สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

วิหคเพลิงผนึกใจ - บทที่ 3 ตัดใจ โดย malisam @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก,แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วิหคเพลิงผนึกใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์

รายละเอียด

วิหคเพลิงผนึกใจ โดย malisam @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

ผู้แต่ง

malisam

เรื่องย่อ


อาณาจักรคาร์เทียร์ ได้ถูกก่อตั้งเมื่อ 400 ปีก่อน ตระกูลคาร์เทียร์ได้รวบรวมอาณาจักรขึ้นด้วยการทำสงครามกับอาณาจักรข้างเคียงโดยมีมังกรเพลิงนามว่า ดรากัส ร่วมต่อสู้และปกป้องผู้คนในอาณาจักร มังกรดรากัส นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ปีกมังกรยามสะบัดก่อให้เกิดลมแรงราวกับพายุ เกล็ดผิวหนังแข็งราวกับเหล็ก ไม่ว่าอาวุธใดแทบไม่สามารถทะลุผ่านได้ และลมหายใจเพลิงมีพลังทำลายล้าง ได้เกือบครึ่งเมืองต่อการพ่นลมหายใจหนึ่งครั้ง ทำให้การต่อสู้เพื่อรวบรวมอาณาจักรเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ผู้นำตระกูลคาร์เทียร์ขณะนั้นคล้ายว่าสามารถสื่อสารเข้าถึงจิตใจของมังกร จึงสามารถควบคุมดรากัสให้เข้าร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้าง จนสามารถปราบข้าศึกของอาณาจักรข้างเคียงได้สำเร็จและสถาปนาขึ้นเป็นราชาของอาณาจักร โดยมีมังกรเป็นสัตว์ประจำราชวงศ์ ผู้คนในอาณาจักรต่างชื่นชมและยอมรับราชวงศ์คาร์เทียร์ให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักร หลังจากเสร็จศึกสงคราม มังกรดรากัสก็เข้าสู่ภาวะจำศีลโดยหลบซ่อนตัวในถ้ำบริเวณหุบเขาทางตอนใต้   

 

 เมืองฟลอเรนเซีย ถูกปกครองโดยตระกูลเอเลนอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรคาร์เทียร์ ถือว่าเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักร เนื่องจากฟลอเรนเซียเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้มีความสามารถเรื่องการทำกสิกรรม รวมทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับเมืองท่าหลายแห่ง ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางในการค้าขาย ถือได้ว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งลำดับต้นๆ ของอาณาจักร ในอดีตมีเรื่องเล่าที่ว่า สมบัติประจำตระกูล เป็นอัญมณีสีแดงประกายแวววาว ภายในนั้นบรรจุผลึกเวทย์มนตร์ของวิหคเพลิง ซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ที่มีพลังเผาผลาญทำลายล้างสูงไม่ด้อยไปกว่ามังกร อีกทั้งยังมีพลังเยียวยาฟื้นคืนชีวิต และมีเพียงสายเลือดของบุตรีตระกูลเอเลนอร์เท่านั้นที่สามารถเรียกพลังจากอัญมณีได้ เอกลักษณ์ของสายเลือดผู้ปลุกพลังนั้นจะมีเส้นผมและดวงตาสีแดงเข้ม อย่างไรก็ดี เนื่องจากพลังเวทย์มนตร์ที่ว่านั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการครอบครอง ชนชั้นสูงต่างๆ ของอาณาจักร แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ หวังจะครอบครอง เซร่า เอเลนอร์ ผู้นำตระกูล ณ ขณะนั้น จึงนำไปเก็บซ่อนไว้ ปัจจุบันไม่มีผู้ใดทราบว่าถูกเก็บอยู่ที่ใด วันเวลาผ่านไปเกือบหลายร้อยปีผู้คนต่างก็ลืมเลือนไปไม่มีผู้ใดพูดถึง



       สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะคะ เรื่องวิหคเพลิงผนึกใจ เป็นนิยายรักโรแมนติกแฟนตาซี ที่เล่าถึงเรื่องราวความรักของชายหนุ่มตระกูลอัศวินและหญิงสาวตระกูลพ่อค้าซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์โบราณในอดีตกาล

        นิยายเรื่องนี้ถูกแต่งโดยจินตนาการของนักเขียน หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ นักอ่านสามารถแสดงความคิดเห็น ติชม และกดติดตามเพื่อแจ้งเตือนตอนใหม่ และกดถูกใจเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ :)


