สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

วิหคเพลิงผนึกใจ - บทที่ 4 สงครามเพลิง โดย malisam @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก,แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วิหคเพลิงผนึกใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์

รายละเอียด

สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

ผู้แต่ง

malisam

เรื่องย่อ


อาณาจักรคาร์เทียร์ ได้ถูกก่อตั้งเมื่อ 400 ปีก่อน ตระกูลคาร์เทียร์ได้รวบรวมอาณาจักรขึ้นด้วยการทำสงครามกับอาณาจักรข้างเคียงโดยมีมังกรเพลิงนามว่า ดรากัส ร่วมต่อสู้และปกป้องผู้คนในอาณาจักร มังกรดรากัส นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ปีกมังกรยามสะบัดก่อให้เกิดลมแรงราวกับพายุ เกล็ดผิวหนังแข็งราวกับเหล็ก ไม่ว่าอาวุธใดแทบไม่สามารถทะลุผ่านได้ และลมหายใจเพลิงมีพลังทำลายล้าง ได้เกือบครึ่งเมืองต่อการพ่นลมหายใจหนึ่งครั้ง ทำให้การต่อสู้เพื่อรวบรวมอาณาจักรเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ผู้นำตระกูลคาร์เทียร์ขณะนั้นคล้ายว่าสามารถสื่อสารเข้าถึงจิตใจของมังกร จึงสามารถควบคุมดรากัสให้เข้าร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้าง จนสามารถปราบข้าศึกของอาณาจักรข้างเคียงได้สำเร็จและสถาปนาขึ้นเป็นราชาของอาณาจักร โดยมีมังกรเป็นสัตว์ประจำราชวงศ์ ผู้คนในอาณาจักรต่างชื่นชมและยอมรับราชวงศ์คาร์เทียร์ให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักร หลังจากเสร็จศึกสงคราม มังกรดรากัสก็เข้าสู่ภาวะจำศีลโดยหลบซ่อนตัวในถ้ำบริเวณหุบเขาทางตอนใต้   

 

 เมืองฟลอเรนเซีย ถูกปกครองโดยตระกูลเอเลนอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรคาร์เทียร์ ถือว่าเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักร เนื่องจากฟลอเรนเซียเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้มีความสามารถเรื่องการทำกสิกรรม รวมทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับเมืองท่าหลายแห่ง ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางในการค้าขาย ถือได้ว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งลำดับต้นๆ ของอาณาจักร ในอดีตมีเรื่องเล่าที่ว่า สมบัติประจำตระกูล เป็นอัญมณีสีแดงประกายแวววาว ภายในนั้นบรรจุผลึกเวทย์มนตร์ของวิหคเพลิง ซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ที่มีพลังเผาผลาญทำลายล้างสูงไม่ด้อยไปกว่ามังกร อีกทั้งยังมีพลังเยียวยาฟื้นคืนชีวิต และมีเพียงสายเลือดของบุตรีตระกูลเอเลนอร์เท่านั้นที่สามารถเรียกพลังจากอัญมณีได้ เอกลักษณ์ของสายเลือดผู้ปลุกพลังนั้นจะมีเส้นผมและดวงตาสีแดงเข้ม อย่างไรก็ดี เนื่องจากพลังเวทย์มนตร์ที่ว่านั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการครอบครอง ชนชั้นสูงต่างๆ ของอาณาจักร แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ หวังจะครอบครอง เซร่า เอเลนอร์ ผู้นำตระกูล ณ ขณะนั้น จึงนำไปเก็บซ่อนไว้ ปัจจุบันไม่มีผู้ใดทราบว่าถูกเก็บอยู่ที่ใด วันเวลาผ่านไปเกือบหลายร้อยปีผู้คนต่างก็ลืมเลือนไปไม่มีผู้ใดพูดถึง



       สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะคะ เรื่องวิหคเพลิงผนึกใจ เป็นนิยายรักโรแมนติกแฟนตาซี ที่เล่าถึงเรื่องราวความรักของชายหนุ่มตระกูลอัศวินและหญิงสาวตระกูลพ่อค้าซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์โบราณในอดีตกาล

