หากจะต้องประจานความผิดของคุณที่ได้ก่อเอาไว้ ฉันเขียนหนังสือหนึ่งเล่มอุทิศแก่ความชั่วช้าของคุณยังดีกว่า

SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น - 3 FAIRY ISLAND โดย Galene Cyrus @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,สืบสวนสอบสวน,ดาร์ค,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,สืบสวนสอบสวน,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น โดย Galene Cyrus @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หากจะต้องประจานความผิดของคุณที่ได้ก่อเอาไว้ ฉันเขียนหนังสือหนึ่งเล่มอุทิศแก่ความชั่วช้าของคุณยังดีกว่า

ผู้แต่ง

Galene Cyrus

เรื่องย่อ

สารบัญ

SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-1 THE LETTER,SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-2 PLANTING SEEDS,SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-3 FAIRY ISLAND,SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-4 CONSTANT NIGHTMARE (NC),SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-5 DIG DEEPER,SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-6 LAST CHANCE,SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้น-7 GRETCHEN JARVIS (NC)

เนื้อหา

3 FAIRY ISLAND

 

เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 34 พร้อมกับเรย์น สองคู่หูหันหน้าสอดส่องทั่วบริเวณตั้งแต่โถงทางเดิน สวนสีเขียวด้านนอก เพ็นต์เฮ้าส์ทั้งชั้นของเขาซึ่งเป็นแบบ 4 ห้องนอน เขารีโนเวทให้กลายเป็นสตูดิโอขนาดย่อมสำหรับลูกจ้างทำงานเบื้องหลังภาพยนตร์ ศูนย์เวิร์คช็อปและปล่อยเช่าบางส่วน เฮ็นดริกไม่จำเป็นต้องคุยโวโอ้อวดความสำเร็จสักคำด้วยหลายอย่างที่ตระการตาและแผ่หราอยู่ตรงหน้า เพียงแต่เงินที่ใช้ซื้อทั้งหมดนี้เป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวไม่ใช่รายได้จากภาพยนตร์เปิดตัวของเขา

“เอาล่ะ ถึงแล้ว พวกคุณกินอะไรกันรึยัง”

“เรียบร้อยแล้วล่ะ เริ่มกันเลยดีมั้ย” โซลเป็นฝ่ายพาเข้าประเด็นก่อนเพราะไม่ต้องเสียเวลาสักวินาทีในการทำงานครั้งนี้ ทว่าเฮ็นดริกขอเวลาอีกสิบนาทีเพื่อชงชาให้ทั้งคู่ เขาดูยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ในทันที เฮ็นดริกชวนเธอไปนั่งคุยที่ลานระเบียงอย่างเป็นส่วนตัวและให้อิสระกับเรย์นในการเข้าชมสตูดิโอที่ห้องอื่น ๆ ในเพ็นต์เฮ้าส์แห่งนี้ “ก่อนอื่นต้องขอบคุณคุณเฮ็นดริกที่สละเวลาและให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์ประกอบวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ด้วยนะคะ”

“ด้วยความยินดีเลยล่ะ เธอเป็นเพื่อนของฉันนี่ ไม่ต้องทางการมากก็ได้” ผู้กำกับหนุ่มตอบด้วยเสียงหัวเราะพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ “ดีใจที่ได้เจอเธอนะ สบายดีใช่มั้ย”

“ฉันสบายดีและดีใจที่ได้เจอเธอเหมือนกัน”

“ความจริงฉันไม่คิดว่าเราจะกลับมาเจอกัน คุยเรื่องธีสิสของเธอ หลังจากไม่ได้เจอกันกี่ปีนะ... สิบมั้ย ฉันยังจำตอนเราไปเที่ยวที่โรงหนังร้างได้อยู่เลย”

“น่าจะถึงนะ อาจจะเกินด้วยซ้ำ” โซลพยายามนึกถึงความทรงจำ แม้เริ่มเรือนลาง เธอจำได้เพียงแค่ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องที่นั่งห่างกันคนละมุมห้อง

“หัวข้อธีสิสของเธอน่าสนใจนะ จิตใต้สำนึกและการทำหนัง... คิดได้ไงเนี่ย”