สารบัญ

วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 1 บุรุษผู้ฝึกสอน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 3 ตัดใจ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 4 สงครามเพลิง,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 5 จบสงคราม,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 6 คณะพ่อค้า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 7 มังกรดรากัส,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 8 งานเทศกาล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 9 ลักพาตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 10 ช่วยเหลือ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 11 สอบสวน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 12 เยี่ยมเยียน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 13 อดีตของไรเซล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 14 งานเลี้ยงเต้นรำ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 15 เซร่า เอเลนอร์,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 16 ดูดาว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 17 แผลเก่า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 18 เซร่าและเลออน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 19 จับกุมตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 20 จับกุมตัว (2),วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 21 หลบหนี

เนื้อหา

บทที่ 3 ตัดใจ


คืนสุดท้ายในคฤหาสน์เอเลนอร์ ไรเซลใช้เวลานั่งคิดทบทวนความรู้สึกของตนเอง เขารู้ว่าเฮเลน่ารู้สึกอย่างไรกับเขา ทั้งสายตาและกิริยาท่าทางของเธอแสดงออกอย่างไม่ปิดบังตั้งแต่วันแรกที่เขามาที่นี่

ตัวเขาเองไม่ได้เกลียดเธอ ทั้งยังชอบในความเป็นธรรมชาติ กิริยาที่ไม่ปั้นแต่งใดๆ และการเอาใจใส่เขาอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่สายตาที่มองเธอในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปจากวันแรก

 แต่กระนั้น ตั้งแต่วัยเยาว์ เขาต้องพบการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมามากมายเพื่อที่จะขึ้นเป็นผู้สืบทอดตระกูล แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถที่จะปกป้องคนสำคัญได้ เขาจึงไม่เคยคิดที่จะมีความสัมพันธ์รักใคร่กับผู้ใด ถึงแม้ว่าช่วงที่ประจำการอยู่ชายแดนจะเคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับหญิงสาวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดจริงจัง อีกทั้งการที่เขาอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูล การแต่งงานก็คงเป็นเรื่องของบิดาเป็นผู้คัดเลือกมา

แน่นอนว่า เฮเลน่าไม่ใช่ตัวเลือกที่จะกลายมาเป็นเจ้าสาวของเขาในอนาคต ด้วยอายุที่ห่างกันถึง 14 ปี ก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ และยังมีอุปสรรคที่ใหญ่กว่านั้น ตระกูลเอเลนอร์นั้นมีธรรมเนียมแปลกๆ อย่างการแต่งงานของบุตรีในตระกูลจะต้องให้ทางฝั่งบุรุษเป็นผู้แต่งเข้าตระกูล และบุรุษที่แต่งงานกับบุตรีนั้นจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่าง เรจิส เอเลนอร์ เขาเป็นบุตรชายคนที่ 3 ของตระกูลคาซัสที่ดูแลรับผิดชอบการท่าของอาณาจักร เนื่องจากเขาไม่ใช่ผู้สืบทอดของตระกูลคาซัส จึงสามารถแต่งงานกับไลล่า เอเลนอร์ และขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้

เหตุการณ์ที่ห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกโทษตนเองเป็นอย่างมาก เป็นความผิดของเขาที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และเผลอไผลไปกับสัมผัสของเด็กสาว

เขาควรหยุดความรู้สึกตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของตนเอง เขาต้องทำให้เฮเลน่าตัดใจจากเขาด้วย นั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เฮเลน่าลืมตาตื่นขึ้น รู้สึกงุนงงกับความฝันที่เป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็รู้สึกประทับใจในความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวที่ชื่อเอล่ากับนกยักษ์ ก่อนจะสลัดความคิดออก ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้าแล้ว เธอต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว อยากจะรีบนำของบางอย่างมอบให้ไรเซลก่อนที่เขาจะจากไป

“คุณหนูคะ ท่านเรจิส เรียกพบค่ะ” แอนนากล่าวบอกเฮเลน่าที่กำลังแต่งตัว

ท่านพ่อมีอะไรเร่งด่วนรึเปล่านะ เธออยากจะรีบไปหาไรเซล แต่อย่างไรก็ดีทางไปเรือนรับรองแขก ก็ต้องผ่านห้องทำงานของบิดา แวะไปพบท่านพ่อสักครู่นึง แล้วรีบไปก็น่าจะทัน เธอคิดในใจ

“อะไรนะคะ ท่านไรเซลกลับไปแล้ว” เฮเลน่าพูดกึ่งตะโกนด้วยน้ำเสียงตกใจ

“เขาขอเข้าพบพ่อเมื่อคืน ประมาณเที่ยงคืนน่าจะได้ เห็นว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบกลับ” ไรเซลขอยืมม้าในคฤหาสน์เอเลนอร์ขี่กลับไป และบอกว่าจะส่งคืนม้ามาพร้อมกับรถม้าของตระกูลคานเดลในวันพรุ่งนี้เพื่อนำข้าวของของเขากลับ