        นิยายเรื่องนี้ถูกแต่งโดยจินตนาการของนักเขียน หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ นักอ่านสามารถแสดงความคิดเห็น ติชม และกดติดตามเพื่อแจ้งเตือนตอนใหม่ และกดถูกใจเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ :)


สารบัญ

วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 1 บุรุษผู้ฝึกสอน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 3 ตัดใจ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 4 สงครามเพลิง,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 5 จบสงคราม,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 6 คณะพ่อค้า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 7 มังกรดรากัส,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 8 งานเทศกาล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 9 ลักพาตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 10 ช่วยเหลือ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 11 สอบสวน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 12 เยี่ยมเยียน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 13 อดีตของไรเซล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 14 งานเลี้ยงเต้นรำ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 15 เซร่า เอเลนอร์,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 16 ดูดาว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 17 แผลเก่า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 18 เซร่าและเลออน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 19 จับกุมตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 20 จับกุมตัว (2),วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 21 หลบหนี

เนื้อหา

บทที่ 4 สงครามเพลิง


“แม่คะ พ่อกลับมาแล้ว” เด็กสาวตะโกนเสียงดังพลางวิ่งไปกอดเอวบิดาที่กำลังเดินมาพร้อมกับกระสอบป่านใบใหญ่ หลังจากไม่ได้พบกันนานถึง 3 เดือน บิดาของเธอเพิ่งกลับมาจากการเดินทางข้ามเขาไปกับกลุ่มชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านเพื่อขุดหาแร่ต่างๆ สำหรับทำของใช้และอาวุธ รวมถึงหาของป่าหรือพวกหนังสัตว์ เตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว

“เป็นอย่างไร ลูก้า ได้ของอะไรดีๆมาบ้างหรือไม่” แอสเทรียถามสามีของเธอ ขณะที่กำลังเตรียมอาหารกลางวัน ลูก้าค่อยๆวางกระสอบลงบนลานหน้ากระท่อมของพวกเขา ทยอยหยิบสิ่งของภายในกระสอบออกมากองไว้

“มีพวกแร่โลหะซะเป็นส่วนใหญ่ มีหนังหมีดำผืนใหญ่ และพวกพืชสมุนไพรเล็กน้อย” ก่อนล้วงมือค้นหาของชิ้นเล็กในกระสอบ

“นี่ให้เจ้า เอล่า” ผู้เป็นบิดาส่งแร่พลอยสีแดงอมส้มขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือของเขาส่งให้บุตรสาว

“ว้าว สวยจังเลยค่ะ” เอล่ารับมาตาเป็นประกาย

“เดี่ยวพ่อจะนำไปขัดเงา มาทำเป็นสร้อยคอให้เจ้า”

ลูก้าพูดพลางลูบหัวบุตรสาวด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเล่าต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้หินทรงกลมสีดำมันเงาขนาดใหญ่กลับมาจากถ้ำ ไม่มีใครรู้ว่ามันคือแร่อะไร พวกผู้ชายในหมู่บ้านช่วยกันยกไปตั้งไว้บริเวณป่ารกหลังหมู่บ้าน สรุปกันว่าพรุ่งนี้จะลองตรวจสอบดู

ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนย้ายไปทางตะวันตก 

“อาหารเสร็จแล้ว มากินกันได้แล้ว” แอสเทรียยกสำรับอาหารสำหรับสามคนพ่อแม่ลูก กำลังจะวางลงบนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน

จู่ๆ ก็มีลมกรรโชกแรงไปทั่วหุบเขารอบพื้นที่หมู่บ้าน ลมแรงมากซะจนข้าวของเครื่องใช้พวกตะกร้าเครื่องสานปลิวว่อน หลังคากระท่อมใบจากกระพืออย่างรุนแรง รวมทั้งแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านของเธอที่กำลังเลื่อนตัวเองออกไป

“พึ่บ พั่บ ๆ” เสียงดังคล้ายปีกใหญ่มหึมากำลังพัดโบกมาจากด้านเหนือหัว หันมองขึ้นไปปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาสีแดงเพลิง ปีกคล้ายค้างคาวแต่มีขนาดใหญ่กว่า ผิวหนังหนากลางลำตัวมีเกร็ดสีแดงเงาดูแข็งราวกับโลหะ นัยน์ตาดุดันกำลังเคลื่อนไปมาช้าๆ คล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง คนในหมู่บ้านต่างกรีดร้องกับสิ่งที่เห็นและรีบวิ่งกันวุ่นวาย พลางอุ้มเด็กเล็กหลบหนีแอบซ่อนตามพุ่มไม้และตามต้นไม้ใหญ่

