การปฏิเสธคริสตอฟไม่ได้เป็นทางเลือกที่เขาจะทำได้โดยปลอดภัย ขณะเดียวกัน การเข้ามาเกี่ยวข้องกับกรมตำรวจ โดยเฉพาะกับผู้กำกับคณิน ก็ไม่ต่างจากการเล่นกับไฟที่อาจจะเผาเขาให้เป็นจุณได้ทุกเมื่อ
ชาย-ชาย,#BL,สืบสวน ,แอ็คชั่น,รักในเครื่องแบบ,ฆาตกรรม ,ฆาตกรต่อเนื่อง,นักสะสมมนุษย์,อาญากรรม,กักขัง,โรคจิต ,ฆาตกร,ปริศนา ,ระทึกขวัญ ,นักสืบ ,ปริศนาฆาตกรรม ,boylove,yaoi ,เพื่อนกูรักมึง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลวงใจให้หลงตายการปฏิเสธคริสตอฟไม่ได้เป็นทางเลือกที่เขาจะทำได้โดยปลอดภัย ขณะเดียวกัน การเข้ามาเกี่ยวข้องกับกรมตำรวจ โดยเฉพาะกับผู้กำกับคณิน ก็ไม่ต่างจากการเล่นกับไฟที่อาจจะเผาเขาให้เป็นจุณได้ทุกเมื่อ
ลำตัวของเหยื่อถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนเห็นได้ชัดจากรอยช้ำที่กระจายอยู่ทั่ว ร่องรอยของการต่อสู้และความพยายามที่จะหนีเอาตัวรอดยังคงปรากฏชัดเจนบนเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดและสกปรกไปด้วยเลือดและเศษดิน ชายเสื้อขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นและรอยบาดลึกจนถึงกระดูก
กลิ่นคาวเลือดลอยอบอวลอยู่ในอากาศ ร่างกายของเหยื่อเริ่มแข็งตัวด้วยความหนาวเย็นของเช้ามืด คณินรู้สึกถึงอาการหน้ามืดมวนท้องเขาหลับตาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อสะกดความรู้สึกอยากจะอาเจียนก่อนหันไปถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า “มีอะไรอีกที่เรารู้เกี่ยวกับเขาบ้าง?”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาหาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเครียด “ไม่มากครับผู้กำกับ... แต่เราพบกระดาษแผ่นหนึ่งยัดอยู่ในลำคอของผู้เสียชีวิต ตอนนี้เรากำลังตรวจสอบอยู่”
คณินพยักหน้าช้าๆ เขาไม่สามารถละสายตาจากสภาพศพที่นอนอยู่ตรงหน้าได้ ร่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงกองเลือดและเนื้อที่ถูกทำลายจนเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้
"ความโหดเหี้ยมแบบนี้มันหมายความว่าอะไร?"คณินยังคงยืนอยู่ข้างศพ ผู้เสียชีวิตที่นอนจมกองเลือดในตรอกแคบที่แทบจะไร้แสงสว่าง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาในท่าทีไม่รีบไม่ร้อน มือของเขาถือถุงพลาสติกใสสำหรับเก็บหลักฐาน ข้างในนั้นมีเศษกระดาษแผ่นหนึ่งที่ดูยับยู่ยี่และเปียกชุ่มด้วยของเหลวที่คณินรู้ทันทีว่าเป็นน้ำย่อยในลำคอของผู้ตาย
"ผู้กำกับครับ นี่คือกระดาษที่เราพบในลำคอของผู้เสียชีวิต" เจ้าหน้าที่กล่าวพลางส่งถุงหลักฐานให้คณิน
คณินรับถุงหลักฐานมา เปิดออกอย่างระมัดระวัง แล้วดึงกระดาษที่ยับเยินออกมา มันเปียกชุ่มและมีกลิ่นที่ไม่ค่อยน่าพิสมัย แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคณินคือข้อความที่เขียนอยู่บนนั้น
ข้อความนั้นสั้นและเขียนด้วยลายมือที่หนักแน่นเป็นระเบียบราวกับว่าคนเขียนต้องการถ่ายทอดข้อความนี้ก่อนจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่เลวร้ายกว่า “มีงูพิษที่ซ่อนอยู่ในสวนหลังบ้าน” คณินหัวคิ้วขมวดมุ่น...