“ไรเซลฝากขอโทษเจ้าและเคดิสด้วย ที่ไม่ได้อยู่กล่าวอำลา เขากล่าวชื่นชมเจ้าด้วยนะ ว่าตอนนี้เจ้าเป็นนักธนูที่เก่งกาจแล้ว” เรจิสพยายามคิดหาคำพูดปลอบประโลมบุตรสาว หลังจากเห็นสีหน้าของเฮเลน่าที่ตอนนี้นิ่งอึ้ง และเริ่มมีน้ำใสๆรื้นในดวงตา

เขารู้ว่าบุตรสาวชื่นชมไรเซลแค่ไหน เขาเองเมื่อได้ทราบว่าชายหนุ่มเคยช่วยชีวิตลูกสาวของเขาไว้เมื่อยังเด็ก ก็รู้สึกเป็นบุญคุณ เฮเลน่าเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเขากับไลลา และเธอจะต้องสืบทอดตระกูลต่อไป หากไม่ติดว่าไรเซลต้องสืบทอดตระกูลคานเดล เข้าก็อยากจะให้ไรเซลแต่งงานเข้าตระกูล เพื่อให้บุตรสาวได้สมหวังและมีความสุข ถึงแม้ว่าอายุของทั้งคู่จะดูไม่ค่อยเหมาะสมกันก็ตาม

เรจิสถอนหายใจลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินไปโอบไหล่บุตรสาวพลางบอกว่า

“ไว้เจ้าส่งจดหมายไปหาเขา หรือจะชวนเคดิสเดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลคานเดลก็ได้นี่”

เฮเลน่าทำหน้านึกไม่ถึง นั่นสิ เธอไปหาเขาก็ได้นี่

คฤหาสน์ตระกูลคานเดลนั้นตั้งอยู่ในเมืองหลวง ใช้เวลาเดินจากเมืองฟลอเรนเซียประมาณสามชั่วโมงได้ ในตอนแรกที่ไรเซลมาฝึกสอนให้เคดิส ตารางการฝึกสอนของเขาคือสามวันต่อหนึ่งอาทิตย์ ไรเซลจึงเดินทางไป-กลับคฤหาสน์ตระกูลคานเดลด้วยการขี่ม้า แต่หลังจากต้องฝึกสอนให้เฮเลน่าด้วย เขาจึงเลือกพักที่ตระกูลเอเลนอร์เห็นจะสะดวกสบายกว่า


 วันต่อมา เฮเลน่าตัดสินใจเขียนจดหมายถึงไรเซล ในจดหมายมีเนื้อความว่า เธอได้ทราบจากบิดาว่าเขาต้องกลับไปอย่างเร่งด่วน ไม่ทันได้กล่าวลา ทำให้เธอกังวลเล็กน้อย หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเขา ส่วนเธอนั้นได้ฝึกซ้อมยิงธนูอยู่ตลอด และวันนี้เธอสามารถยิงธนูได้ไกลกว่าในวันทดสอบ พร้อมทั้งถามไปถึงช่วงเวลาที่จะเขาจะเดินทางกลับไปที่ชายแดน

เวลาล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ไร้วี่แววจดหมายตอบกลับจากไรเซล เธอจึงเขียนจดหมายส่งไปอีกฉบับ คิดไปว่าจดหมายฉบับแรกอาจจะตกหล่นกลางทางจึงไปไม่ถึงผู้รับ

จนกระทั่ง เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน … เธอไม่แน่ใจว่า ไรเซลนั้นไม่ได้รับจดหมาย หรือจงใจเมินจดหมายของเธอ แม้เธอพอจะทราบมาบ้างว่า ไรเซลนั้นเป็นคนที่เย็นชาและไม่ค่อยใส่ใจผู้ใด แต่ตลอดสามเดือนที่เขาอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยเมินเฉยใส่เธอ เขาทั้งใจเย็นและคอยตั้งใจฝึกสอนเธออย่างดี รวมทั้งเหตุการณ์เมื่อวันเกิดของเธอ ทำให้เธอแอบเข้าข้างตนเองว่าชายหนุ่มอาจจะมีความรู้สึกต่อเธอบ้าง เธออยากจะพบเขา อยากจะถามเขาให้แน่ใจว่า เหตุใดถึงไม่ตอบกลับจดหมายของเธอ

เฮเลน่าตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับสุดท้าย โดยกล่าวถึงสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ในวันทดสอบความสามารถว่า จะไปเที่ยวเล่นกับเธอก่อนที่เขาจะกลับชายแดน หญิงสาวเขียนระบุวันเวลาและสถานที่ และทิ้งท้ายว่า เธอจะรออยู่ที่นั่นจนกว่าเขาจะมา เธอคิดว่า ‘ไรเซลเป็นคนของตระกูลอัศวิน ถึงแม้เขาจะเย็นชาและโหดร้ายเพียงใด แต่ย่อมไม่ทำผิดคำสัญญา’ …