แอสเทรียทิ้งของในมือ สายตามองหาบุตรสาว เธอต้องรีบพาเอล่าไปซ่อนตัว ก่อนจะถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย

“ลูก้า เอล่าอยู่ที่ไหน” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ไม่ได้อยู่กับเจ้าหรือ” ลูก้าคว้าอาวุธเป็นขวานเหล็กอันใหญ่พกติดตัวไว้ ก่อนจะรีบวิ่งค้นหาลูกสาว

"เอล่า เจ้าอยู่ไหน" แอสเทรียตะโกนกวาดสายตาหาลูกสาวไปรอบๆ

สักพักได้ยินเสียงหวีดดังขึ้นจากบนท้องฟ้า พร้อมเปลวไฟลูกใหญ่ที่กำลังพุ่งลงมาจากปากของสัตว์ประหลาด ทำให้แอสเทรียและลูก้าที่กำลังวิ่งตามหาเอล่าต้องกระโจนหลบจนล้มกลิ้งไปกับพื้น แอสเทรียกลิ้งไปชนเข้ากับต้นไม้จนสลบ

เอล่าที่ไม่รู้เรื่องราวมุดตัวออกมาจากใต้กระท่อม ในมือมีแร่พลอยสีแดงที่เธอเพิ่งทำหลุดมือหล่นไป

เสียงหวีดดังขึ้นอีกครั้ง ลูก้าหันมองขึ้นไปเปลวไฟลูกที่สองกำลังจะพ่นออกมาทิศทางลงสู่กระท่อมที่เอล่านั่งอยู่ เขารีบลุกขึ้นเพื่อวิ่งไปหาลูกหวังจะถึงตัวเอล่าให้เร็วที่สุด แต่พิจารณาจากระยะทางระหว่างเขาและเอล่า ไม่ทันแน่ เค้าคิดในใจ ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้เกิดปาฏิหารย์

ทันใดนั้นเอง นกยักษ์สีแดงบินโฉบมากั้นเปลวไฟที่กำลังพุ่งมาหาเอล่าอย่างเฉียดฉิว ปีกใหญ่กางกว้างมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ทั่วร่าง ก่อนบินขึ้นไปประจัญหน้ากับสัตว์ประหลาดด้านบน

สัตว์ทั้งสองมองจ้องหน้ากันนิ่งราวกับกำลังดูเชิงอีกฝ่าย เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าสัตว์ประหลาดสีแดงเริ่มเกมก่อน มันสูดลมหายใจเข้ายาวนาน ราวกับกำลังรวบรวมพลัง ก่อนจะพ่นเปลวไฟลูกใหญ่กว่าที่ได้พ่นในครั้งก่อนถึงสิบเท่า ตรงไปที่นกยักษ์ เปลวเพลิงจำนวนมากล้อมรอบไปทั่วทั้งตัวนกยักษ์

“อิกนิส…” เอล่าตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ รีบลุกขึ้นยืนจะวิ่งตามไปดูเจ้านกยักษ์ของเธอ ลูก้าได้จังหวะรีบวิ่งมาอุ้มเด็กสาวแล้วหลบเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ด้านข้างด้วยความรวดเร็ว

“พ่อ นั่นนกของข้า มันกำลังโดนทำร้าย” เอล่าพยายามแกะมือของบิดาออก

“เจ้าดูก่อนเอล่า นกยักษ์นั่น ไม่เป็นอะไรสักนิด”

เอล่าหันมองตามบิดา พบว่าเปลวไฟจำนวนมหาศาลที่ล้อมรอบตัวเจ้าอิกนิสเมื่อครู่กำลังค่อยๆสลายไป เหลือเพียงเปลวเพลิงของตัวมันเอง