วันเวลา: วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2538
สถานที่: วัดโบราณในอำเภอแม่ท่า จังหวัดลำพูน
แสงอาทิตย์ยามบ่ายจางๆ ทอดลงบนผืนดินในวัดโบราณที่เงียบสงบ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นธูปเทียนและเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ที่กำลังบรรเลงบทสวดเพื่อส่งวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า โลงศพถูกตั้งอยู่หน้าศาลาการเปรียญ ผู้คนในท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีสวดศพของ พันตำรวจเอก (เกษียณ) ประสิทธิ์ ธีรพงศ์ ลุงของ พันตำรวจเอก คณิน ธีรพงศ์
บรรยากาศภายในศาลา
มีเพียงเสียงสวดของพระสงฆ์ 5 รูป แต่ละบทสวดสะท้อนถึงความหมายแห่งการลาจาก ผู้ที่มาร่วมงานนั่งเรียงรายอยู่บนเก้าอี้ในศาลา บางคนพนมมือ บางคนหลับตาลงเพื่อภาวนาให้ผู้วายชนม์ได้ขึ้นสู่สวรรค์อย่างสงบ เสียงสวดมนต์ดังก้องกังวานในบรรยากาศที่หนาวเย็นของฤดูหนาว แม้บรรยากาศจะเงียบสงบ แต่ท่ามกลางเสียงสวดนั้นกลับมีความเศร้าโศกและความสงสัยที่แฝงอยู่ลึกๆ ในใจของคนบางคน
กลุ่มเพื่อนของท่านผู้กำกับคณิณนั่งอยู่ใกล้กันในแถวหลังสุดของศาลา คณินในตำแหน่งผู้กำกับนำทีมสืบสวนของตำรวจท้องถิ่น นั่งนิ่งขรึม สีหน้าของเขาเคร่งเครียดแม้จะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก เขาใส่ชุดดำล้วนตามประเพณี พร้อมกับสวมแว่นกันแดดสีดำเพื่อปิดบังแววตาที่หม่นหมองของเขา
สารวัตรโทนี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขากระซิบเบาๆ ขณะพนมมือรับบทสวด "ผู้กำกับยังคิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือเปล่า?"
คณินพยักหน้าช้าๆ "ไม่รู้สิ แต่ผมไม่คิดว่าลุงประสิทธิ์จะทำอะไรไม่ระวังขนาดนั้น ท่านเป็นตำรวจที่รอบคอบมาตลอดชีวิต"
ผู้กองสุชาติขยับเข้ามาใกล้เพื่อนทั้งสอง "นายหมายความว่าอาจมีคนจัดฉากงั้นเหรอ?"
คณินเหลือบตามองสุชาติแล้วกระซิบกลับ "ยังไม่มีหลักฐาน แต่ผมจะไม่ตัดความเป็นไปได้นั้นออกไปแน่"
หมวดพิชัยซึ่งนั่งถัดไปจากผู้กองสุชาติขยับแว่นตาและกระซิบเสียงเบา "ผมเห็นด้วยกับผู้กำกับนะ ตอนป๋าแกยังไม่เกษียณแกเป็นคนละเอียดจะตาย ไม่มีทางที่จะเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ได้ง่ายๆ"
..........................................................
บรรยากาศงานเผาศพ
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลง เหลือเพียงแสงสีส้มที่ทอดลงบนพื้นดินเย็นๆ เวลา 16:00 น. พิธีเผาศพเริ่มต้นขึ้น โลงศพของพันตำรวจเอกประสิทธิ์ถูกนำขึ้นบนเชิงตะกอน ผู้คนทยอยเดินขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์เพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังเบาๆ ในหมู่คนที่มาร่วมงาน
คณินยืนมองเปลวไฟที่ค่อยๆ ลุกโชนขึ้นในเตาเผา เขากำมือแน่น ปล่อยให้ความร้อนจากไฟกลืนกินโลงศพที่บรรจุร่างของผู้ที่เขารักเหมือนพ่อไปอย่างช้าๆ ในใจเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการค้นหาความจริงที่จะนำพาเขาไปสู่ปริศนาที่น่ากลัวมากกว่านี้
และในเงามืดที่พาดผ่านบรรยากาศงานศพ มีสายตาที่มองดูพวกเขาจากระยะไกลอย่างสงบ ราวกับคาดเดาได้ถึงความลับที่ถูกปกปิดไว้...
