หากจะต้องประจานความผิดของคุณที่ได้ก่อเอาไว้ ฉันเขียนหนังสือหนึ่งเล่มอุทิศแก่ความชั่วช้าของคุณยังดีกว่า
อาชญากรรม,สืบสวนสอบสวน,ดาร์ค,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
SOMEONE LIKE YOU คลั่งฝังแค้นหากจะต้องประจานความผิดของคุณที่ได้ก่อเอาไว้ ฉันเขียนหนังสือหนึ่งเล่มอุทิศแก่ความชั่วช้าของคุณยังดีกว่า
บุหรี่หมดกล่องพร้อมกับวิสกี้สีอำพันที่หมดแก้วทั้งสองใบ เชสรู้ดีว่าสิ่งที่โซลเล่ายังไม่จบเท่านั้นแต่เวลาของเขาหมดแล้วสำหรับการฟังนิทานของอมนุษย์ตนนี้ เขากล่าวอวยพรแทนการบอกลาเพราะพวกเขาก็คงได้พบกันอีก... ไม่ช้าก็เร็ว เชสเคาะปลายด้ามเคียวสีดำสนิทกับแผ่นเมฆขาวแล้วอันตรธานหายไปด้วยเวทมนตร์ เขายังมีภารกิจช่วยชีวิตผู้ยังไม่ถึงฆาตอีกมากมาย ส่วนโซลเอนหลังเพียงลำพังบนความเบาสบายนี้แล้วหลับตาลง หวังเพียงไม่พบเจอฝันร้ายอีกต่อไป
การมีชีวิตอยู่หลังจากผ่านเหตุการณ์ในเพนต์เฮ้าส์ของเฮ็นดริกเป็นดั่งนรก เหมือนถูกต้องสาปให้นึกถึงจูบขมปร่าน่าขยะแขยงตลอดเวลา โซลใช้เวลาอาบน้ำนานขึ้นสามสิบนาทีเพื่อขัดผิวกายลบล้างสัมผัสเต็มไปด้วยเสนียดจากเฮ็นดริก น้ำตากลมกลืนกับน้ำจากฝักบัวและฝ้าบนบานกระจกเหนืออ่าง
โซลกลับมาตั้งสติเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าจาก รูธ สต็อกเนอร์ อีกหนึ่งเพื่อนร่วมคณะและหุ้นส่วนแอพพลิเคชั่นอาร์ทูร่าในตำแหน่งโปรเจกต์เมเนเจอร์ เธอสูดหายใจเข้าและหมุนปิดฝักบัวเพื่อรับสาย เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่ร่วมระดมสมองด้วยกันวันก่อนที่ห้องอาจารย์เกบรียล ไรเกอร์ เธออาสาช่วยโซลและเรย์นอีกแรงเพราะส่งวิทยานิพนธ์ไปตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มีเวลาว่างอีกสามเดือนก่อนการรับปริญญาบัตร
“เธอต้องไม่เชื่อแน่ว่าฉันเจออะไร” เสียงสดใสตื่นเต้นของรูธ ทำให้โซลยิ้มออก แม้เพิ่งร้องไห้ไปไม่นาน “มีคนไม่น้อยเลยที่ปัดแอพหาคู่แล้วเจอกับไอ้หมอนั่นนะ มันหว่านเสน่ห์ไปทั่วเหมือนกัน ตอนนี้ฉันกำลังไถฟีดแอพอยู่ เห็นตอบกลับแต่พวกอินฟลูเอ็นเซอร์”
“เจออะไรที่น่าสนใจแล้วเป็นรูปธรรมป่ะ” โซลจับปลายผ้าผืนยาวสีน้ำเงินห่อรอบตัว ตอบกลับกับปลายสายพลางบีบยาสีฟันกลิ่นมินต์ลงบนแปรง “แบบที่น่าจะเป็นหลักฐานเขียนลงธีสิสได้”
“เห็นแต่พฤติกรรมกะล่อน หลงตัวเองอะ ไม่รู้สิ... คงจะฝังใจที่วันนั้นโดนเธอปฏิเสธมั้ง”
“บอกตามตรงเลยนะ ไม่ว่าฉันอยู่สถานะอะไรก็ตาม เจอพฤติกรรมคุกคามแบบนั้นก็ปฏิเสธอยู่ดี สันดานแย่เกิน” สิ้นคำสบถด่า เธอบ้วนฟองยาสีฟันทิ้งลงอ่างล้างหน้าพร้อมเช็ดปาก “ว่าแต่ไปหาสืบอะไรในแอพหาคู่อะ”
“ความจริงตั้งใจหาคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฮ็นดริกนั่นแหละ แต่ในโซเชียลมีเดีย หมอนั่นปิดเป็นไพรเวท เข้าดูไม่ได้ ฉันเลยมาสืบตามแอพหาคู่แทน”