“ก็... ฉันสนใจว่าจิตใจของผู้กำกับส่งผลต่องานครีเอทีฟยังไงบ้าง ก็เลยมาเป็นหัวข้อนี้” ในที่สุดโซลก็ได้เข้าเรื่องหลังจากพูดคุยจิปาถะมาสักพัก “งั้นช่วยเล่าให้ฟังเรื่องเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ ‘ผจญภัยเกาะนางฟ้าสาปสูญ’ ได้มั้ย หลังจากที่ได้ดูแล้ว ฉันเข้าใจว่าหนังเกี่ยวกับการค้นพบ จากลาและสูญเสีย เธอได้แรงบันดาลใจมาจากไหนเหรอ”

“ความจริงแรงบันดาลใจก็อยู่รอบตัวแหละ บางทีก็เป็นมวลความคิดที่ผุดขึ้นมาเอง ไม่ตายตัวหรอก เพียงแต่เรื่องนี้มันเป็นโปรเจกต์หนังที่ส่วนตั๊ว... ส่วนตัวน่ะ” เฮ็นดริกหายใจเข้าลึก พยายามประมวลคิดคำพูดสำหรับคำถามนี้ “มันค่อนข้างปรัชญานิดหน่อยนะ เพราะเกาะนางฟ้าสาปสูญเป็นการสัญลักษณ์การนำเสนอความสูญเสีย ความคิดถึงที่ตัวฉันได้ประสบพบเจอกับตัวเอง”

“สามารถลงรายละเอียดได้มั้ย”

“มีผู้หญิงหนึ่งคนที่ฉันเคยชอบน่ะแต่ตอนนี้เธอหายไปจากชีวิตของฉันแล้ว” เฮ็นดริกให้คำตอบโดยที่เอนตัวเข้าใกล้เครื่องอัดเสียงที่ทำงานอยู่ สายตาของเขาเปล่งประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามสายเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่โซลไม่สามารถตีความได้ “เธอคนนั้นเป็นดั่งนางฟ้าสำหรับฉันเลยล่ะ เธอเป็นคนสวย เรียนเก่ง มีผมสีบลอนด์ยาวสวยถึงสะโพกเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย ใคร ๆ ก็หลงใหลนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นของเธอรวมถึงฉันด้วย เธอเป็นเพื่อนผู้แสนดีของฉันจนกระทั่งวันหนึ่งเธอหายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ ติดต่อไม่ได้เลย แม้แต่ครอบครัวของเธอ ฉันก็ติดต่อไม่ได้ ด้วยความรู้สึกแย่... สับสนและสงสัย ฉันเลยนึกสร้างตัวละครเทพีประจำเกาะนางฟ้าขึ้นมาโดยอิงจากเธอคนนั้นเพื่อหวังว่าฉันจะตามหาเจอ”

“นานขนาดไหนแล้วเหรอที่เธอหายไป”

“สองปีแล้ว ความรู้สึกสูญเสียมันทรงพลังนะ ใครก็เข้าถึงมันได้เพราะชีวิตนี้ต้องเคยทำอะไรหายสักอย่าง”

ตลอดการสัมภาษณ์ เฮ็นดริกไม่ละสายตาของเธอเลยแม้แต่น้อย เหมือนโลกทั้งใบมีแค่พวกเขาสองคน อย่างน้อยในความคิดของผู้กำกับหนุ่มก็คิดจินตนาการแบบนั้น เฮ็นดริกสังเกตเห็นแหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายของโซลแต่ไม่นึกถาม เขาสนใจเพียงการวิเคราะห์กลิ่นน้ำหอมบนตัวของเพื่อนเก่า มันคือกลิ่นของความคิดถึงที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนตลอดสิบปี – ลูกแพร์พันธุ์วิลเลียมและดอกฟรีเซียสีขาว ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่งที่เขาได้จับมือโซลระหว่างยืนดูใบไม้เปลี่ยนสีที่หลังโรงเรียนเอดจ์วูดไฮ