ถึงคราวของนกยักษ์บ้าง มันพุ่งตัวขึ้นด้านบนให้สูงเหนือมังกรเพลิงก่อนจะสะบัดขนนกจำนวนมากออกมาจากปีกกว้าง พุ่งตรงไปที่คู่ต่อสู้ดูราวกับลูกธนูไฟห่าใหญ่ มังกรไฟขยับปีกจนเกิดลมแรง พัดเอาลูกธนูไฟที่กำลังพุ่งไปหาให้ตกลงสู่ด้านล่าง ธนูไฟที่เหลือบางส่วนพุ่งแทงที่เกร็ดแข็งกลางลำตัว แต่นั่นก็ไม่ทำให้มันระคายผิวสักนิด ส่วนขนนกติดไฟจำนวนมากตกลงสู่พื้นที่บริเวณหมู่บ้าน ทำให้ขณะนี้ สภาพทั่วทั้งหมู่บ้านนั้นแทบจะกลายเป็นกองเพลิง

พวกมันต่อสู้ปล่อยพลังกันอยู่สักพักและเริ่มหยุดลง ดูเหมือนว่าสัตว์ทั้งสองจะรู้สึกตัวแล้วว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ยากที่จะหาผลแพ้ชนะ

ทันใดนั้นเองความรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกจากสายลมอีกฝั่งที่พัดมาจากเทือกเขาสูงลงสู่หุบเขา เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ ร่วงหล่นลงมากระทบใบหน้าของแอสเทรียที่สลบอยู่บนพื้น เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้านั้นทำให้ดวงตาของเธอเบิกโพลง


ขณะนี้อีกฟากของท้องฟ้าเหนือหุบเขาปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกับสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิง แต่มีขนาดเล็กกว่า เกล็ดและผิวหนังเป็นสีเทาอ่อนไล่ไปถึงขาว มีไอเย็นแผ่ออกมาทั่วทั้งร่างกาย กำลังมองดูการต่อสู้ของมังกรเพลิงและวิหคเพลิงตรงหน้า

เฮเลน่าที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกเหมือนว่าทั้งหมดนี่ดูเหมือนจริงมากเกินกว่าจะเป็นเพียงความฝัน เธอเคยเห็นมังกรแค่ในรูปวาดจากตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ หรือในหนังสือนิทานสมัยเด็ก พอได้เห็นของจริงรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งมิใช่ได้เห็นเพียงหนึ่งหากแต่เป็นสอง

ขณะนี้มังกรเพลิงและอิกนิสกำลังใช้ร่างกายตะลุมบอนกัน เนื่องจากพลังเปลวเพลิงของทั้งคู่ไม่สามารถทำลายกันและกันได้ แม้ว่าความรวดเร็วในการบินของอิกนิสจะสูงกว่า แต่ในด้านพละกำลังและความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นถือว่าด้อยกว่ามังกร มังกรเพลิงคิดได้ดังนั้น จึงหยุดไล่ตาม เปิดทางให้อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเพื่อโจมตี ปล่อยให้กรงเล็บของนกยักษ์จิกลงตรงกลางปีกด้านขวาของมังกรเป็นรอยข่วน 3 แถบ ถึงแม้จะเจ็บปวดจากรอยแผล แต่จังหวะที่อิกนิสกำลังย่ามใจว่าสามารถโจมตีมันได้ อุ้งมือของมังกรเพลิงก็สามารถยึดอุ้งเท้าและปีกด้านขวาของนกยักษ์ตรึงไว้ และใช้พละกำลังมหาศาลของตนทำการฉีกทึ้งปีกของนกยักษ์จนขาดจากร่างกายแล้วโยนเหวี่ยงออกไป ร่างของอิกนิสกำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า

เอล่ากรีดร้อง อาศัยจังหวะที่บิดากำลังเผลอรีบวิ่งออกมาจากการโอบรัด เธอรีบวิ่งไปหานกยักษ์ของเธอด้วยน้ำตานองหน้า เด็กสาวกำลังโทษตัวเอง เพราะว่ามันต้องการจะปกป้องเธอ จึงต้องมาถูกทำร้ายจนสาหัสแบบนี้ เด็กสาววิ่งไปถึงตัวอิกนิส โอบกอดลำตัวของนกยักษ์ไว้

“เจ็บมากมั้ยอิกนิส ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ” เจ้าอิกนิส มองเด็กสาวที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น จู่ๆ ปีกที่ฉีดขาดไปก็ปรากฏไฟลุกโชนขึ้น เกิดเป็นปีกใหม่ขึ้นมาแทนที่