“เอางี้มั้ย เราแยกย้ายกันหาความเชื่อมโยงคนละแพลตฟอร์มแล้วตอนเย็นค่อยมาสรุปอีกทีว่าได้อะไรบ้าง”
เมื่อแบ่งหน้าที่แล้ว สองสาววางสายจากกัน โซลสวมเดรสยาวถึงเข่าสีดำเบสิกโดยไม่ใส่บราเพราะวันนี้ทั้งวันโซลจะไม่ออกไปที่ไหนทั้งนั้น เธอเข้าห้องทำงาน เจอกับคู่หมั้นที่ตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้นเพื่อเขียนข่าวส่งบรรณาธิการก่อนคืนนี้ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนจูบแล้วทำงานของตัวเอง โซลเปิดแล็ปท็อปและแท็บเลตโดยที่จอหนึ่งเปิดไฟล์แบบร่างเนื้อหาวิทยานิพนธ์ถึงด้านมืดในวงการบันเทิง อีกจอไว้ค้นดูหลักฐานประกอบการเขียน
โซลเลื่อนหน้าจอย้อนดูแชทตั้งแต่วันแรกที่มีการติดต่อนัดหมายกับเฮ็นดริกซึ่งเธอไม่เคยใส่ใจที่จะอ่าน เพราะเธอจดจ่อเพียงแค่การสัมภาษณ์อย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกหรืออารมณ์ส่วนตัวนอกเหนือกว่านั้น จนกระทั่งวันนี้เธอได้รับรู้ถึงความแปลกในรูปแบบการสนทนาในห้องแชท
เริ่มจากการพูดเชยชมสร้างความประทับใจต่าง ๆ นานา ถามกิจวัตรประจำวันเพื่อรอคุยครั้งต่อไป ไปจนถึงการพร่ำเพ้อเชิงชู้สาว แต่มีข้อความชุดหนึ่งที่โซลอ่านแล้วรู้สึกคลื่นไส้เป็นพิเศษ
<ห้องแชทระหว่าง Sol Windermere – Hendrick Quibell: 18-02-2025: 16:11>
Hendrick_Q: ฉันฝันถึงเธอทุกคืนเลย นับตั้งแต่วันที่เราได้เจอกัน
Hendrick_Q: ในฝันสวยไม่เท่าตัวจริงหรอก
Hendrick_Q: ฉันไม่สนด้วยซ้ำว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับใคร
Hendrick_Q: เธอเป็นมิวส์ของฉัน ไม่มีใครเปลี่ยนข้อเท็จจริงนั้นได้หรอก
Hendrick_Q: หยุดปฏิเสธตัวเองได้แล้ว
มิวส์ (Muse) คือเทพีกรีกแห่งแรงบันดาลใจและศิลปะ แม้ไม่ใช่เทพยิ่งใหญ่แห่งหุบเขาโอลิมปัสเท่าเฮร่าผู้เป็นราชินีหรือซุสผู้ปกครองสูงสุด มิวส์เป็นเทพีตัวเล็ก 9 นางที่มีความสามารถทางศิลปะอันแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งดนตรี วรรณกรรม การโต้วาที ศาสตร์ความรู้ และนั่นคือคำชม นั่นคือฉายาที่เฮ็นดริกตั้งให้... ไม่ใช่ครั้งแรก
มิวส์เป็นชื่อที่เฮ็นดริกมักใช้เรียกโซลสมัยเรียนด้วยกันที่เอดจ์วูดไฮ
ตอนนี้เธอกลับรู้สึกได้ถึงความอันตรายผ่านข้อความเหล่านั้น เฮ็นดริกสามารถสรรหาคำเป็นร้อยเป็นพันจากพจนานุกรมเพื่อสร้างความประทับใจ โซลไม่ตกหลุมพรางดำมืดของเขาซ้ำสองจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบแชทกับเฮ็นดริกหลังจากขาดการติดต่อจากเขาไปหลายวันว่า
Sol_W: ฉันได้ข้อมูลจากเธอครบแล้วตลอดการสัมภาษณ์ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องนัดหมายอะไรกับเธออีก
Sol_W: ขอบคุณสำหรับเวลา