“เป็นอะไรที่ลึกซึ้งและเจ็บปวดมาก เสียใจด้วยนะ” โซลกระแอมเล็กน้อยแล้วก้มหน้าจดลงบนแท็ปเล็ต เธอเงยหน้ามองคู่สนทนาพร้อมกับคำถามใหม่ “แล้ว... สัญลักษณ์ล่ะ ฉันคิดว่าเธอน่าจะซ่อนปริศนาให้ไขในผจญภัยเกาะนางฟ้าฯ เอาไว้หลายอย่างเลย เท่าที่ฉันได้ดูจากหนัง... สังเกตเห็นป่าสนกับสีทองค่อนข้างบ่อย มันมีความหมายอะไรบ้างเหรอ”

“ช่างสังเกตจริง ๆ ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นสัญลักษณ์พวกนั้นนะ” เฮ็นดริกหัวเราะถูกใจ เขาลำพองดีใจที่มีคนให้ค่ากับสิ่งที่เขาต้องการสร้างอย่างจริงจังสักที ไม่ใช่แค่ชมว่าหนังของเขาดีอย่างนั้นอย่างนี้ “ป่าสนเป็นสัญญาณของการอยู่บนพื้นดินโลกมนุษย์ของเหล่านักผจญภัย เป็นความโหยหาชีวิตธรรมดาแบบหนึ่ง แต่ทันทีที่พ้นเขตป่าสนแล้วได้เจอกับแสงสะท้อนจากวัตถุสีทองอยู่ไกล ๆ มันคือของมีค่าที่ทำให้ตัวละครรู้ว่า ‘พวกเรามาถึงเกาะนางฟ้ากันแล้ว’ แต่ของที่มีค่าย่อมอ่อนไหว ต้องการการคุ้มครองปกป้อง... เหมือนกับผู้หญิงน่ะ”

“หืม เพราะแบบนั้นเกาะนางฟ้าแฟรี่เลยมีประชากรผู้หญิงมากกว่าผู้ชายสินะ เกี่ยวกันมั้ย”

“เซนส์ดีเกินไปแล้วนะ ฮ่า ๆ”

“งั้นเธอก็มองว่าผู้หญิงอ่อนแอเหรอ” คิ้วเข้มสีน้ำตาลเยื่อไม้ของหญิงสาวขมวดชิดกัน มือขวายังคงจับปากกาดิจิตอลเพื่อจดคำตอบจากคำถามใหม่ที่เธอตั้งขึ้น

“ใช้คำว่าควรได้รับปกป้องจะดีกว่า” เฮ็นดริกแก้คำพูดให้ฟังดูดีขึ้นกว่าสิ่งที่สามารถโซลตีความได้ แต่นั่นไม่ทำให้คิ้วสีเยื่อไม้นั้นคลายลง “เพราะจากในหนัง... เกาะนางฟ้าปิดบังตัวเองจากแผนที่โลก แม้แต่ดาวเทียมก็สืบหาไม่ได้เพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ให้ใครทำร้ายหรือเอาเปรียบได้อีก เพราะพวกมนุษย์มันโลภจะตาย ดูอย่างพวกทุนนิยมก็ได้ นึกภาพว่าถ้าพวกนั้นตามหาเกาะนางฟ้าเจอสิ มันจะอันตรายต่อเหล่านางฟ้าขนาดไหน”

โซลกำลังขยับปากถามเพิ่ม ทว่านาฬิกาจับเวลาร้องบ่งบอกครบสองชั่วโมงของการสัมภาษณ์แล้ว เธอกดหยุดนาฬิกาและเครื่องอัดเสียง จดสิ่งสุดท้ายในคำถามล่าสุดลงบนแท็ปเล็ตด้วยลายมือที่มีเพียงคนเดียวที่อ่านออก

“ดูเหมือนจะหมดเวลาแฮะ”

“ไม่เอาน่า มีอีกหลายเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังหนังเรื่องนี้นะ”

“ฉันรู้ ๆ แต่วันนี้ก็คงตามเวลาที่ตกลงไว้ เรย์นจะได้สัมภาษณ์เธอต่อ” โซลลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อถอดไมโครโฟนจิ๋วออกจากปกคอเสื้อของผู้กำกับหนุ่มอย่างเบามือ ระมัดระวังโดยเว้นระยะห่างจากเขาด้วย ถึงอย่างนั้นก็สังเกตเห็นได้ด้วยหางตาว่าเขากำลังยกยิ้มมุมปาก ลมหายใจอุ่นรดผ่านหูอย่างแผ่วเบา “สัปดาห์หน้าเป็นไง เธอว่างวันไหนบ้าง”

