หากจะต้องประจานความผิดของคุณที่ได้ก่อเอาไว้ ฉันเขียนหนังสือหนึ่งเล่มอุทิศแก่ความชั่วช้าของคุณยังดีกว่า
อาชญากรรม,สืบสวนสอบสวน,ดาร์ค,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้นหากจะต้องประจานความผิดของคุณที่ได้ก่อเอาไว้ ฉันเขียนหนังสือหนึ่งเล่มอุทิศแก่ความชั่วช้าของคุณยังดีกว่า
เฮือก!!!
เฮ็นดริกสะดุ้งขึ้นจากเตียงพักฟื้นห้องพยาบาลในเวลาเที่ยงคืน ตัวร้อนจี๋เหมือนถูกราดด้วยน้ำร้อน ชุดภาพความทรงจำจากโซลทำให้เขาปวดหัวจนลุกยืนไม่ไหว เจ้าหน้าที่พยาบาลเข้าดูอาการเมื่อนักโทษหมายเลข 987627 ได้สติพร้อมกับส่งยาเม็ดและน้ำเปล่า พยาบาลบอกว่าเขาสลบไปหนึ่งวันเต็ม ๆ เขากล่าวขอบคุณเสียงเบาแต่เมื่อเงยหน้าสบตาก็ถึงกับผวา โซล?!
หญิงสาวในชุดสครับสีฟ้าน้ำทะเลแสยะรอยยิ้มให้ ใบหน้าสีผิวขาวนวลอันคุ้นเคยของโซล ไร้ร่องรอยแผลหรือการบุบสลายแบบผีสางที่มักปรากฎตัวต่อหน้าเขาในทุกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น... การปรากฏตัวครั้งนี้ไม่น่ากลัวเหมือนทุกครั้งด้วย เธอเดินออกจากห้องพยาบาลและมุ่งหน้าไปยังห้องเจ้าหน้าที่ตรงสุดทางเดิน
เมื่อกะพริบตาครั้งหนึ่ง โซลในชุดพยาบาลหายไปอีกครั้งและโถงทางเดินมีเสียงหอบครางลอดแทรกออกมา เฮ็นดริกพยายามเงี่ยหูฟังและก้าวเดินอย่างเบาที่สุดเพื่อตามหาที่มาของเสียง ใครเขาพิศวาสจ้ำจี้กันที่นี่ตอนนี้นะ เขาได้แต่คิดจนกระทั่งเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงมากขึ้นจนสามารถจำแนกได้ว่าเป็นหญิงหนึ่งคนกับชายอีกหนึ่งคน ความสงนใจนำพาเขาไปยังบานประตูที่เปิดแง้ม
ร่างกายของสองหนุ่มสาวหลอมรวมเป็นหนึ่ง เหงื่อผุดพรายตามใบหน้าและลำตัวส่งกลิ่นผสมกับน้ำหอมดอกไม้ เฮ็นดริกจำได้แม่นว่าหน้าตาของโซลเป็นยังไง เรือนผมยาวถึงกลางหลังสีน้ำตาล ใบหน้าเรียวมนอย่างสาวลอนดอนและดวงตาสีน้ำตาล ตัวผอมบางไร้อาภรณ์นุ่งห่มร่อนเอวบนแก่นกลางของชายหนุ่มที่เขาไม่รู้จักพร้อมเปล่งเสียงครางอย่างพึงพอใจ ขณะที่อีกคนออกแรงบีบต้นขาและแก้มก้นของหญิงสาวทั้งสองข้าง ของเหลวเหนียวและไหลเยิ้มจากช่องทางสีชมพู ทั้งคู่กำลังจะสำเร็จความใคร่ในไม่ช้า โซลหันมองเขาที่แอบอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกาย นักโทษชายมองเหตุการณ์ตรงหน้า ตาร้อนผ่าว โซลมีความสุขกับชายคนอื่นที่ไม่ใช่เขา ขณะที่ตัวเขาติดแหง็กอยู่ในคุกแบบนี้ แม้ไม่อาจเดาได้เลยว่าชายคนนั้นเป็นใครแต่เขาคนนั้นสวมแหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายเช่นเดียวกับโซล