โซลรู้ดีว่าข้อความพวกนั้นที่ส่งไปไม่ใช่จุดจบ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อตัวน้อย ๆ ที่กระตุ้นพฤติกรรมของเฮ็นดริก หลังจากนี้เขาจะพิมพ์หาเธอมากกว่าเดิมเพื่อแสดงอำนาจ ใช้มันกดดันคนที่ด้อยหรืออ่อนแอและสุดท้ายตัวเองก็จะได้สิ่งที่ต้องการ พฤติกรรมของคนหลงตัวเอง จอมบงการเป็นแบบนี้ และเขาย่อมทำทุกวิธีเพื่อให้ได้มาเหมือนที่ทำกับโอลเซน
เส้นทางที่เลือกเดินหลังจากนี้จะมีแต่ความอันตรายเพื่อแลกกับความปลอดภัยของชุมชนและวงการบันเทิงต่อไป เธอปิดหน้าจอแชทแล้วเข้าสืบค้นหน้าฟีดโปรไฟล์ของเฮ็นดริกทางโซเชียลมีเดียซึ่งดูเป็นการเป็นงาน แต่โซลไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าคนใกล้ตัวของเขาที่อาจเป็นจิ๊กซอว์ของคำถามที่ว่า ‘เกรทเชนหายไปไหน’
เธอสังเกตเห็นชื่อหนึ่งสะดุดตาและมีการปฏิสัมพันธ์กับเฮ็นดริกมากที่สุดเทียบกับชื่ออื่น ๆ เธอคนนั้นคือ ซัมเมอร์ เซ็ทเลอร์ สาวลูกครึ่งเอเชียหน้าเล็กซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนทางโซเชียลมีเดียกับเฮ็นดริกและเกรทเชน โซลสันนิษฐานได้ว่าซัมเมอร์เรียนที่เดียวกับทั้งคู่ ไม่ก็รู้จักกับเกรทเชนผ่านเฮ็นดริกอีกที
ตกเย็น รูธไม่ใช่แค่โทรศัพท์หาโซล เธอขับรถมาหาจากทราฟัลการ์พร้อมกับแล็ปท็อปขนาดกว้าง 15 นิ้ว และไวน์แดงหนึ่งขวดเพื่อทั้งสองจะได้มีแรงสืบเสาะหาเบาะแสตลอดทั้งคืน
“อ้ากกกกก”
ปัจจุบัน ณ ทัณฑสถานซิทาเดล เฮ็นดริกกรีดร้องทรมานด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เขามองข้างหน้าเห็นความมืดราวกับตาบอดและเขารู้สึกสะอิดสะเอียนคลื่นไส้ ความทรงจำที่โซลยัดเยียดใส่เขาทำงานหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แตกต่างจากสิ่งที่เขาจำได้ “ผมมองไม่เห็น!!ช่วยด้วย!!หมอครับ!!ใครก็ได้!!” แผดเสียงขอความช่วยเหลือได้ไม่ทันไรก็โค้งตัวอาเจียนเรี่ยราดทั่วพื้นเพราะเขามองไม่เห็นว่าอะไรอยู่ตรงไหน และเขาสั่นกลัวมากกว่าเดิมเพราะรู้สึกเข้าใกล้ความตายยิ่งกว่าคืนที่ผ่านมา
นับตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ โซลไม่ไปมาหาสู่ที่เพนต์เฮ้าส์ของเฮ็นดริกอีก มีการตอบกลับข้อความแชทบ้างอย่างเย็นชา เขาแทบจะได้ยินเสียงของเธอผ่านข้อความ เขาเข้าใจว่าเธอตั้งใจโฟกัสกับธีสิสของตัวเองจนไม่มีเวลาคุย เขาไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น จนกระทั่งความทรงจำของหญิงสาวหลั่งใหลเข้ามาในความฝันของเขา เป็นมุมมองที่ไม่เคยได้รู้เพราะไม่มีใครพูดอะไรเลยจนมีหมายศาลส่งมาที่เพนต์เฮ้าส์
“หุบปากดิ๊ แหกปากอะไรนักหนาวะ!!” นักโทษหลังประตูกรงข้าง ๆ ตะโกนสู้ เฮ็นดริกได้แต่ร้องไห้เพราะทรมาน ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว สติสัมปชัญญะจะดับวูบอีกครั้งหลังจากที่นอนไม่เต็มอิ่มตลอดระยะเวลาในเรือนจำ “ไอ้เหี้ยนี่!!กูบอกให้มึงเงียบไง!! ไม่งั้นกูจะเลาะฟันออกจากปากมึงทีละซี่เดี๋ยวนี้เลย!!”