“เยี่ยมเลย!สัปดาห์เวลาเดิม วันจันทร์ พุธ ศุกร์ดีมั้ย” น้ำเสียงของเฮ็นดริกเปลี่ยนจากความเสียดายเป็นความตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว “ไว้ค่อยคอนเฟิร์มอีกทีวันอาทิตย์ก็ได้ว่าสะดวกมั้ย เผื่อฉันปรับตารางด้วย”

“โอเค ยึดตามนั้นก่อนก็ได้ ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะสำหรับเวลา”

“อย่างที่บอก ฉันจัดเวลาให้เธอได้เสมอแหละ” โซลนิ่งไปเพราะคำพูดชวนคิดของเขา เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่นะ “ใกล้ ๆ คอนโดมีร้านอาหารอร่อยเยอะเลย ฉันชอบฝากท้องที่ร้านกาแฟตรงล๊อบบี้ เผื่อเธอหิว ระหว่างรอเรย์นจะได้มีอะไรกิน”

“ขอบคุณนะ ไว้วันอาทิตย์จะทักไปคอนเฟิร์มนัดอีกทีนะ”

ในที่สุดโซลเลื่อนบานประตูระเบียงออกพร้อมกับอุปกรณ์สัมภาระในกระเป๋า เธอได้พบกับเรย์นที่นั่งรออยู่ที่โซนรับแขก กำลังจดบางอย่างเต็มหน้าจอแท็ปเล็ต

“โห เป็นสองชั่วโมงที่นานเหมือนตลอดไปเลยอะ เธอสังเกตพฤติกรรมของเขาป่ะ แปลก ๆ นะ” เรย์นกระซิบคุยด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะเขาคอยมองทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ เกือบชั่วโมง “เขาไม่ละสายตาจากเธอเลย แบบเลยยยย”

“จริง เขาดูจริงจัง คือ... ฉันดีใจจริง ๆ นะที่เขาได้ทำตามฝันที่อยากเป็นผู้กำกับมาตลอดและตอนนี้เขาได้เป็นแล้ว ฉันโฟกัสแค่การสัมภาษณ์อย่างเดียว อาจจะมีนัดหมายอีกสองสามรอบ แต่ฉันจะให้จบในสัปดาห์นี้เพราะจากที่คุยวันนี้ เขาเล่าเยอะเลยล่ะ”

“แน่นอน ๆ ฉันรู้ว่าเธอมีเจตนาอะไร เธอรักเวสต์จะตาย แต่ระวังหน่อยก็ดีนะ เอาเป็นว่าฉันจะจบการสัมภาษณ์กับเขาไม่เกินสองรอบ จะได้สัมภาษณ์คนอื่นต่อ”

“ขอบใจนะ เดี๋ยวฉันรอเธอข้างล่างที่ล็อบบี้นะ”

“จัดไป!”

โซลเดินตามโถงทางเดินไปยังลิฟต์แก้ว ลงไปที่ล็อบบี้ มวลความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นระหว่างการสัมภาษณ์ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่เวลาเพียงสองชั่วโมงไม่มากพอที่จะเข้าถึงจิตใจของเขา ทำให้จำเป็นต้องนัดหมายเพิ่มเติม ตลอดระยะเวลาการรอเรย์นอยู่นั้น เธอสั่งลาเต้ดื่มหนึ่งแก้วพลางย้อนฟังบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมาภายในคาเฟ่โทนสีน้ำตาล ดนตรีแจ๊สบรรเลงด้วยเปียโน แซ็กโซโฟน เบสและกลองชุดอย่างเรื่อยเปื่อย ผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่า โซลนั่งเขียนสรุปการตีความเชิงสัญลักษณ์จากความรู้ใหม่ที่ได้รับรู้สำหรับคำถามสำคัญหนึ่งข้อเรื่อง ‘การตีความภาพยนตร์จากจิตใต้สำนึก’

ขณะเดียวกันที่ชั้น 34

นักศึกษาหนุ่มติดตั้งอุปกรณ์อัดเสียงและไมโครโฟนที่เสื้อของเฮ็นดริกอย่างระมัดระวังและเข้าคำถามทันที