“อยากเอากับคนที่มีเจ้าของนักไม่ใช่เหรอ” เฮ็นดริกได้ยินเสียงกระซิบเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ขณะที่คู่หญิงชายยังคงส่งเสียงคราง “ดูให้สะใจไปเลยสิ” สิ่งที่เขาเห็นต่อไป ไม่ใช่โซลกับคนรักอีกแล้ว แต่เป็นเจ้าหน้าที่สองคนกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะเร่าร้อนในชุดเครื่องแบบพัศดี เฮ็นดริกแยกไม่ออกว่าความจริงคืออะไร เขาได้แต่วิ่งหนี
ในความมืดสลัวของยามค่ำคืน กรงขังทุกห้องปิดไฟสนิทหมดแล้ว พัศดีจับแขนของเฮ็นดริกเต็มแรงเพื่อคว้าเดินไปยังห้องขังแล้วล็อคกลอน นักโทษชายเหลือตัวคนเดียวเพียงลำพังในห้องของตัวเอง ยังคงหนาวสั่นและขนลุกจากเหตุการณ์ชวนสับสนก่อนหน้า แต่แล้วก็มีตัวตนหนึ่งสีดำทะมึนคล้ายเงาปรากฏที่มุมห้อง เฮ็นดริกเห็นเป็นรูปร่างชายหนุ่มคล้ายกับเขา ลักษณะผมยุ่งกระเซิง ไหล่กว้าง ร่างสีดำหันมองเข้ามาสบตากับเฮ็นดริก แววตาสีดำสนิทไม่มีตาขาวจดจ้องมองมาราวกับร่ายมนต์สะกด
เป็นอีกครั้งที่นักโทษชายหมายเลข 987627 ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เสียงร้องครางของหญิงสาวลอดผ่านเข้าโสตประสาทตอกย้ำสัญชาตญาณในตัวว่าเขามีความต้องการสูงขนาดไหน มันสูงมากจนมองชายรูปร่างคล้ายตนเองมีเสน่ห์ น่าดึงดูดเหลือเกิน เฮ็นดริกจึงตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อยืนยันความปรารถนาของตัวเองที่มีต่ออีกฝ่าย เขาโน้มหน้าจูบชายหน้าเหมือนอย่างดูดดื่ม ลิ้นร้อนแลกจนน้ำลายเปื้อนขอบปากและคาง ร่างเงายินยอมต่อทุกสัมผัสพร้อมเอ่ยกระซิบว่า
“ไม่อยากเอาผมเหรอ”
“อยากสิ”
ในเมื่อถูกยั่วยวนแบบนั้นจึงตอบสนองทันท่วงที เฮ็นดริกย้ำจูบหนัก ๆ บนกลีบปากของร่างเงาอีก ทั้งสองช่วยกันปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายของกันและกันอย่างรีบร้อน พวกเขาเหลือเวลาไม่มากก่อนพระอาทิตย์ขึ้นดังนั้นเฮ็นดริกจึงทำทุกวินาทีให้คุ้มค่า สำรวจร่างกายทุกตารางนิ้วของร่างเหมือน เริ่มจากหัวไหล่ แผงอก หน้าท้องลงมาถึงแก่นกลางของมัน นักโทษชายใช้มือลูบคลำจนลำท่อนแข็งโด่ เมื่อเห็นแบบนั้นเฮ็นดริกโถมแรงใส่ช่องทางของร่างที่นอนบนเตียงแข็งกระด้าง เสียงครางจากปากคลับคล้ายกับการโหยหวนอ้อนวอนมากกว่าความพึงพอใจ
“ติดคุกกี่สิบปีก็ไม่สำนึกสินะ”
ใบหน้าของร่างเงาสลับกับโซลทุกครั้งที่กะพริบตา เธอหัวเราะใส่เขาดังลั่นจนก้องไปทั่วโถงห้องขังนักโทษ เฮ็นดริกขอให้หยุดซ้ำแล้วซ้ำอีกพร้อมกับกระแทกแรงขึ้น แต่เมื่อร่างบนเตียงไม่หยุดหัวเราะ เขาใช้มืออุดปากของเธอแน่น หญิงสาวใช้ฟันกัดเข้าที่ฝ่ามือ เฮ็นดริกจึงเลือกใช้วิธีที่น่าจะหยุดทุกอย่าง... เขาถอดแก่นกลางของตัวเองออกแล้วใช้มือสองข้างบีบคอบริเวณหลอดลม
“หุบปาก!! พอได้แล้วโซล!! ฉันไม่ผิดอะไรทั้งนั้น!!เธอต่างหากที่ใส่ความ!!ทั้งเธอ โอลเซนรวมถึงเกรทเชนด้วย!!”