ข้างห้องของเฮ็นดริกคือ นักโทษหมายเลข 963452 เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆาตกรรมยกครัวเพื่อชิงทรัพย์ มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาในการลงมือจบชีวิตใครสักคน และคนน่ารำคาญอย่างเฮ็นดริกที่ร้องไห้โอดโอยทุกวันปลุกความรู้สึกอยากฆ่าอะไรสักอย่างขึ้นมาอีกครั้ง คำขู่ที่ว่าจะเลาะฟันออกจากปากไม่ใช่การพูดเล่นให้กลัวเพราะผู้เสียชีวิตในคดีของเขาไม่เหลือฟันแม้แต่ซี่เดียว
พัศดีสามสี่คนหามพาตัวนักโทษหมายเลข 987627 ออกจากห้องขัง ทันทีที่ร่างของเขาถูกโอบอุ้มพ้นบริเวณห้องขัง สายตาของเขากลับมามองเห็นตามปกติแต่กลับเห็นชายตัวสูงสวมสูททางการเดินเตร่ไม่ห่างจากพัศดี เสียงรองเท้าคัทชูแตกต่างจากทุกคน เพราะนักโทษสวมรองเท้าผ้าใบไม่มีเชือกและผู้คุมสวมรองเท้าคอมแบท ยกเว้นชายแปลกหน้าสวมสูทคนนี้ ความรู้สึกนี้เหมือนความตายปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“อย่า... อย่าทำอะไรผมเลยนะ ผมยังไม่อยากตาย” เฮ็นดริกวิงวอนพร้อมยกสองมือขึ้นพนมจรดคิ้ว
“ผมไม่ได้มาฆ่าคุณสักหน่อย แค่มาดูให้มั่นใจว่าคุณจะตายตามเวลาของตัวเอง” คนตัวสูงผอมเพรียวแยกยิ้มอ่อนโยนโชว์เขี้ยวขาวซี่หนึ่งทำเอาขนลุกขนพอง แม้ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่ได้สบายใจกว่าเดิมว่าตัวเองจะไม่ตายในวันนี้ “ซึ่ง... เหมือนคุณจะตายเร็วขึ้นกว่าเดิมจากสภาพร่างกายแบบนี้ คนแบบคุณทำให้ผมสงสัยนะว่าน่าสงสารจริงหรือแค่แสดงละครมาหลอกให้ความตายเห็นใจ” ยมทูตหนุ่มพูดเหน็บแนมขณะเดินมาส่งเฮ็นดริกที่ห้องพยาบาลแล้วยืนพิงผนังเงียบ ๆ ปล่อยให้เขาตรวจร่างกายกับเจ้าหน้าที่หมอพยาบาล
คำพูดเหล่านั้นกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยที่หย่อนเข้าไปในเซลล์สมองว่า เขาต้องทำอะไรเพื่อให้ตัวตนผีสางเลิกรังควานเสียที ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโซลใช่ไหม
สิบนาทีในห้องพยาบาลนำพาคำตอบเกี่ยวกับอาการประหลาดของเฮ็นดริก เกิดจากความเครียดซึ่งทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ มองไม่เห็นชั่วคราวและส่งผลต่อการนอน ยมทูตหนุ่มยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าอาการของนักโทษชายสามารถรักษาหายได้และเวลาถึงฆาตยังคงเป็นยี่สิบปีหลังจากนี้ เขาส่งต่อข้อมูลให้กับลูกน้องของตัวเองแล้วมองหาโซลที่ไม่อยู่ในอาณาบริเวณของเรือนจำ
เฮ็นดริกต้องพักฟื้นในห้องพยาบาลสักพัก เขาคิดว่าตัวเองปลอดภัยหากไม่ต้องกลับเข้าห้องขังของตัวเองจนกระทั่งกลืนยาเม็ดลงคอแล้วหลับตานอนงีบ ตอนนั้นเองที่ชุดความทรงจำไม่ใช่ของตัวเองกลับเข้ามาอีกครั้ง... ในลำดับเหตุการณ์ใหม่