เฮเลน่าในชุดกระโปรงผ้าสีแดง สวมหมวกผ้าขอบลูกไม้เป็นระบายคาดด้วยริบบิ้นผูกใต้คาง ถือกระเป๋าผ้าใบเล็กสีเดียวกับหมวกและชุดกระโปรง ยืนอยู่บริเวณจุดนัดพบตามที่เขียนในจดหมาย จุดนัดพบที่ว่าก็คือลานหอนาฬิกาขนาดใหญ่ในจตุรัสกลางเมืองหลวง ด้วยอาภรณ์ชั้นดีที่เธอสวมใส่ และใบหน้าที่งดงามโด่ดเด่นของเด็กสาว ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นมองเธอไม่วางตา

เฮเลน่ายืนรออยู่ที่เดิมตั้งแต่ 10 โมงตามเวลานัดหมาย จนขณะนี้ตะวันใกล้จะตกดิน เรียวขาที่เริ่มล้าและเสียงท้องร้องโครกครากเพราะไม่ได้ทานอะไรนอกจากอาหารเช้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอถอดใจ

เสียงฝีเท้าที่คุ้นชินดังขึ้นจากด้านหลัง เธอรีบหันกลับไปมอง

ไรเซล เป็นเขาจริงๆ ถึงจะล่วงเลยเวลานัดมาหลายชั่วโมง แต่สุดท้ายเขาก็มาหาเธอสินะ

พอได้เห็นใบหน้าของไรเซล น้ำตาก็พาลจะไหลออกจากดวงตา เธอคิดถึงเขา… และแน่นอนการที่เขามาที่นี่ก็แสดงว่าเขาได้รับจดหมายจากเธอ

“ข้าคิดถึงท่านค่ะ เหตุใดถึงไม่ตอบจดหมายของข้า” เด็กสาวกล่าว

“ข้ายุ่ง ไม่มีเวลามาตอบกลับจดหมายไร้สาระของเด็กน้อยอย่างเจ้า มันค่อนข้างน่ารำคาญน่ะ แล้วพรุ่งนี้ข้าก็จะเดินทางกลับชายแดนแล้ว”

น้ำเสียงเยือกเย็นกับคำพูดโหดร้ายของไรเซล ทำให้เฮเลน่านิ่งอึ้ง เธอมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาเสียใจ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไรเซลเบือนหน้าหนีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวต่อไป

“เอาล่ะ ข้ามาตามที่สัญญาไว้แล้ว เจ้าอยากจะไปเที่ยวเล่นที่ใดล่ะ”

“ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว จะไปเที่ยวเล่นที่ใดได้ล่ะคะ”

เธอพูดเสียงแหลมกึ่งประชดประชัน ไรเซลที่มาเอาป่านนี้ ดูจงใจที่จะหลีกเลี่ยงการอยู่กับเธอสินะ

“งั้นก็กลับเถอะ ข้าจะไปส่งที่รถม้า”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ความจริงแล้วเหตุผลหลักที่เฮเลน่ามาวันนี้ก็เพื่อนำของบางอย่างมามอบให้เขา เพื่อตอบแทนการฝึกสอน มือเล็กล้วงหยิบถุงผ้ามันเงาสีแดงปักดิ้นสีทองเป็นลายประจำตระกูลเอเลนอร์ในกระเป๋า ส่งให้ชายหนุ่ม ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

“ขอบคุณที่เคยช่วยชีวิตข้าและยังฝึกสอนธนูให้ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้รำคาญ ขอให้ท่านเดินทางกลับชายแดนอย่างปลอดภัย”

พูดเสร็จเฮเลน่ารีบหันหลังให้ชายหนุ่มทันที เธอไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอร้องไห้

“ไม่จำเป็นต้องไปส่ง ข้าเดินกลับรถม้าเองได้ค่ะ”

เฮเลน่ากล่าวเสียงเบา ก่อนเดินก้าวเท้าถี่ๆ หวังให้ถึงรถม้าให้เร็วที่สุด …


คืนนั้นเฮเลน่านั่งตาบวมเป่งอยู่บนที่นอนในมือมีของดูต่างหน้าที่ชายหนุ่มให้ไว้เป็นของขวัญวันเกิด พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่หอนาฬิกา พยายามหาสาเหตุว่าทำไมเขาจึงพูดแบบนั้นกับเธอ หรือเขามองเธอเป็นเพียงเด็กน้อยน่ารำคาญจริงๆ เธอควรทำอย่างไรดี ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวประกอบกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย ใช้เวลาไม่นานเธอก็ผลอยหลับไป