“ขอบคุณคุณเฮ็นดริกที่ให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์นะครับ” เรย์นทักทายกับผู้ร่วมการสัมภาษณ์ สายตาจ้องมอง “ผมมีความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับแฟนคลับมากเลย”

“อ้อ ได้สิ” แม้ผู้กำกับจะอนุญาตและยินยอมให้นักศึกษาหนุ่มทำการสัมภาษณ์ แต่เขากลับแสดงท่าทีลำพองในอีโก้ของตัวเองเหมือนดั่งนกยูง “แต่ก่อนอื่น ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับผม”

“โซลหมั้นแล้วเหรอ” เรย์นคิ้วกระตุกกับคำถามที่ได้ยิน มันไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ด้วยซ้ำ แต่มันถูกบันทึกเสียงไปแล้ว “แหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอสวยดีนะ คุณพอจะรู้มั้ยว่าใครคือผู้โชคดีคนนั้น”

“คุณถามเธอเอง น่าจะดีกว่านะครับ ผมไม่ค่อยอยากก้าวก่ายอะไรโซลเท่าไหร่”

 

นัดหมายครั้งที่สองระหว่างโซลและเฮ็นดริกที่เพ็นต์เฮ้าส์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่รวดเร็ว ว่าด้วยเรื่องการพัฒนาบทตัวละครหลักและตัวละครรองที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะโฮเวอร์ นักสำรวจตัวเอกของเรื่องและเอ็ดวีนา เทพีแฟรี่แห่งเกาะนางฟ้า โดยที่เฮ็นดริกเล่าว่าตัวละครนักสำรวจคือตัวเขาเองที่โหยหาการผจญภัย ทะเยอทะยาน เขาไม่ต้องการชีวิตธรรมดา ๆ ที่เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนทั่วไป ต้องการเป็นที่จดจำจึงออกตามหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างเกาะนางฟ้าซึ่งไม่มีปรากฎบนแผนที่โลกด้วยซ้ำจึงสถาปนาตัวเองเป็นนักสำรวจเฉพาะกิจร่วมกับเพื่อน ๆ ของเขาที่แชร์อุดมการณ์เดียวกัน

“ฟังดูเป็นตัวละครที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจแรงกล้าดีนะ”

“นั่นสินะ มันเป็นหนึ่งในวิธีหลีกหนีจากโลกความจริงที่น่าเบื่อมั้ง แบบ... ถ้าเราไม่มีความฝันหรือเป้าหมาย แต่ละวันก็ไม่มีความหมายอะไร”

“แล้ว... ตัวละครเอ็ดวีนา เธอวางไว้ยังไงเหรอ”

“แน่นอนว่าเทพีคือคนที่มีคุณงามความดี น่าสักการะบูชา ฉันเลยตั้งใจให้เอ็ดวีนาเป็นตัวละครที่สุภาพ ใจดี อ่อนหวานอ่อนโยนต่อทุกสิ่งมีชีวิตบนเกาะ สิ่งที่เพิ่มความขลังให้กับตัวละครนี้คือเธอมีพลังในการฟื้นฟูพืชพรรณไม้สีทองบนเกาะร่วมกับพี่น้องแฟรี่คนอื่น ๆ ด้วย”

“เธอมีตำนานของเทพีนางฟ้าด้วยนี่ เล่าให้ฟังได้มั้ย”

ขณะนั้นเอง ประตูห้องเพ็นต์เฮ้าส์ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งผมยาวสีบลอนด์เปิดหน้าผาก ตาสีฟ้าและมีบุหรี่ไฟฟ้าในมือ ชายคนนั้นเห็นว่าเพื่อนของตนหันมองจากลานระเบียง ทั้งสองทักทายกันจนได้คำตอบว่าเขาคือ โอลเซน ครอสเวลล์ ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องผจญภัยเกาะนางฟ้าสาปสูญ

“โซลค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมได้ยินเรื่องแอพพลิเคชั่นของคุณเยอะเลย มันช่วยอำนวยความสะดวกให้กับศิลปินได้เยอะเลยนะ ถึงผมจะไม่ใช่ศิลปินแล้ววัน ๆ เอาแต่ตรวจนิยายงก ๆ อยู่แต่ในออฟฟิศก็เถอะ” โอลเซนเขย่ามือกับนักศึกษาปริญญาโทอย่างเป็นมิตรและดูเหมือนเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นอาร์ทูร่าด้วย โลกกลมอะไรขนาดนี้นะ

