สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

วิหคเพลิงผนึกใจ - บทที่ 16 ดูดาว โดย malisam @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก,แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วิหคเพลิงผนึกใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์

รายละเอียด

วิหคเพลิงผนึกใจ โดย malisam @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

ผู้แต่ง

malisam

เรื่องย่อ


อาณาจักรคาร์เทียร์ ได้ถูกก่อตั้งเมื่อ 400 ปีก่อน ตระกูลคาร์เทียร์ได้รวบรวมอาณาจักรขึ้นด้วยการทำสงครามกับอาณาจักรข้างเคียงโดยมีมังกรเพลิงนามว่า ดรากัส ร่วมต่อสู้และปกป้องผู้คนในอาณาจักร มังกรดรากัส นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ปีกมังกรยามสะบัดก่อให้เกิดลมแรงราวกับพายุ เกล็ดผิวหนังแข็งราวกับเหล็ก ไม่ว่าอาวุธใดแทบไม่สามารถทะลุผ่านได้ และลมหายใจเพลิงมีพลังทำลายล้าง ได้เกือบครึ่งเมืองต่อการพ่นลมหายใจหนึ่งครั้ง ทำให้การต่อสู้เพื่อรวบรวมอาณาจักรเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ผู้นำตระกูลคาร์เทียร์ขณะนั้นคล้ายว่าสามารถสื่อสารเข้าถึงจิตใจของมังกร จึงสามารถควบคุมดรากัสให้เข้าร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้าง จนสามารถปราบข้าศึกของอาณาจักรข้างเคียงได้สำเร็จและสถาปนาขึ้นเป็นราชาของอาณาจักร โดยมีมังกรเป็นสัตว์ประจำราชวงศ์ ผู้คนในอาณาจักรต่างชื่นชมและยอมรับราชวงศ์คาร์เทียร์ให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักร หลังจากเสร็จศึกสงคราม มังกรดรากัสก็เข้าสู่ภาวะจำศีลโดยหลบซ่อนตัวในถ้ำบริเวณหุบเขาทางตอนใต้   

 

 เมืองฟลอเรนเซีย ถูกปกครองโดยตระกูลเอเลนอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรคาร์เทียร์ ถือว่าเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักร เนื่องจากฟลอเรนเซียเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้มีความสามารถเรื่องการทำกสิกรรม รวมทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับเมืองท่าหลายแห่ง ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางในการค้าขาย ถือได้ว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งลำดับต้นๆ ของอาณาจักร ในอดีตมีเรื่องเล่าที่ว่า สมบัติประจำตระกูล เป็นอัญมณีสีแดงประกายแวววาว ภายในนั้นบรรจุผลึกเวทย์มนตร์ของวิหคเพลิง ซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ที่มีพลังเผาผลาญทำลายล้างสูงไม่ด้อยไปกว่ามังกร อีกทั้งยังมีพลังเยียวยาฟื้นคืนชีวิต และมีเพียงสายเลือดของบุตรีตระกูลเอเลนอร์เท่านั้นที่สามารถเรียกพลังจากอัญมณีได้ เอกลักษณ์ของสายเลือดผู้ปลุกพลังนั้นจะมีเส้นผมและดวงตาสีแดงเข้ม อย่างไรก็ดี เนื่องจากพลังเวทย์มนตร์ที่ว่านั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการครอบครอง ชนชั้นสูงต่างๆ ของอาณาจักร แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ หวังจะครอบครอง เซร่า เอเลนอร์ ผู้นำตระกูล ณ ขณะนั้น จึงนำไปเก็บซ่อนไว้ ปัจจุบันไม่มีผู้ใดทราบว่าถูกเก็บอยู่ที่ใด วันเวลาผ่านไปเกือบหลายร้อยปีผู้คนต่างก็ลืมเลือนไปไม่มีผู้ใดพูดถึง



       สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะคะ เรื่องวิหคเพลิงผนึกใจ เป็นนิยายรักโรแมนติกแฟนตาซี ที่เล่าถึงเรื่องราวความรักของชายหนุ่มตระกูลอัศวินและหญิงสาวตระกูลพ่อค้าซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์โบราณในอดีตกาล

        นิยายเรื่องนี้ถูกแต่งโดยจินตนาการของนักเขียน หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ นักอ่านสามารถแสดงความคิดเห็น ติชม และกดติดตามเพื่อแจ้งเตือนตอนใหม่ และกดถูกใจเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ :)


