ยามพลบค่ำสายลมพัดโบกโบยของเหมันต์ฤดูได้เริ่มขึ้นดั่งที่ได้ยินพยากรณ์อากาศในคลื่นวิทยุ ใบไม้บนต้นเปลี่ยนทิศไปตามแรงลมจะพาไป
ผู้ใหญ่,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สิ่งใดที่รอคอย สิ่งนั้นมักจะยาวนานเสมอ
เพียงหนึ่งสัปดาห์ ให้ความรู้สึกเหมือนหนึ่งปี
สาววัย ๒๓ ปี ชะเง้อเฝ้ารอจากรั้วบ้าน ในที่สุดพ่อกับแม่ก็กลับมาสักที
จังหวะที่คุณพ่อขับรถกลับบ้าน คนที่รอคอยตื่นเต้นออกอาการราวกับเด็ก ๗ ขวบ
"เป็นยังไงล่ะ ให้ไปด้วยกันก็ไม่ไป จะโทรให้ญาติๆ มาอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่เอา" ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถ ผู้เป็นพ่อแกล้งทำเย้ยลูกสาว ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นห่วงจนกระวนกระวายไปหมด
"ไม่ต้องมาเยาะเย้ยเลยนะพ่อ" เสียงใสปรามพ่อตัวเอง
"ฮ่าๆๆ" เสียงขำผู้เป็นพ่อ
ได้หยอกได้แซวนิดหน่อยคนเป็นพ่อก็สบายใจแล้ว
"แล้วเหนือล่ะ" แม่ถามขึ้น
"น่าจะทำงานมั้งคะ"
ระยะเวลา ๓ เดือนที่กลับมาอยู่ไทย ทอประกายมาช่วยงานโฮมสเตย์ และช่วยธุรกิจผลไม้แปรรูปของครอบครัวได้มากพอสมควร
เธอเรียนจบการตลาด ดังนั้นจึงนำความรู้จากที่เรียนมาปรับใช้ได้เป็นอย่างดีกับธุรกิจของครอบครัว
.
แสงแดดอ่อนๆ ในหน้าหนาว
"คุณจรัสครับ เหนือไม่สบาย นอนซมอยู่ รบกวนพาเขาไปโรงพยาบาลหน่อยได้ไหมครับ"
เสียงลุงมิ่ง
ซึ่งเป็นคนงานที่ไร่
เดินมาคุยกับพ่อที่หลังบ้าน
ประจวบเหมาะกับที่ส้มอยู่ในครัวพอดี เธอจึงบังเอิญได้ยินและลอบฟังต่อจนทราบหมดว่าใครเป็นอะไร
โคตรเป็นห่วง แต่ขืนบุ่มบ่ามเข้าไปก็คงไม่ดี
เดี๋ยวพ่อคงเล่าให้ฟังเอง แค่รอ....
เจ้าของไร่วัย ๕๓ เดิมดุ่มๆ ตามหลังลุงมิ่งไปที่บ้านพักคนงานด้วยความรู้สึกที่ภาวนาว่าไม่อยากให้เขาเป็นอะไรมาก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
จรัสเพชรเคาะประตู
"เข้ามาได้เลยครับ" เสียงอนุญาตสุดแหบพร่า
ประตูของเพิงไม้หลังเล็กถูกเลื่อนเปิดออกโดยลุงมิ่ง
"ไปหาหมอเถอะเหนือ" เจ้าของไร่พูดขึ้นด้วยความห่วงใย
"กินยา ได้นอนสักหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้วครับ"
ขนาดนี้แล้วก็ยังคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก
จรัสเพชรกับลุงมิ่งเห็นตรงกันว่า รีบพาไปโรงพยาบาลเป็นดีที่สุด เพราะไร่ก็อยู่ไกลจากตัวเมืองด้วย เกรงว่าจะอาการหนักกว่าเดิมในยามวิกาลแล้วยิ่งทรมาน
ดูไร้เรี่ยวเรี่ยวแรง
หน้าบวมเป่ง
เสียงแหบ
ลุงมิ่งกับจรัสเพชรเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ แล้วพาเหนือไปหาหมอ
เหนือรักต้องแอดมิด
เขาป่วยหนักจริงๆ
และความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นแล้วเพราะหาคนมาเฝ้าไม่ได้ เพราะลุงมิ่งกับจรัสนั้นงานยุ่งสุดๆ
จรัสเพชรอยากได้คนใกล้ตัวมาเฝ้า ไล่โทรหาคนงานที่ไร่ทีละคน ที่พอจะวางใจได้ก็กลับมาไม่ได้สักคน
สุดท้ายลูกสาวคนสวย ของเจ้าของไร่อาสาจะเฝ้าเอง
ผิดวิสัยของทอประกาย
สาวผู้เย่อหญิง ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากถ้าไม่สนิท
จะทำอะไรแบบนี้ในขณะที่ไม่ได้ร้องขอแล้วนั้น เป็นเรื่องอัศจรรย์ใจสำหรับผู้เป็นพ่อพอสมควร
แต่ก็ดีใจที่ลูกสาวโตขึ้นมาก
เข้ากับคนง่ายขึ้น
เข้าหาคนอื่นก่อนบ้าง
รู้จักดูแล รู้จักมีน้ำใจต่อคนรอบตัวบ้าง
ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
นานพอสมควรกว่าทอประกายจะเดินทางถึงโรงพยาบาล โดยที่เธอนั้นให้คุณแม่ขับรถมาส่ง
"คนป่วยก็น่าจะไม่ต้องดูแลอะไรมากหรอก แค่อยู่เป็นเพื่อนก็พอ" จรัสเพชรเอ่ยกับลูกสาวที่เพิ่งมาถึงโรงพยาบาล เธอพยักหน้ารับหงึกๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือดเพราะเป็นห่วงเหนือมาก ตั้งแต่ทราบว่าเขาป่วย
หลังจากพ่อแม่และลุงมิ่งเดินลับสายตาไปนั้น เธอก็เข้าไปในห้องที่คนป่วยนอนโดยมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่
เขาไม่ได้หลับแต่ดูซึมๆ
"เป็นไงบ้าง" ร่างบางใช้มืออังที่หน้าผากเขา
"ไม่เป็นไร ชิวๆ" เสียงแหบที่พยายามเค้นเสียงตอบ
"ค่ะ ชิวก็ชิว" เธอว่าแล้วนั่งลงยังเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย
"ขอจับมือหน่อย" เสียงแหบว่าแล้วแบมือรออีกฝ่าย
ทอประกายทำตามที่เขาขออย่างไม่รีรอ
มือที่ร้อนดุจเตาผิงถูกสัมผัสด้วยเจ้าของมือสวย ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยความห่วงใยคนที่นอนซมอยู่
หน้าตาโคตรน่าเอ็นดู
เหมือนแมวป่วย
หนุ่มร่างกำยำ แข็งแรง
ถึงคราวป่วยแบบนี้เห็นแล้วสงสารมาก
เขาโหมงานหนัก...ก็ใช่
เขานอนดึก....ก็ใช่
อีกสาเหตุคงเพราะอากาศที่เดี๋ยวหนาวจัด เดี๋ยวร้อนจัด ร่างกายคงปรับตัวไม่ทัน
เท่านั้นไม่พอเหนือรักยังท้องเสียอีกด้วย หน้ายิ่งซีดเซียวไปใหญ่
"ไม่ต้องโทรบอกที่บ้านเธอหรอ" ทอประกายถามคนป่วย
"ไม่ต้องหรอก นิดเดียวเองเดี๋ยวก็หาย เขาอายุเยอะแล้ว เขาตกใจง่าย กลัวจะขวัญเสียกันหมด"
คนป่วยที่ยังคงเผื่อแผ่ความห่วงใยไปยังคนรอบตัว
"ออกไปข้างน้องก่อน จะตด" คนที่ทั้งมีไข้ ทั้งท้องเสีย ไล่ให้คนเฝ้าออกไปก่อนเพราะเขากำลังจะปล่อยของเสีย
"ไม่ออก ก็ตดไปดิ"
ปรู๊ดดด แปร๊ดดดดด
ทั้งกลิ่นทั้งเสียงตลบอบอวลไปทั่วห้อ งราวกับรถขยะคว่ำ
ทอประกายกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเปิดประตู
"บอกให้ออกไปไม่ยอมออก" เหนือรักพึมพำแล้วเขาค่อยๆ ลุก แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างช้าๆ
"เข้าห้องน้ำหรอ ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย" เสียงบางถามด้วยความห่วงใย
"ไม่ต้อง จะขี้ ไม่ต้องตามมานะขี้ไม่ออก"
คนป่วยขออย่างตรงไปตรงมา
"เออ ไม่ตามไปหาอก ใครจะตามไป ตดยังขนาดนี้ ขี้จะขนาดไหน" ส้มพึมพำแต่เขาได้ยิน
"ได้ยินนะ"
"ได้ยินแล้วจะทำไม ไปขี้ไป เดี๋ยวก็ไม่ทัน" เธอว่าแล้วกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ
"มาดูแล หรือมาหาเรื่อง" คนกำลังทำธุระอยู่ในห้องน้ำยังคงเถียงไม่เลิก
เมื่อเขาทำภารกิจในห้องน้ำเสร็จ ข้าวและยามาส่งพอดี
ทอประกายพยายามช่วยจัดแจงอย่างดี จนแทบจะป้อนข้าวให้เขา
"ไม่ต้องป้อน กินเองได้" คนป่วยต้องร้องปราม
"ก็อยากมีส่วนร่วม ไม่ได้หรอ"
"ไม่ได้" เขาว่าแล้วตักข้าวต้มใส่ปากอย่างหน้าตาเฉย
"เก่งมากแล้วป่วยทำไม เก่งขนาดนี้ไม่น่าป่วยเลย" เสียงบาง ทำหน้ายียวน
"กวนตีน" เหนือรักมองค้อนคนตรงหน้า
"หายไวๆ นะ" เธอว่าพลางลูบหัวคนป่วย
"๑ นาทีมีกี่อารมณ์" เหนือรักหันไปมองหน้าส้ม
"ก็เอนเตอร์เทนไง ไม่อยากให้เศร้า" หน้าหวานฉีกยิ้มจนแก้มปริ
อีกฝ่ายมองหน้าแล้วส่ายหัวไปมา
"อยากทำอะไรก็ทำเถอะ"
"รำคาญหรอ"
หนุ่มตี๋ยกมุมปากแล้วยักคิ้วใส่ ทิ้งตัวลงนอนทันทีที่ทานข้าวเสร็จ