โซลติดต่อหาซัมเมอร์เพื่อสัมภาษณ์พูดคุยเกี่ยวกับผู้กำกับเฮ็นดริก ควิเบลล์โดยที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์กับบุคลิกนิสัยโดยมีรูธและเรย์นติดตามไปด้วย พวกเขานัดเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นย่านนิวเคนท์ (New Kent) ใกล้ออฟฟิศของซัมเมอร์เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ความสดใสและอารมณ์ขันของรูธและเรย์น ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป เหมือนคุยเล่นกัน ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ จนกระทั่งเข้าสู่เรื่องของ ‘เกรทเชน จาร์วิส’
“เอ๋ พวกคุณก็ติดต่อเกรทเชนไม่ได้เหรอคะ” ซัมเมอร์ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เธอจิบน้ำจากกระติกเก็บความเย็นแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “คือฉันไม่เข้าใจด้วยซ้ำค่ะว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น หนีจากทุกคน หนีจากฉันด้วย พวกเราสนิทกัน คุยกันทุกเรื่องนะคะ”
“ช่วงก่อนที่เกรทเชนจะติดต่อไม่ได้ เธอได้แสดงอาการท่าทีแปลก ๆ รึเปล่าคะ” โซลถามต่อ
“แปลกแบบไหนเหรอคะ”
“อะไรที่ดูผิดวิสัยจากเดิมน่ะค่ะ”
“อืม... คิดก่อนนะคะ” ซัมเมอร์วางตะเกียบบนถ้วยราเม็งหมูชาชูแล้วเอนหลังกอดอกกับเก้าอี้ของตัวเอง คิ้วขมวดคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายปี “เธอเริ่มขาดการติดต่อกับฉันและเพื่อน ๆ ช่วงหลังจากงานรับปริญญาค่ะ พวกเรามีนัดหมายเที่ยวเป็นกลุ่มเพื่อฉลองเรียนจบด้วย แต่เกรทเชนเป็นคนเดียวที่ไม่ไปทริป”
“ทริปเที่ยวจัดห่างจากวันรับปริญญามั้ยคะ” รูธนำมือป้องปากร่วมวงถามด้วย หลังจากกินราเม็งจนหมดถ้วย
“ประมาณ 5 วันค่ะ มันเป็นทริป 3 วัน 2 คืนที่คอทส์โวล (Cotswold) ทริปนี้มีกันประมาณ 15 คนค่ะในสาขาภาพยนตร์ ไม่มีใครติดต่อเกรทเชนได้ตั้งแต่สองวันก่อนเริ่มทริป ไม่มีแม้แต่ข้อความบอกหรือสัญญาณเลยด้วยค่ะ แต่ตอนนั้นใคร ๆ ก็คิดว่าเกรทเชนไม่สบาย จนกระทั่งทริปจบก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมา ผ่านไปประมาณสัปดาห์หนึ่ง เบอร์ของเกรทเชนก็กลายเป็นหมายเลขที่ไม่เปิดให้บริการ” ซัมเมอร์ลำดับเหตุการณ์อย่างระมัดระวังพร้อมกับเปิดแอพพลิเคชั่นปฏิทินออนไลน์ที่ตนได้บันทึกเอาไว้ โซล เรย์นและรูธมองเห็นแบบเดียวกัน “นั่นแหละค่ะที่แปลก”
“แล้วเธอมีเคยประเด็นทะเลาะกับใครมั้ยคะ”
“ความจริงเป็นเพื่อนมีเรื่องทะเลาะกันคงไม่ใช่เรื่องแปลก... แต่พวกเราเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่งค่ะ”
“พอจะเล่าได้มั้ยครับ” เรย์นผู้กินหมดเป็นคนสุดท้ายถามด้วยความสงสัย “แต่ถ้าไม่สะดวกใจ ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เล่าได้ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” ซัมเมอร์สูดหายใจอีกครั้ง ดูเหมือนเป็นเรื่องหนักใจระหว่างพวกเธอ “ฉันกับเกรทเชนเคยทะเลาะกันเรื่องเฮ็นดริกค่ะ ฉันคิดว่าเธอคิดมากเกินไปหน่อย ฉันรู้นิสัยของเขาดีค่ะเพราะเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่ไฮสคูลแล้ว บางทีเฮ็นดริกก็ไม่ค่อยระวังคำพูดหรอกค่ะแต่เจตนาของเขาไม่ได้แย่นะ แต่เกรทเชนไม่เข้าใจ”