สารบัญ

วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 1 บุรุษผู้ฝึกสอน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 3 ตัดใจ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 4 สงครามเพลิง,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 5 จบสงคราม,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 6 คณะพ่อค้า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 7 มังกรดรากัส,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 8 งานเทศกาล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 9 ลักพาตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 10 ช่วยเหลือ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 11 สอบสวน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 12 เยี่ยมเยียน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 13 อดีตของไรเซล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 14 งานเลี้ยงเต้นรำ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 15 เซร่า เอเลนอร์,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 16 ดูดาว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 17 แผลเก่า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 18 เซร่าและเลออน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 19 จับกุมตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 20 จับกุมตัว (2),วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 21 หลบหนี

เนื้อหา

บทที่ 16 ดูดาว


เฮเลน่าที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้าคันใหญ่ประจำตระกูล ในระหว่างเดินทางกลับเมืองฟลอเรนเซีย พลางนึกถึงเรื่องราวความฝันเมื่อคืน เธอค่อนข้างสนใจความฝันในครั้งนี้มาก เพราะมีสิ่งที่ทำให้สะกิดใจอยู่หลายอย่าง เช่น ชื่อของหญิงสาวผมแดงที่ดูเหมือนกับหนึ่งในชื่อของอดีตผู้นำตระกูล ไหนจะสถานที่ในความฝันที่ดูคล้ายกับคฤหาสน์ตระกูลเอเลนอร์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถของเซร่าที่เพิ่งค้นพบนั้น มันเหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเธอเมื่อตอนเหตุการณ์ไฟไหม้ที่กระท่อมนอกเมืองลูเซีย หรือทั้งหมดนี่จะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ในอดีต ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า อัญมณีสีแดงที่ประดับบนด้ามกริชนี่ คือสมบัติประจำตระกูลอย่างนั้นหรอ แล้วเหตุใดถึงไม่ถูกเก็บอยู่ที่คฤหาสน์ แต่กลับกลายเป็นของขวัญที่ได้รับจากไรเซลได้นะ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ตอนนี้ เธออยากให้ถึงเวลากลางคืนเพื่อที่จะได้ฝันถึงเหตุการณ์ต่อไป     

 คืนนี้ตระกูลเอเลนอร์ได้ค้างคืนที่โรมแรมในเมืองชนบทเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางหลักในการเดินทาง แน่นอนว่าตระกูลขุนนางอื่นๆ ที่กำลังเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง ก็ต้องใช้เส้นทางนี้เช่นเดียวกัน เลยไม่แปลกที่จะได้พบเจอคนรู้จัก

 “เฮเลน่า ทานข้าวเย็นรึยังครับ” เสียงของชายหนุ่มผมทองดังมาแต่ไกล

 “เรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านพี่รอยซ์” เธอกล่าวตอบ

 “ข้าได้ยินว่าที่โรงแรมแห่งนี้มีจุดชมวิวดีๆ อยู่ครับ เห็นว่ามองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนมาก เฮเลน่าสนใจจะไปดูด้วยกันกับข้าหรือไม่ครับ” บุตรชายตระกูลอารอนกล่าวชักชวน

   “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ข้าคิดว่าแอนนาจะต้องบ่นแน่ๆ หากข้าออกไปข้างนอกตอนกลางคืน เอาไว้ค่อยเจอกันนะคะ ฝันดีค่ะ” เฮเลน่ากล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนขอตัวกลับไปที่ห้องพัก

 จริงๆ แล้วเธอก็สนใจคำชักชวนของรอยซ์อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่จะมีโอกาสบ่อยๆ ที่จะได้ชมดวงดาวท่ามกลางธรรมชาติในเมืองชนบทแบบนี้ โดยเฉพาะหญิงสาวตระกูลขุนนางที่อาศัยอยู่ในเมืองที่เจริญอย่างเธอ แต่เธอไม่ได้อยากไปไหนสองต่อสองกับชายหนุ่มนี่นา เฮ้อออ… ‘เอาไว้ค่อยแอบออกมาดูตอนดึกๆ สักแปปนึงก็แล้วกัน’

เวลาเกือบเที่ยงคืน หญิงสาวในชุดนอนมีผ้าผืนบางคลุมไหล่ไว้อีกหนึ่งชั้นเพื่อป้องกันความหนาวเย็น ก้าวเดินออกไปยังบริเวณสวนหย่อมของโรงแรมที่ว่ากันว่ามองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนที่สุด ก่อนที่เธอจะมองเห็นแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งจิบสุราอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนของโรงแรม พลางทอดสายตาขึ้นไปด้านบนเพื่อชื่นชมความงดงามของสิ่งที่อยู่บนฟ้า

