินมาถึงร้านที่คาดว่าน่าจะเป็นร้านที่แกรกซ์บอก ร้านนี้สร้างจากไม้สีเข้มที่ดูแข็งแรง แต่มีรายละเอียดการแกะสลักรูปเถาวัลย์และใบไม้แห้งรอบประตูและหน้าต่าง ที่ดูเหมือนมีชีวิต

ป้ายหน้าร้านทำจากไม้แกะสลักตัวอักษรเรืองแสงเป็นภาษาที่ไม่คุ้นตา บรรยากาศภายนอกดูเงียบสงบแต่ลึกลับ เหมือนร้านนี้ถูกซ่อนตัวจากสายตาของผู้คนที่ไม่สังเกต

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในร้านถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองสลัวที่มาจากคริสตัลเรืองแสงลอยอยู่เหนือเพดาน มีอัญมณีหลากสีวางเรียงรายอยู่บนเบาะกำมะหยี่สีเข้ม ในแต่ละตู้โชว์เคสสีใส อัญมณีเหล่านั้นเปล่งประกายเบาๆ ราวกับมีชีวิตของตัวเอง

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้ทำให้บรรยากาศในร้านรู้สึกสงบและอบอุ่น เสียงลมเบาๆ พัดผ่านราวกับกระซิบถึงพลังของอัญมณีในร้าน ผมสังเกตเห็นบางชั้นมีการวางอัญมณีที่เรืองแสงเล็กน้อย พร้อมกับป้ายเล็กๆ ที่อธิบายพลังหรือคุณสมบัติพิเศษของมัน

เมื่อผมเงยหน้าขึ้น ก็พบกับเอลฟ์หนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เขาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาขี้เล่น รอยยิ้มสดใสที่ประดับอยู่บนใบหน้าทำให้บรรยากาศในร้านดูผ่อนคลายขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรและความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากเขา แม้ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับอย่างร้านอัญมณีแห่งนี้

เอลฟ์หนุ่มตรงหน้าของผมเขาสวมชุดสไตล์วิคตอเรียนที่ดูหรูหราและสง่างาม เสื้อเชิ้ตสีขาวและมีระบายลูกไม้ที่คอและข้อมือ ที่ทำจากผ้าบางเบาและดูละเอียดอ่อน

ส่วนกางเกงสีดำตัดเย็บเรียบร้อยพอดีตัว ขับให้เห็นรูปร่างที่สูงโปร่งและสง่างาม รองเท้าหนังมันเงาบ่งบอกถึงการดูแลอย่างดี เสื้อผ้าทุกชิ้นของเขาเข้ากันอย่างไร้ที่ติ

“สวัสดีครับ ผมเจย์ซิส ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ ผมรู้สึกไม่คุ้นหน้าเลย พึ่งย้ายมาหรอครับ?” เมื่อเขาถามชื่อของผม ผมก็นึกขึ้นได้ว่าชื่อของผมในตอนนี้เหมือนกับชื่อของผมในโลกเก่าที่จากมาอย่างไม่น่าเชื่อ ความบังเอิญนี้ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจและสงสัยในเวลาเดียวกันแต่มันก็มีข้อดีตรงที่ว่าผมไม่จำเป็นจะต้องจำชื่อใหม่ให้ยุ่งยาก

“ผมเลฟครับ พึ่งย้ายมาใหม่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับเจย์ซิส” ผมตอบชื่อของผมไป แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ มีเพียงสายตาคมคู่นั้นที่จ้องมองมาอย่างนิ่งเงียบ ราวกับกำลังสำรวจผมอย่างละเอียด สายตาของเขาทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกมองทะลุถึงข้างใน แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ความรู้สึกจากการถูกจ้องมองนั้นกลับทำให้ผมขนลุกเล็กน้อย

“โอเค ผมจำคุณได้ละ ผู้กล้าที่สามารถแก้คำสาปของจอมมารอีฟลินได้”

“ทำไมถึงชื่ออย่างกับผู้หญิง”

“ก็เป็นผู้หญิงไง”

ผมเบิกตากว้างทันทีเมื่อรู้ว่าจอมมารที่ใช้คำสาปสาปทั้งประเทศนั้นเป็นเพียงผู้หญิง ซึ่งจากชื่อที่ได้ยินแล้วกลับดูไร้พิษภัยอย่างไม่น่าเชื่อ

“เอาละ เข้าเรื่องดีกว่า ผมต้องการผงแร่เงินจำนวนหนึ่งถุงครับ” เขาเอียงคอมองอย่างสงสัยเมื่อได้ยินคำขอซื้อของจากผม ก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้านไป