“ทะเลาะกันเมื่อไหร่เหรอคะ” โซลจิบชาเขียวเย็นจากแก้วเพราะคอแห้งผากหลังจากกินอาหารรสมัน
“นานมากแล้วค่ะ ก่อนช่วงทำโปรเจกต์วิทยานิพนธ์อีก” ซัมเมอร์ให้คำตอบแล้วนำมือสองข้างป้องปากเหมือนเพิ่งนึกได้ว่า นี่ต่างหากที่เป็นสัญญาณเตือน แววตาสองข้างสั่นระริกมองทุกคนที่ร่วมโต๊ะ “ไม่นะ... พวกคุณคิดว่ามีส่วนไหมคะ”
“ไม่มากก็น้อยค่ะ แล้ว... ตอนนั้นมันคือประเด็นอะไรเหรอคะ”
“เฮ็นดริกเขา... ส่งแชทหาเกรทเชนค่ะ มันก็เหมือนจะคุยกันปกติเพราะเขาเป็นคนชอบพูดหยอกทีเล่นทีจริง คือ... ถ้าเป็นคนไม่คิดมากก็จะรู้สึกว่าเฝื่อนดี ตลกดี แต่ถ้าเป็นคนคิดมากก็จะรู้สึกไม่สบายใจค่ะ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่สบายใจ”
“ขอโทษนะคะ ที่เขาส่งมา มันประมาณนี้ไหมคะ” โซลถือโอกาสครั้งนี้ในการเปิดแชทข้อความที่เฮ็นดริกส่งข้อความรบกวนการใช้ชีวิตให้ซัมเมอร์ดูเพื่อยืนยันสมมติฐานในหัวว่า เฮ็นดริกอาจจะกระทำแบบเดียวกัน ซึ่งคำตอบที่ได้จากซัมเมอร์คือการพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วปล่อยน้ำตาไหลลงแก้มทีละข้าง เธอยื่นทิชชู่ให้ซับน้ำตาแล้วเริ่มคุยต่อ
“เฮ็นดริกเรียกเกรทเชนว่า ‘นางฟ้า’ ค่ะ... ฉันไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำเพราะฉันเองก็มักโดนเขาเรียกว่า ตุ๊กตา... เขาเรียกแบบนั้นตั้งแต่ช่วงรู้จักกันใหม่ ๆ เลยค่ะ ฉันสูงแค่ห้าฟุตนิด ๆ แต่เขาสูงเกือบแปดฟุต พอเราอยู่ใกล้กัน ฉันก็ไม่ต่างจากตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ เท่าไหร่”
พวกเขาทั้งสี่เริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้มากขึ้นจากคำพูดของซัมเมอร์ โซลมั่นใจว่าเกรทเชนรู้สึกอ่อนไหวและไม่สบายใจกับการกระทำของเฮ็นดริกแต่อาจมีสถานการณ์บางอย่างที่เป็นตัวกระตุ้น เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอหายไปจากสารบบของทุกคน ไม่ใช่แค่แชทแน่ ๆ
ข้อมูลเท่านี้มากเพียงพอสำหรับโซลและเรย์นในการเขียนวิทยานิพนธ์ แม้อาจไม่พอสำหรับการตามหาเกรทเชน จาร์วิส แต่ซัมเมอร์รู้สึกแย่จนให้ข้อมูลเพิ่มไม่ไหวแล้ว เธอโทษตัวเองว่าเธอมีส่วนกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย ถ้าตอนนั้นเธอปฏิบัติต่าง เกรทเชนอาจยังอยู่ โซลจึงคว้ามือสองข้างของซัมเมอร์มากุมเอาไว้
“อย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลยค่ะ เธออาจมีเหตุผลอื่นที่มากกว่านี้ที่อาจอธิบายให้ใครฟังไม่ได้ แต่พวกเราจะทำวิธีเพื่อตามหาเกรทเชนให้เจอค่ะ”
“จริงสิ... เกรทเชนเคยเล่าให้ฟังว่าเธอมีพี่น้องแต่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ฉันไม่รู้ว่าช่วยอะไรได้มั้ย...”
#คลั่งฝังแค้น