‘ท่านไรเซล’ เฮเลน่าพึมพำออกมาเบาๆ เธอไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ เขาต้องอยู่ประจำการที่ชายแดนมิใช่หรอกหรือ 

ชายหนุ่มเหมือนจะรู้สึกตัว หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน จึงหันหลังไปมอง ดวงตาสีเทาเข้มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้เจอหญิงสาวที่กำลังคิดถึงอยู่ในตอนนี้ ก่อนที่เขาจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“เจ้าเองหรอ เฮเลน่า มานั่งตรงนี้สิ” ร่างสูงเลื่อนตำแหน่งตนเองบนเก้าอี้หินอ่อนให้มีที่ว่างเพียงพอสำหรับหญิงสาว ก่อนจะถอดผ้าพันคอผืนใหญ่ของตนออกมา

“ขอบคุณค่ะ” เฮเลน่าค่อยๆ นั่งลงข้างชายหนุ่ม มือใหญ่คลี่ผ้าพันคอของเขาออก ก่อนเอื้อมมือนำผ้าไปคลุมที่ไหล่ของหญิงสาว  

“สวมชุดแบบนี้ออกมาข้างนอกตอนกลางคืน เจ้าอยากจะป่วยในระหว่างเดินทางไกลหรืออย่างไร” ชายหนุ่มกล่าวพลางขมวดคิ้ว

เฮเลน่ายิ้มออกมาเล็กน้อย แม้จะถูกบ่นแต่ก็รับรู้ได้ว่าการกระทำและคำพูดของเขาทำไปเพราะห่วงใยเธอ

 “ยิ้มอะไรของเจ้า” ไรเซลกล่าวพลางยกแก้วสุราขึ้นจิบ

 “เปล่าค่ะ ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอท่านที่นี่ นึกว่าท่านจะต้องอยู่ประจำการที่ชายแดนต่อ” หญิงสาวกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้า

“เห็นว่ากำลังจะมีราชโองการให้ข้าย้ายไปเป็นหัวหน้ากององครักษ์คุ้มกันรัชทายาทน่ะ ทำให้ต้องเดินทางกลับไปเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัว” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนคิดในใจ ‘คงเพราะเหตุการณ์ลักพาตัวที่นอกเมืองลูเซียสินะ’

 ไรเซลจิบสุราพลางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่กำลังมองขึ้นไปบนฟ้า ขณะนี้ภายในดวงตาสีแดงเข้มของเธอมีดวงดาวระยิบระยับ ดูงดงามจนไม่อยากละสายตา

เฮเลน่ารู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองก่อนจะถาม “มองอะไรคะ”

“ก็กำลังดูดาว” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“กำลังดูดาวแต่ทำไมถึงมองหน้าข้า” เฮเลน่าหันหน้ากลับมาสบตาชายหนุ่ม 

“ก็กำลังดูดาวผ่านดวงตาของเจ้าไง” ไรเซลพูดพลางขยับใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะสบตาให้ชัด

เฮเลน่านึกว่าบุรุษตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้เพื่อจะมอบจุมพิตให้เธอ จึงนั่งนิ่งก่อนจะหลับตาลง ไรเซลมองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มรอจุมพิตจากเขา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่เขาต้องหักห้ามใจเพราะไม่อยากทำให้เธอเสียหาย จึงใช้นิ้วชี้แตะลงไปที่ริมฝีปากนุ่มเบาๆ กล่าวหยอกล้อ

 “คิดอะไรอยู่ เจ้าเด็กแก่แดด รีบเข้านอนได้แล้ว ข้าจะเดินไปส่งที่ห้อง”

เฮเลน่าลืมตาขึ้น ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำด้วยความอับอาย “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ ไม่ต้องไปส่งค่ะ ข้าจะเดินกลับเอง ฝันดีนะคะ” เฮเลน่ารีบลุกขึ้น ก่อนก้าวเท้าถี่ๆ เดินจากไป และเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายหนุ่ม

เฮเลน่ากลับมาถึงห้องใบหน้ายังคงแดงอยู่ เธอนั่งลงบนเตียงนอนหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์สักครู่หนึ่ง ก่อนหยิบกริชทองเหลืองขึ้นมาไว้ในมือ เธอมีภารกิจที่จะต้องนอนเพื่อเก็บข้อมูลสำคัญในความฝัน หญิงสาวค่อยๆ ล้มตัวลงนอนและหลับตาลงอีกครั้ง …