“แสดงว่าจริงสินะ… พอเถียงอะไรไม่ได้ก็บอกแต่ให้เงียบ” โซลลุกขึ้นประจันหน้ากับนักโทษประจำห้องขังที่ไม่อาจทำให้เธอหยุดพูดด้วยการตอกย้ำผ่านกล่องเสียงทรงพลัง เธอสวมชุดลำลองสีขาวมีปกแหลมโดยไม่วางตาจากอีกฝ่าย “ไม่แน่นะ… เลือดชั่วของเธออาจจะมากกว่าฆาตกรหั่นศพในนี้รวมกันเป็นสิบคนก็ได้ ดูที่เธอทำสิ…”
และแล้วเฮ็นดริกก็แว่วได้ยินเสียงหัวเราะจากห้องขังข้าง ๆ และฝั่งตรงข้ามชัดเจนยิ่งขึ้น เขามองมือของตัวเองที่สัมผัสความว่างเปล่า ร่างกายเปล่าเปลือยทั้งท่อนแถมเปรอะเปื้อนด้วยของเหลวเหนียวเหนอะของตัวเอง นี่เป็นสภาพน่าอับอายที่สุดในชีวิต เขารีบสวมชุดกลับคืนอย่างรวดเร็ว ซุกหน้าร้องไห้ลงกับหมอนจนกว่าเสียงของเขาจะดังกลบเสียงหัวเราะเยาะทั้งหมด โซลยืนมองจากนอกลูกกรงโดยมีบริวารเป็นชายหนุ่มร่างกำยำผมสีน้ำตาลเชอร์รี่สวมชุดสูททางการสีดำสนิท
“เพิ่งเริ่มบทลงโทษสินะ คุณวินเดอร์เมียร์”
“ใช่ค่ะ ฉันคงไม่ลงโทษเขาแรงเกินไปนะ” โซลตอบโต้กับผู้เป็นบริวารที่ยืนท่าเดียวกับเธอ ใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขาดูไม่เวทนาต่อชายหลังลูกกรง อันที่จริงความตายไม่มีความรู้สึกอคติต่ออะไรทั้งนั้นเพราะเขาคือความเป็นกลางที่เท่าเทียมในฐานะผู้ทำงานรับใช้ความตาย
“ไม่หรอก ความรู้สึกอับอายของเฮ็นดริกตอนนี้ยังทดแทนความหวาดกลัวที่เขาก่อกับพวกคุณไม่ได้เลย คุกยี่สิบปีกับอีกหกเดือน... เขาคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะตกตะกอนได้ คนตรรกะบิดเบี้ยวแบบนั้น... นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือนนับจากวันตัดสินคดีด้วย” เชส ยมทูตส่วนสูง 180 เซนติเมตรก้มหน้าลงมาคุยกับโซลที่ยังยืนกอดอกมองดูนักโทษชายร้องไห้จนหลับไป “แต่คุณมีเวลาอีกสามวันแล้วกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ช่วงนี้ผมจะอยู่แถวนี้ก่อน”
“ขอบคุณนะคะ ฉันคงไม่อยู่ที่นี่นานกว่านั้นหรอก”
“แล้วคุณอยากเล่าอะไรให้ฟังมั้ย เผื่อจะได้สบายใจขึ้นบ้าง” เชสหยิบยื่นความใจดีให้กับโซลผ่านบุหรี่มวนหนึ่ง เขามีเวลาทั้งคืนสำหรับทำภารกิจ ณ ทัณฑสถานซิทาเดลแห่งนี้
“งั้นไปนั่งที่อื่นกันดีกว่าค่ะ”
สองอมนุษย์โยกย้ายตำแหน่งจากหน้ากรงขังเป็นแผ่นเมฆบางบนท้องฟ้าเพื่อที่พวกเขาจะสามารถมองดูสถานการณ์ข้างล่างจากบนนี้ โซลถอนหายใจพ่นควันสีเทาออกจากปาก เธอไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้แต่มันถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ความแค้นของเธอมากเกินไป… เกินกว่าจดหมายหนึ่งฉบับจะรองรับไว้ได้ แต่เธอผิดเหรอที่ทำแบบนี้