มังกรเพลิงที่กำลังกระพือปีกส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ราวกำลังประกาศชัยชนะของตนเอง ไม่ทันสังเกตว่านกยักษ์ได้ฟื้นฟูร่างกายจนหายดี อิกนิสอาศัยจังหวะนั้นรีบบินขึ้นฟ้าด้วยความรวดเร็วใช้กรงเล็บจิกเข้าที่แผลเดิมบนปีกด้านขวาของมังกรเพลิงจนเกือบทะลุ เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากบาดแผล มังกรเพลิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อปีกขวาไม่สามารถโบกพัดได้เหมือนกับปีกซ้าย ทำให้ไม่สามารถรักษาการทรงตัวบนท้องฟ้า

ทันใดนั้นเอง มังกรหิมะสีขาวเคลื่อนที่เข้าไปใกล้มังกรเพลิง พ่นเกล็ดน้ำแข็งจำนวนหนึ่งไปที่ปีกด้านขวาของมันเพื่อช่วยหยุดเลือด ก่อนจะมุ่งเข้าสู่สนามต่อสู้แทน

มังกรหิมะที่สังเกตการณ์มาตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ได้เห็นพลังและความสามารถของนกยักษ์ มันกำลังวิเคราะห์คู่ต่อสู้ เนื่องจากอีกฝ่ายมีพลังการฟื้นฟู ต่อให้โจมตีเข้าก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลได้ มีแต่ต้องโจมตีต่อเนื่องเท่านั้น ยังดีที่พลังของอีกฝ่ายเป็นเปลวเพลิง อย่างน้อยพลังน้ำแข็งของมัน อาจจะสามารถทำอะไรต่อนกยักษ์ได้บ้าง 

อย่ากระนั้นเลย มังกรหิมะเริ่มทดลองตามที่วิเคราะห์ มันเริ่มบินสูงขึ้น สูดลมหายใจเข้า ก่อนพ่นเกล็ดน้ำแข็งเป็นแท่งเล็กๆ พุ่งไปที่นกยักษ์ นกยักษ์บินหลบไม่รับการปะทะเหมือนครั้งที่เป็นมังกรเพลิง

อิกนิสย่อมรู้สึกได้ว่าพลังธาตุที่แผ่ออกมาจากมังกรสีขาวนี้ไม่เหมือนกับมังกรเพลิงที่มันสามารถต้านทานได้

‘เป็นไปตามที่คิด’ มังกรหิมะคิดในใจ พลังน้ำแข็งของมันสามารถโจมตีเข้าอย่างแน่นอน มังกรหิมะเริ่มโจมตีต่อเนื่อง อิกนิสแม้จะมีความว่องไว แต่หากโดนโจมตีติดต่อกันแบบนี้ คงไม่สามารถหลบได้ไปตลอด

ไม่นานเกล็ดน้ำแข็งก็สาดลงตรงปลายปีกที่มีไฟลุกของนกยักษ์ เกล็ดน้ำแข็งจำนวนมากผสานกันเป็นน้ำแข็งก่อนใหญ่เคลือบบนปีก ดับไฟที่กำลังลุกโชน อิกนิสเสียการทรงตัวเล็กน้อย มันเริ่มกระพือปีกแรงขึ้นเพื่อเร่งเปลวเพลิงในตัวออกมาจนน้ำแข็งเริ่มละลาย

ฝั่งมังกรหิมะเองขณะที่ร่างกายกำลังหลบเลี่ยงการโจมตีด้วยลูกธนูไฟจำนวนมากของอิกนิส มันเริ่มวิเคราะห์อีกครั้ง เกล็ดน้ำแข็งของมันสามารถชะลอการฟื้นฟูของนกยักษ์ได้อยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง นกยักษ์นั้นว่องไวเกินกว่าที่มันจะสามารถสาดเกล็ดน้ำแข็งให้ปกคลุมทั่วร่างเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว มันต้องเบนความสนใจของนกยักษ์ไปที่อื่น เพื่อลอบโจมตี

ด้านมังกรเพลิงที่มองดูการต่อสู้อยู่ ราวกับรู้ความคิดของมังกรหิมะ และแน่นอนมันรู้ว่าจะเบนความสนใจของนกยักษ์อย่างไร