“ขอบคุณค่ะ ความคิดเห็นของคุณช่วยในการพัฒนาแอพฯ ได้เยอะเลยค่ะ”

“แล้ว... มึงมาที่นี่ทำไมนะ เพื่อน” เฮ็นดริกหลบซ่อนน้ำเสียงขุ่นเคืองเมื่อส่งสายตามองโอลเซน เป็นการกดดันกลาย ๆ เพื่อผลักไสให้อีกฝ่ายรีบออกไปซะ

“กูมาเอาเอกสารนิดหน่อย จำที่เราจะทำสินค้าได้มั้ย กูเพิ่งติดต่อนักลงทุนได้”

“อ้อ เยี่ยมเลย แค่นั้นใช่มั้ย”

“ใช่ แค่นี้แหละ กูไม่รบกวนเวลาแล้ว”

สีหน้าของเฮ็นดริกดูรำคาญใจกับการมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้าของโอลเซนไม่ใช่น้อยและเธอก็สังเกตได้จากแววตาของโอลเซนเช่นกันว่าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ หากไม่มีธุระเร่งด่วน ดูมีอะไรซุกอยู่ใต้พรมระหว่างความสัมพันธ์ของสองหนุ่มแน่ ๆ แต่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ผู้ช่วยผู้กำกับค้นหาแฟ้มเอกสารอยู่ครู่หนึ่งแล้วโบกมือลา ปล่อยให้โซลยังคงอยู่ที่ลานระเบียงตามลำพังกับเฮ็นดริกต่อ เธอกระแอมไอแล้วกลับเข้าประเด็นตำนานของเรื่องที่เฮ็นดริกยังไม่ให้คำตอบ

“อ๋อ!โอเค คือแบบนี้นะ” เฮ็นดริกกลับมาตื่นเต้นอีกครั้งแล้วเริ่มเล่าถึงข้อมูลที่ไม่มีกล่าวในภาพยนตร์ เขาบอกว่าเดิมทีเกาะนางฟ้าตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศสแกนดิเนเวีย ต่อมาถูกรุกรานโดยกลุ่มชนไวกิ้งเข้ามาล่าอาณานิคมในหมู่เกาะใกล้เคียง ไม่นานเกาะนางฟ้าจะเป็นเป้าหมายถัดไปเพราะทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และทอง เหล่าแฟรี่และนางฟ้าได้รับข่าวจึงทำทุกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย ผู้มีอิทธิฤทธิ์มากอย่างเทพีนางฟ้าจึงใช้เวทมนตร์อำพรางเกาะทั้งเกาะจากสายตามนุษย์ จึงเป็นที่มาว่าทำไมจึงเป็นเพียงตำนานและการที่โฮเวอร์กับผองเพื่อนได้ค้นพบเกาะนางฟ้าเป็นเรื่องตลก

ระหว่างการเล่า เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมายืนพิงระเบียงข้าง ๆ เก้าอี้ของโซลอย่างมีนัยยะสำคัญ รังสีความอบอุ่นแผร่กระจายควบพร้อมกับความอึดอัด ดูเหมือนต้องการอะไรบางอย่างจากเธอจนกระทั่งเอ่ยปากขอพูดความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเธอ แม้มันไม่เกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์เลยก็ตาม

“ต้องการพูดอะไรกันแน่เหรอ เอช”

“แค่รู้สึกว่าการได้กลับมาเจอเธอ มันเป็นเรื่องวิเศษดี”

“อ่า... ขอบใจนะ”

“เหมือนตกหลุมรักอีกครั้ง หัวใจกลับมาเต้นหลังจากตายซากไปหลายปี” คำหวานเอื้อนเอ่ยพลางแกะไมโครโฟนจิ๋วออกจากปกคอเสื้อของตัวเอง “มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ต่อให้ฉันไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาแต่เหมือนโลกตั้งใจเหวี่ยงให้เรามาเจอกันในรอบสิบปี” ไมโครโฟนสีดำขนาดเท่านิ้วชี้วางบนโต๊ะอย่างเบามือ การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้โซลได้รับรู้หลายอย่างนอกจากปณิธานแรงกล้าของคนทำงานศิลป์ ปมในอดีตของผู้ถูกทอดทิ้ง ยังมีความปรารถนาต้องห้ามกำลังคืบคลานดั่งเขี้ยวเล็บในความมืดด้วย โซลพยายามถอยและคว้าเก็บอุปกรณ์อย่างเร็วที่สุดเพื่อหนีใบหน้าที่กำลังเข้าใกล้ของเฮ็นดริก

“ฉันมาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์เธออย่างเดียวนะ”

“แน่นอน แต่ฉันต้องการเป็นมากกว่านั้นไง โซล” สองแขนกั้นทางไม่ให้โซลสามารถลุกหนีจากเก้าอี้ได้ “เธอกับฉัน เราสองคนเพอร์เฟ็กต์จะตาย เธอทั้งสวยและฉลาด ส่วนฉันก็หัวศิลป์... พวกเราน่าจะสร้างอนาคตดี ๆ ด้วยกันได้นะ” เขาจู่โจมด้วยจูบจากกลีบปากหนา ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมสอดลิ้นร้อนเข้าสำรวจโซลอย่างโหยหา ทว่าเธอกลับขนลุกและสะอิดสะเอียน หัวใจเต้นถี่ อยากขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ไม่มากพอ ยิ่งพยายาม จูบแห่งการควบคุมและต้องครอบครองยิ่งเพิ่มแรงทวีคูณขึ้นอีก

มือหนาสองข้างเปลี่ยนตำแหน่งจากเบาะเก้าอี้เป็นเอวคอดของหญิงสาว สัมผัสน่าขยะแขยงเลื้อยดั่งงูคลำสำรวจแผ่นหลังแคบ โซลขยับริมฝีปากคล้ายจะจูบตอบแต่ใช้ฟันกัดบนริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงจนสามารถหลุดจากพันธนาการ

“หยุดเลย!! เฮ็นดริก”

“พวกเราเพิ่งจะเริ่มเองนะ” ผู้กำกับหนุ่มแตะริมฝีปากล่างที่มีเลือดซิบพร้อมยกยิ้มไม่ละอายต่อการกระทำของตัวเอง “เธอก็ชอบไม่ใช่เหรอ”

“ไม่!”

“เฮ้ โซล!เดี๋ยวสิ!มาคุยกันก่อน”

“ไม่!อย่ามาเรียกชื่อฉัน!” 

โซลไม่สนทนาต่อ เธอเก็บของใส่กระเป๋าแล้วออกวิ่งไปถึงลิฟต์อย่างเร็วที่สุด รัวมือบนปุ่มลงชั้นล็อบบี้ ความรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอมตีขึ้นมาที่ลำคอ เธอต้องการกลับบ้านยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แต่เธอได้เจอกับชายหนุ่มผมบลอนด์ยืนสูบบุหรี่เพียงลำพัง โอลเซนเรียกเธอพร้อมคว้าแขนเพื่อดูใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา เขาพอจะเดาเหตุการณ์ได้จากพฤติกรรมของหญิงสาว เขาทิ้งก้นกรองบุหรี่แล้วส่งนามบัตรกระดาษแข็งให้กับโซล

 

<โอลเซน ครอสเวลล์ บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์อีเวนเวิร์ด (EvenWord Publishing) >

 

“ผมเสียใจจริง ๆ กับทุกอย่างที่ไอ้สารเลวนั่นทำกับคุณ โซล... ผมยินดีให้คุณสัมภาษณ์เกี่ยวกับทุกกระบวนการสร้างเรื่องผจญภัยเกาะนางฟ้าฯ ที่สำคัญกว่านั้น ผมมีบางเรื่องที่อยากบอกคุณเกี่ยวกับเฮ็นดริกซึ่งไม่สามารถพูดที่นี่ได้ มาที่ออฟฟิศผมปลอดภัยกว่า” โอลเซนไม่รอให้โซลอธิบายเพราะน้ำตาและความสั่นกลัวในนั้นสื่อสารกับเขามากพอแล้ว “ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถติดต่อผมตามนามบัตรนี้ได้เลยนะ”

 

 

#คลั่งฝังแค้น