“มันคงหนักหนามาก…” เชสรำพึงออกมาเมื่อสามารถรับรู้ความหนักอึ้งของความทรงจำอีกฝ่ายผ่านสีหน้าที่มีความรู้สึกหลากหลาย “ไม่ต้องรีบนะ ไว้คุณพร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้”
“เรื่องมันยาวน่ะสิ คุณมีเวลาฟังเหรอคะ”
“อย่างน้อยก็จนกว่าจะรุ่งสางนะ” ยมทูตหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือดิจิตอลซึ่งแสดงเวลาปฏิบัติภารกิจเก็บเกี่ยววิญญาณและช่วยชีวิตมนุษย์บนหน้าปัด พวกเขายังมีเวลาสนทนากันประมาณสามชั่วโมง เชสวาดมือเป็นวงกลมเสกแก้ววิสกี้ทรงเหลี่ยมเป็นจำนวนสองแก้ว โซลจึงไม่เกรงใจและเล่าเรื่องต่อ
เช้าอีกวันหลังจากวันเกิดเหตุอุกอาจในเพนต์เฮ้าส์ของเฮ็นดริก โซลติดต่อโอลเซนและเดินทางไปยังสำนักพิมพ์อีเวนเวิร์ดตั้งอยู่ละแวกเดอะสแตรนด์ (The Strand) ย่านคึกคักด้วยผู้คน นักท่องเที่ยว ศิลปินริมถนนและมีร้านหนังสือ โรงพิมพ์ สถาบันศิลปะมากมายเรียงราย นอกจากนั้นร้านอาหาร เบเกอรี่และคาเฟ่ส่งกลิ่นอาหารหอมฉุยชวนหิวตลอดการขับรถไปยังสำนักพิมพ์ โอลเซนส่งข้อความมาแจ้งรายละเอียดว่าเขารอที่ชั้น 5 เพราะเอกสารหลายอย่างเป็นความลับและส่งผลกับชื่อเสียง
“สวัสดีครับโซล ดีใจนะที่คุณมาได้” บรรณาธิการหนุ่มกล่าวกับนักศึกษาที่ขึ้นมาถึงชั้น 5 เขาต้อนรับด้วยชาร้อนและเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อม เขากล่าวอีกว่ารอโอกาสนี้มานานเพื่อเปิดเผยด้านมืดกับการทำงานกับเฮ็นดริก หน้ากากที่เขาแสดงออกไม่ใช่ความจริงที่คนใกล้ตัวได้ประสบพบเจอและโซลคือหนึ่งในผู้เคราะห์ร้าย
เธอมองสำรวจห้องทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร หนังสือนิยายเล่มหนาเต็มชั้นวางบิวด์อิน ภายในห้องนี้มีของตกแต่งเพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือหุ่นโมเดลขนาดเท่าฝ่ามือของตัวละครจากแอนิเมชั่นญี่ปุ่น ทันทีที่เริ่มการสัมภาษณ์ ประเด็นแรกโอลเซนพูดถึงคือกระบวนการครีเอทีฟตั้งแต่พล็อตเรื่อง เขาเปิดไฟล์ต้นฉบับเทียบกับอีกไฟล์ของเฮ็นดริก
“แล้วทำไมประเด็นนี้ถึงมีปัญหาเหรอคะ”
“มีปัญหาตรงที่เขาเอาต้นฉบับของผมไปแก้โดยไม่ขออนุญาตก่อน แถมยังประสานงานกับทีมงานโปรดักชั่นลับหลังด้วยสคริปต์ใหม่อีก” หัวคิ้วสีน้ำตาลทั้งสองข้างของโซลขมวดเข้าหากัน ขณะที่รับเอกสารสคริปต์ภาพยนตร์ทั้งสองฉบับมาอ่านไว้ แต่มันยังไม่ใช่ฝันร้ายที่สุดของโอลเซน “และที่แย่ที่สุด... โปรเจกต์ภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘ผจญภัยเกาะนางฟ้าสาปสูญ’ ผมควรเป็นผู้กำกับตั้งแต่แรกแต่เขาปรับเปลี่ยนตำแหน่งของผมให้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับเสียอย่างนั้นโดยอ้างว่า เขามีเวลาว่างมาจัดการเรื่องนี้มากกว่าเพราะผมมีภาระหน้าที่ที่สำนักพิมพ์ โคตรน่าเกลียดเลย!!”