"นั่งก่อน เดี๋ยวกรดไหลย้อนจะยิ่งไปกันใหญ่" ร่างบางเค้นเสียงดุ แล้วประคองคนตัวโตกว่าให้ลุกขึ้นนั่ง เขาให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย ตรงข้ามกับสีหน้าและคำพูดที่สุดจะกวนบาทา
"ทำเป็นเข้ม" เหนือรักเอ่ยเสียงเรียบ
"ไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย" เสียงเล็กพึมพำ
"ก็เพราะรู้ว่ามีคนช่วยมาดูแลอยู่แล้ว" แม้กายอ่อนล้า แต่ยังปากไว หัวก็ยังไว
ถึงโทรมกายแต่หน้ายังหล่อเหลา
ดูกวนบาทาไปบ้าง
หน้าเหนื่อยของเขาตอนนี้กลับเหมือนลูกแมวซนๆ ที่ปนไปด้วยความขี้อ้อนเล็กๆ
ส่วนผสมของผู้ชายที่ชื่อ 'เหนือรัก' นั้นช่างลงตัว
เพอร์เฟคไหม?....ก็ไม่
ใช่ผู้ชายในอุดมคติทอประกายไหม?...ก็ไม่อีก
แต่ความไม่สมบูรณ์แบบของเขาก็ดึงความไปจากเธอไม่น้อยเลย
เหนือรัก
ดูอบอุ่นน่าเป็นมิตรและมีความน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก...
แต่ถ่อมตัวไปหน่อย ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
หน้าตาก็ดี การศึกษาก็มี
ส่วนหน้าที่การงานนั้น....
เขาอยู่ในสถานะลูกจ้างของพ่อเธอ
หรือสิ่งนี้อาจจะทำให้เขาไม่มั่นใจมากขนาดนั้น บ่อยครั้งเขามักจะพูดว่า "ยังไม่อยากตกงาน"
และเขาย้ำถึงความเหมาะสมอยู่บ่อยครั้ง
ทอประกายมองเขาที่หลับไป แล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ไม่ได้อยากทำให้ใครตกงาน
ถ้าพ่อรู้เรื่องคืนนั้นเขาจะโดนไล่ออกไหม
ถ้าเกิดทั้งคู่รักกันจริง แล้วพ่อจะกีดกันไหม...
เธอก็ยังไม่รู้เลย ไม่แปลกที่ทั้งคู่จะแหย่กัน แซวกันเล่นไปมา
แต่เมื่อเค้นถามจริงจังว่าแท้จริงแล้วนั้นรู้สึกอย่างไรต่อกัน ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เลย
หรือพากันทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะกันไปเอง
มันก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่าจรัสเพชรอาจจะไม่ปิดกั้นอะไรเลยก็ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นความกังวลของหญิงสาววัย ๒๓
ที่เรื่องราวของเธอกับลูกจ้างของพ่อนั้นก็ยังไปไม่ถึงไหน
ยังไม่ทันไร ก็เต็มไปด้วยความกังวลซะแล้ว
มันถูกที่ถูกทางหรือเปล่านะ เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ
"ส้มไปนอนดีๆ " อีกคนลืมตาตื่นมาเห็นเธอนั่งสัปหงกอยู่ที่เก้าอี้ใกล้เขา
"อื้อ แล้วทำไมเธอตื่นล่ะ จะเข้าห้องน้ำหรอ" เสียงหวาสเอ่ย
"อืม จะเข้าห้องน้ำ"
"ให้ช่วยป่าว"
"ไม่ต้อง ชิวๆ ไปนอนได้แล้ว" เขาว่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ไล่ให้ไปนอนอะไรนัก
มาเฝ้า ไม่ได้จะมานอนซะหน่อย
คนดื้ออย่างเธอก็ยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำดิ จะไปนอนง่ายๆ ตามที่เขาบอกทำไมกัน
ครืด ครืด
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกโดยคนป่วย
สะดุ้งโหยงที่เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่หน้าประตู
"มาเฝ้านี่ก็เฝ้าจริงๆ เลย ไม่ต้องดูแลอะไรหรอก ช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่เป็นเพื่อนก็พอแล้ว"
"เขาว่าแล้วเดินไปที่เตียง" อีกฝ่ายเดินตาม เธอก้มลงแล้วกดจมูกลงที่หน้าผากเขา
"หายไวๆ นะ"
"ขอบคุณครับ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
ในที่สุดเธอก็ยอมนอนดีๆ จากเดิมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้