ในขณะนั้น ผมถือโอกาสนี้เดินชมภายในร้าน ดูอัญมณีที่มีสีสันสวยงาม บางชิ้นดูคุ้นตาเหมือนกับอัญมณีในโลกเก่าของผม แต่บางชิ้นกลับไม่เคยเห็นมาก่อนและสวยงามจนละสายตาไม่ได้ ท่ามกลางแสงสลัวจากไฟคริสตัลและบรรยากาศลึกลับของร้าน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนต้องมนต์

เวลาผ่านไปสักพัก เจย์ซิสก็เดินออกมาพร้อมกับถุงผ้าขนาดเล็กสองถุง เขายื่นถุงให้ผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

“ผมต้องการแค่ถุงเดียวนะครับ และนี่ครับหนึ่งเอลโซ” ผมยื่นมือรับถุงมาเพียงถุงเดียวและยื่นเหรียญให้เขาหนึ่งเหรียญ เขาหัวเราะร่าออกมาก่อนจะดันมือผมกลับอย่างไม่ต้องการรับเงิน

“ผมให้ฟรีครับ ปกติของพวกนี้มันเอาไปทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว อยู่ไปก็รกร้านเปล่าๆ ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเอาไปทำอะไร แต่ถ้ามันได้ผล เอาผลลัพธ์มาให้ผมดูด้วยนะ ผู้กล้า” 

ผมก้มศีรษะขอบคุณเขาอย่างยกใหญ่ ขณะที่เขาก็โค้งรับคำขอบคุณของผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แต่ก่อนที่ผมจะก้าวออกจากร้าน เขาก็ยื่นอัญมณีสีม่วงมรกตมาให้หนึ่งอัน พร้อมบอกว่านี่จะนำโชคดีมาให้ผม และขอบคุณที่มาช่วยเมืองแห่งนี้ไว้

“และก็ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไลเทอเรีย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อประเทศที่ผมอาศัยอยู่ ผมกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนจะปิดประตูร้านช้าๆ ความรู้สึกหลายอย่างตีกันอยู่ในหัวขณะที่ผมเดินกลับไปยังแปลงผักที่ฝากแกรกซ์ไว้

เมื่อผมกลับมาถึงแปลงผักของตัวเอง ผมค่อยๆ เทผงเงินลงในถังน้ำอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเริ่มรดน้ำต้นมะเขือเทศซิลเวอร์ทีละต้น จนกระทั่งรดครบทุกต้น ไม่นานนักพวกมันก็เริ่มงอกขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นยอดอ่อนชัดเจน ผมคาดว่าอีกไม่ถึงสองวัน มะเขือเทศซิลเวอร์เหล่านี้คงจะออกผล พร้อมให้เก็บเกี่ยวอย่างที่หวังไว้

ขณะที่ผมยืนมองผลงานตัวเองอย่างภูมิใจ แกรกซ์ที่เพิ่งเลิกงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เขามองแปลงมะเขือเทศซิลเวอร์ของผมด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ

“ทำได้ดีมาก พ่อหนุ่ม” เขาพูดพร้อมกับตบไหล่ผมเบาๆ แสดงถึงความยินดีในความสำเร็จของผม ผมหันไปยิ้มให้เขาอย่างภูมิใจ ก่อนที่แกรกซ์จะถามผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วนายคิดจะปลูกอะไรต่อไปล่ะ หรือว่าจะลองแค่นี้ก่อน” ผมหันไปมองเขาด้วยแววตาที่ตื่นเต้น แผนการในหัวเริ่มชัดเจนขึ้น

“ผมจะปลูกดรีมบลอสซัมต่อเลย” ผมถกแขนเสื้อขึ้น พร้อมเตรียมตัวจะพรวนดินอีกครั้ง แต่ก่อนที่ผมจะเริ่ม  แกรกซ์ที่ยืนมองอยู่ก็เอ่ยปากขอช่วย ผมจึงพยักหน้าตอบรับและยื่นเครื่องมือให้เขา จากนั้นเราทั้งสองคนก็เริ่มลงมือพรวนดินไปพร้อมกัน งานดูจะราบรื่นขึ้นมากเมื่อมีคนช่วย

บรรยากาศรอบตัวผมในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงบ ลมเย็นๆ พัดเอื่อยผ่านผืนนา เสียงต้นอ่อนลู่ลมเป็นจังหวะเบาๆ ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย ท้องฟ้าโปร่งและแสงแดดอ่อนๆ ทำให้การทำงานในวันนี้ไม่เหนื่อยเกินไป ผมกับแกรกซ์ก้มลงพรวนดินอย่างตั้งใจ ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น ลมเย็นก็พัดปะทะหน้า ให้ความรู้สึกสดชื่นราวกับได้รับพลังจากธรรมชาติ รอบๆ มีเสียงนกและแมลงสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบและมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้