“นี่มันเรื่องใหญ่นะคะ เพราะภาพยนตร์ฉายไปแล้ว แต่ลิขสิทธิ์ดั้งเดิมต้องเป็นคุณ ไม่ใช่เขา”
“แน่นอนว่าผมมีสัญญาการทำงานชัดเจน แต่เขาก็ใช้คอนเนคชั่นและเงินมาขู่ผมว่า ถ้าไม่ยอมโดยดีแล้วทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ก็บอกทุกคนว่าผมไม่ได้ทำงานมืออาชีพ” โซลได้แต่รู้สึกใจหายเมื่อได้ยินแต่ละคำพูดของโอลเซน หนำซ้ำประสบการณ์เมื่อวันก่อนยิ่งรู้สึกผิดหวังต่อเพื่อนที่ตนรู้จัก “ผมเลยไม่มีโอกาสได้พูดกับใครที่ไหนในเรื่องนี้ จนกระทั่งคุณติดต่อเฮ็นดริกเพื่อสัมภาษณ์ทำวิทยานิพนธ์”
“อันนี้อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการภาพยนตร์เลยค่ะ” โซลตั้งสติจากความผิดหวัง เธอจุดประกายความคิดใหม่ที่ว่าวิทยานิพนธ์ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมแต่เป็นการเปิดโปงความลับสุดถลำลึกที่เธอได้ค้นพบ “ฉันมีคำถามค่ะ เกี่ยวกับตัวละครเอ็ดวีน่า เฮ็นดริกเล่าว่าเอ็ดวีน่าได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง คุณพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างคะ”
“ผมก็พอรู้บ้าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมคณะของพวกเรา เธอชื่อเกรทเชน จาร์วิส” โอลเซนยื่นโทรศัพท์ให้ดูภาพถ่ายรับปริญญาที่นักศึกษาทั้งคณะยืนตั้งแถวเรียงราย คนที่ชื่อเกรทเชนมีผมยาวเป็นลอน แต่งหน้าน้อยและโหนกแก้มเป็นประกายด้วยไฮไลท์กลิตเตอร์ โซลส่ายหน้า เธอไม่เคยได้ยินหรือเห็นคนนี้ด้วยซ้ำ “พวกเราเรียนศิลปกรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ด้วยกัน ระหว่างเรียนมีโปรเจกต์เยอะแยะเลยล่ะ แต่ผมก็ไม่ได้สนิทกับเกรทเชนเพราะเธอมักสุงสิงกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จนกระทั่งช่วงหนึ่งเฮ็นดริกก็เพ้อถึงเธอไม่หยุด ถึงขั้นวาดรูปถึงการแต่งงาน มีลูก ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันไปจีบเกรทเชนอะไรตอนไหน”
“เฮ็นดริกเล่าว่าเธอคนนั้นหายไปจากชีวิตของเขาประมาณสองปีที่แล้ว คุณพอรู้อะไรไหมคะ”
“ผมรู้แค่เกรทเชนชอบผู้หญิง พูดแบบไม่อคติ... คงไม่มีใครชอบคนนิสัยแบบเฮ็นดริกนักหรอก หนึ่งในนั้นก็ผมคนหนึ่งแต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรให้เขาหายไป ผมเองก็ไม่เจอโซเชียลมีเดียของเธอ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่ได้ใช้เบอร์เดิม ผมไม่ได้ทำอะไรไม่มากกว่านั้นเพราะคิดว่าเธอก็คงมีเหตุผลที่ทำ” บรรณาธิการหนุ่มอธิบายพลางรับโทรศัพท์คืนจากโซล เขาเป็นกังวลไม่แพ้กัน ตลอดการสนทนามีแต่น้ำเสียงเคร่งเครียดและสีหน้าขมวดเข้มของทั้งคู่ “สองปีที่แล้วเป็นช่วงที่พวกเรากำลังตามหานักแสดงทั้งตัวหลัก ตัวรอง ซึ่งขั้นตอนส่วนใหญ่เฮ็นดริกเป็นคนดูแล”
“ใช้เวลาถ่ายทำสองปีเหรอคะ”
“ใช่ ทุกอย่างเร็วมาก เขาใช้คอนเนคชั่นกับเงินค่อนข้างเป็นประโยชน์น่ะ” โอลเซนตัดพ้ออย่างเซ็งแซ่ มิตรภาพระหว่างเขากับเฮ็นดริกไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว และวันนี้จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ว่าแต่... ต่อไปคุณมีนัดต้องสัมภาษณ์เฮ็นดริกอีกรึเปล่า”