อัศวิน กฤตยากร เจ้าของสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงยืนมองภาพทั้งหมดนี้อยู่จากด้านนอกศาลา ใบหน้าของเขาเงียบขรึม แต่ในแววตาแฝงไปด้วยความลึกลับที่ยากจะคาดเดา อัศวินยังคงรักษาบุคลิกที่สุภาพและสุขุม เขายืนเงียบๆ ห่างจากกลุ่มคน มีบางคนที่สงสัยว่าเขาคือใคร แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม อัศวินยืนสงบนิ่งอยู่แบบนั้นเมื่อพิธีเผาศพเริ่มต้นขึ้น ราวกับว่าเขาเป็นไทยมุงคนนึงที่ดูเหตุการณ์โดยไม่ต้องการดึงดูดความสนใจ
เมื่อพิธีเผาศพเสร็จสิ้น ผู้คนเริ่มทยอยแยกย้ายกลับบ้าน แขกหลายคนเดินมาบอกลากับคณิน พูดให้กำลังใจและบอกให้เขาสู้ ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไป คณินตอบกลับทุกคำพูดด้วยการพยักหน้าและกล่าวขอบคุณเบาๆ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ราวกับว่าทุกอย่างรอบตัวมันชะลอช้าลง
เมื่อแขกส่วนใหญ่แยกย้ายกันไปหมดแล้ว คณินยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองไปยังเชิงตะกอนที่ไฟเพิ่งดับลง ภาพแห่งความทรงจำที่เขามีกับลุงประสิทธิ์ย้อนกลับมาในหัว สายลมยามเย็นพัดผ่าน ทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบยิ่งเงียบขึ้นไปอีก
ขณะที่คณินยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียวอัศวินก็ก้าวเดินเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มในชุดดำสะอาดตายืนอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของอัศวินยังคงแสดงอารมณ์ที่เยือกเย็น ไม่แสดงความเสียใจหรือรู้สึกใดๆ ออกมา
"คุณยังไม่กลับเหรอครับ?" อัศวินเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ไม่สูงไม่ต่ำ ราวกับเป็นคำถามทั่วไป แต่มีแววความสนใจเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในสายตา
คณินหันมามองเขาช้าๆ ก่อนตอบ "ยังครับ ผมคิดว่าจะอยู่เก็บเถ้ากระดูกลุงก่อน"
อัศวินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ "แล้วคุณจะรออีกนานไหม?"
คณินถอนหายใจเบาๆ "ผมไม่แน่ใจครับ แค่อยากอยู่ใกล้ท่านอีกสักหน่อย"
อัศวินยืนเงียบไปสักพัก มองไปยังเตาเผาที่ตอนนี้มีเพียงควันจางๆ ลอยขึ้นฟ้า แล้วหันกลับมามองคณิน "เสียใจด้วยนะครับ"
"..." คณินพยักหน้า
"ผมเข้าใจ" อัศวินตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบ เขายืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ ราวกับจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะเงียบ เขาเหลือบมองคณินอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา "ถ้าคุณต้องการเวลาอยู่คนเดียว ผมจะไม่รบกวน"
คณินมองอัศวินด้วยความสงสัยเล็กน้อย ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่เขากลับมาพูดคุยเหมือนกับรู้จักกันมานาน คณินไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้า
ผู้กองสุชาติเดินจูงมือลูกสาวตัวน้อยของเขามาสวัสดีคณินก่อนจะลากลับ สุชาติเป็นชายวัยกลางคน ผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่ง ผมสั้นเรียบร้อยและแววตาที่มักจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นในทุกครั้งที่มองลูกสาว เขายิ้มบางๆ ให้คณิน ก่อนจะโค้งศีรษะเบาๆ เพื่อแสดงความเคารพ
"ผู้กำกับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ลูกสาวงอแงจะกลับบ้านแล้ว" สุชาติพูดพลางลูบหัวลูกสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
คณินยิ้มตอบ "ขอบคุณนะผู้กองที่มาร่วมงาน"
สุชาติพยักหน้า และกำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าคณินกำลังยืดคอออกไปมองหาอะไรบางอย่าง "ผู้กำกับกำลังมองหาอะไรอยู่ครับ?" สุชาติถามด้วยความสงสัย
คณินหันกลับมามองสุชาติและตอบเสียงเบา "เมื่อครู่มีชายคนหนึ่งใส่ชุดดำมาพูดคุยกับผม เขาดูไม่คุ้นหน้าเลย แล้วพอผมคิดจะถามอะไรเขา เขาก็เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป"
ผู้กองสุชาติขมวดคิ้วเล็กน้อย "ชายชุดดำ? เขาหน้าตายังไงครับ?"
คณินนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบาย "เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผิวขาวอมเหลือง รูปร่างสูงประมาณ 180 ซม." คณินทำท่ากะประมาณความสูงเหนือกว่าหัวของเขา
ผู้กองสุชาติฟังอย่างตั้งใจ พลางนึกภาพตาม "แล้วเขาขับรถอะไรครับ?"
คณินตอบ "เขาขับรถเก๋งหรู สีดำทั้งคัน จำยี่ห้อได้ว่าเป็น Mercedes-Benz รุ่นใหม่ ที่คงราคาแพงไม่ใช่น้อย"
ผู้กองสุชาติเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่เขาประมวลข้อมูลทั้งหมดในหัวแล้วก็ยังนึกไม่ออก "แปลกจังครับ ถ้าเป็นคนในวงการนี้ เราน่าจะรู้จักบ้าง ผู้กำกับจะให้ผมตามสืบไหมครับ?"
คณินส่ายหน้าเบาๆ "ยังไม่ต้องหรอกครับ อาจจะเป็นแค่แขกที่ผมไม่รู้จัก แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติจริง เราค่อยว่ากันอีกที"
สุชาติพยักหน้าเข้าใจ "โอเคครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อผมได้ตลอดนะ"
คณินยิ้มรับ "ขอบคุณมาก ผู้กอง ขับรถดีๆ นะ"
เมื่อเสียงของแขกคนสุดท้ายหายลับไปพร้อมกับเสียงลมหนาวที่พัดผ่าน วัดโบราณที่เคยคราคร่ำไปด้วยผู้คนกลับถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด บรรยากาศรอบตัวคณินวังเวงอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ กับเสียงหรีดหริ่งที่แว่วมาเป็นระยะๆ เขามองไปยังเชิงตะกอนที่ยังมีควันลอยครุกรุ่นจากการเผาศพเมื่อตอนเย็น
คณินยืนมองภาพนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าคืนนี้คงจะไม่อยู่ต่อ เขาจะกลับก่อนและค่อยมาเก็บกระดูกของลุงในวันพรุ่งนี้เช้าเขาเดินตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นมีรถบิ๊กไบค์ของเขาจอดเด่นอยู่ท่ามกลางความมืดDucati Panigale V4 สีดำสนิทเป็นเงาวับ สะท้อนแสงไฟจากหน้าวัดที่ส่องมาคณินเดินเข้าไปใกล้ตัวรถ ชุดสูทสีดำสนิทที่เขาสวมอยู่เสริมให้เขาดูโดดเด่นเขาสวมหมวกกันน็อคสีดำที่วางอยู่บนเบาะรถ จากนั้นก้าวขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ของเขาด้วยความคล่องแคล่ว
เมื่อเครื่องยนต์ถูกสตาร์ท เสียงคำรามต่ำของเครื่องยนต์ V4 ดังขึ้น ทำให้บรรยากาศรอบข้างที่วังเวงอยู่ก่อนหน้านี้หลอนน้อยลง คณินมองไปยังเชิงตะกอนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบิดคันเร่งและขับออกไปจากวัด ความเร็วของรถพาเขาทะยานไปในความมืดของค่ำคืน ที่มีเพียงแสงไฟจากรถบิ๊กไบค์ของเขาที่ส่องสว่างในยามรัตติกาล...
.....................................................................
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
ฝากกดติดตามผมไว้ด้วย "ลวงใจให้หลงตาย" ผมเขียนจบแล้วแต่จะทยอยลงให้นะครับ
ฝากสนับสนุนผมด้วยนะครับ
ณ นิรันดร์