 “ท่านแม่คะ เล่าเรื่องเกี่ยวกับวิหคเพลิงให้ข้าฟังหน่อยได้ไหมคะ” เซร่ากล่าวขณะที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตักของมารดา หลังจากที่เธอได้ใช้พลังของวิหคเพลิงรักษาบิดาและมารดาที่ป่วยหนักจนหายดี วันนี้เธอออดอ้อนมารดาอยากจะมานอนด้วยกัน

  “ฮ่าๆ ได้สิ แต่แม่ก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องตามที่ท่านยายของเจ้าเคยเล่ารึเปล่านะ” เซเรียผู้เป็นมารดาคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางลูบหัวบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตของเอล่า ผู้ที่เป็นต้นตระกูลได้เคยช่วยเหลือวิหคเพลิงที่ขณะนั้นเป็นเพียงลูกนกที่ใกล้ตายและมอบนามให้ว่า ‘อิกนิส’ ไปจนถึงการต่อสู้กับมังกรเพลิงและมังกรหิมะเพื่อปกป้องเธอ และในฉากสุดท้ายของชีวิตวิหคเพลิงก็ยังคงรักษาเยียวยาเพื่อฟื้นคืนชีวิตให้เธอ

  เซร่าที่กำลังฟังอย่างตั้งใจรู้สึกตื้นตันจนน้ำใสๆ เริ่มเคลือบบางๆ ในดวงตา

  “แล้วเหตุใดมังกรเพลิงกับมังกรหิมะถึงบุกมาทำลายหมู่บ้านงั้นหรอคะ” หญิงสาวถามผู้เป็นมารดา

  “ไม่รู้สิ ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบ หากมีผู้ที่ล่วงรู้จิตใจของมังกรได้ก็คงจะดี” เซเรียกล่าวพลางถอนหายใจ 

 “แล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นละคะ” หญิงสาวถามต่อ

  “หลังจากที่ท่านเอล่าและมารดาฟื้นขึ้นหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ทั่วทั้งภูเขาก็กลายเป็นน้ำแข็งไปหมด ไม่ว่าจะก่อฟืนไฟสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายภูเขาน้ำแข็งที่มังกรหิมะสร้างไว้ได้ สองแม่ลูกจึงตัดใจและออกเดินทางเพื่อย้ายถิ่นฐาน พวกเธอตั้งปณิธานว่าจะตั้งใจใช้ชีวิตที่ได้มาให้คุ้มค่าที่สุด จนได้มาตั้งรกรากที่เมืองฟลอเรนเซียแห่งนี้ ซึ่งในภายหลังก็ได้ถูกควบรวมเป็นอาณาจักรคาร์เทียร์น่ะ ….. อ้อ จริงๆ ที่แล้วเมืองฟลอเรนเซียแห่งนี้อุดมสมบูรณ์อาจจะเป็นเพราะท่านเอล่าใช้พลังรักษาเยียวยาของวิหคเพลิง ไม่ว่าจะเป็นผืนดินที่แห้งแล้งหรือโรคระบาดใดๆ ก็สามารถรักษาฟื้นฟูได้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ตระกูลของเราร่ำรวยขนาดนี้”

 “ถ้าหากข้าใช้พลังสร้างเปลวไฟของวิหคเพลิงเพื่อละลายน้ำแข็งของมังกรหิมะ ท่านแม่คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม”

 “ก็อาจจะเป็นไปได้นะ แม่คิดว่า ณ ตอนนั้นที่หุบเขานั่น ท่านเอล่าอาจจะยังไม่รู้ว่าตนเองใช้พลังจากอัญมณี คงจะได้มาทราบหลังจากที่ได้ย้ายถิ่นฐานมาที่ฟลอเรนเซียแล้ว”

 “ภูเขาน้ำแข็งนั่นอยู่ที่ใดกันคะ” เซร่าถามเพราะเธออยากจะลองพิสูจน์ความคิดของเธอ

“แม่ก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ท่านยายของเจ้าบอกว่า เพราะไม่มีลูกหลานคนใดจะใช้พลังได้ จึงไม่มีใครที่สนใจศึกษาภาษาโบราณในบันทึก มีเพียงการเล่าเรื่องส่งต่อกันมาให้ลูกหลานราวกับเป็นนิทานก่อนนอน” เซร่าพยักหน้าเบาๆ ตาเริ่มปรือ

“เอาล่ะ ลุกขึ้นมานอนดีๆ ได้แล้วเซร่า” เซเรียยิ้มกว้างมองเซร่าที่กำลังจะหลับเพราะนิทานก่อนนอน …