“ไม่แล้วค่ะ หลังจากนั้นฉันสามารถคุยกับเขาทางออนไลน์ได้ จากเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันคงไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีกค่ะ”
“ดีแล้วครับ เลี่ยงดีกว่า คุณคงเครียดมาก ไหนจะเรื่องแต่งงาน ไหนจะธีสิสนี่อีก แถมยังเจอคนแบบหมอนั่น” โอลเซนสังเกตเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายจึงพูดแบบนั้น
“ใช่ค่ะ แต่เดี๋ยวมันก็จบแล้ว วันนี้ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูล มันเป็นประโยชน์มาก ๆ เลย”
“ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกได้เสมอนะ”
สองหนุ่มสาวบอกลากัน โซลเดินออกจากห้องบรรณาธิการบริหารโดยมีผู้ช่วยเดินไปส่งที่หน้าตึก เธอมีแฟ้มสำเนาเอกสารเต็มมือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว แต่เธอยังไม่กลับบ้านเร็ว ๆ นี้เพราะทิศทางวิทยานิพนธ์ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เธอไม่สามารถขออภิสิทธิ์ในการไม่ส่งงานเพียงเพราะเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอเพราะนี่เพิ่งเป็นสัปดาห์แรกเอง วิธีที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนหัวข้อเพื่อเอื้ออำนวยต่อสิ่งที่เธอต้องการสื่อสารออกไป เริ่มจากการตามหาเกรทเชน จาร์วิสที่หายไป
โซลโทรหาอาจารย์ไรเกอร์โดยนัดเรย์นมาเจอกันที่มหาวิทยาลัยเวลกอล์ช พวกเขานั่งเครียดอยู่ภายในห้องอาจารย์ที่ปรึกษา แลกเปลี่ยนกันฟังคลิปเสียงที่บันทึกไว้จากการสัมภาษณ์กับเฮ็นดริก มันคือฝันร้ายในยามตื่นเมื่อโซลได้ยินเสียงคำพูด ท่าทางพฤติกรรมคุกคามนั้น ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างยังชัดเจนเพราะเพิ่งผ่านมาได้วันเดียว แม้แต่เรย์นและอาจารย์ไรเกอร์ยังขนลุกชูชัน มติเป็นเอกฉันท์ในการเปลี่ยนหัวข้อวิทยานิพนธ์ แต่ทั้งสองยืนยันในการเขียนเกี่ยวกับผู้กำกับเฮ็นดริก ควิเบลล์เหมือนเดิม
“หนูจะใช้หัวข้อ ‘ด้านมืดของวงการภาพยนตร์: เฮ็นดริก ควิเบลล์’ ค่ะ จากข้อมูลที่ได้รับและประสบการณ์ส่วนตัว วิทยานิพนธ์เล่มนี้จะไม่มีความเป็นกลางเท่าไหร่แต่...” โซลเสนอหัวข้อใหม่ด้วยตัวเอง เป็นความกล้าหาญเท่าที่เธอทำได้ในตอนนี้ “มันก็คงดีกว่าเขียนอวยให้คนมองจากผิดเป็นถูกค่ะ”
“โอเค แต่คุณต้องระวังมาก ๆ นะ ไม่ว่าจะได้รับหลักฐานอะไรมา เก็บสำเนาเอาไว้ด้วยแล้วพวกเราจะมาวิเคราะห์ด้วยกันก่อนไปหาตำรวจ” อาจารย์ไม่ห้ามปราบนักศึกษาเพราะเข้าใจเจตนาของเธอดี ที่สำคัญคือความปลอดภัยของนักศึกษาที่เผชิญหน้ากับภัยสังคมในคราบผู้กำกับหน้าตาดี “แล้วคุณจะเปลี่ยนหัวข้อเป็นอะไรเหรอ คุณชาร์นลีย์”
“ผมว่าจะเปลี่ยนไปพูดถึงบทบาทของสื่อต่อความชายเป็นพิษครับ อิงจากภาพยนตร์ของเฮ็นดริกได้เลยครับ”
เกเบรียลไม่มีความเห็นโต้แย้งต่อการตัดสินใจของทั้งสอง พวกเขานั่งระดมสมองด้วยกันเพื่อเก็บหลักฐานและร่างบทนำวิทยานิพนธ์ด้วยกัน บรรยากาศการทำงานไม่ต่างจากการตั้งกระดานบอร์ดสืบสวน มีเส้นด้ายโยงใยตามหมุดเพื่อหาความเชื่อมโยงต่าง ๆ จากบทสัมภาษณ์ จากสำเนาเอกสารและจากข่าว
แต่ไม่เคยมีการประกาศตามหาเกรทเชน จาร์วิสเลย ตลอดระยะเวลาสามปี หากเธอหายตัวไปจริง ๆ ครอบครัวหรือเพื่อนต้องถามหาเธอ
#คลั่งฝังแค้น