สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

วิหคเพลิงผนึกใจ - บทที่ 21 หลบหนี โดย malisam @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก,แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วิหคเพลิงผนึกใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,โรแมนติกแฟนตาซี,ฟีนิกซ์

รายละเอียด

สงครามระหว่างสัตว์โบราณ เมื่ออดีตกาล การต่อสู้เพื่อทำลาย และ การต่อสู้เพื่อปกป้อง จุดจบสงครามด้วยการสละชีวิตของมังกรหิมะ เพื่อแช่แข็งวิหคเพลิงไปตลอดกาล

ผู้แต่ง

malisam

เรื่องย่อ


อาณาจักรคาร์เทียร์ ได้ถูกก่อตั้งเมื่อ 400 ปีก่อน ตระกูลคาร์เทียร์ได้รวบรวมอาณาจักรขึ้นด้วยการทำสงครามกับอาณาจักรข้างเคียงโดยมีมังกรเพลิงนามว่า ดรากัส ร่วมต่อสู้และปกป้องผู้คนในอาณาจักร มังกรดรากัส นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ปีกมังกรยามสะบัดก่อให้เกิดลมแรงราวกับพายุ เกล็ดผิวหนังแข็งราวกับเหล็ก ไม่ว่าอาวุธใดแทบไม่สามารถทะลุผ่านได้ และลมหายใจเพลิงมีพลังทำลายล้าง ได้เกือบครึ่งเมืองต่อการพ่นลมหายใจหนึ่งครั้ง ทำให้การต่อสู้เพื่อรวบรวมอาณาจักรเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ผู้นำตระกูลคาร์เทียร์ขณะนั้นคล้ายว่าสามารถสื่อสารเข้าถึงจิตใจของมังกร จึงสามารถควบคุมดรากัสให้เข้าร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้าง จนสามารถปราบข้าศึกของอาณาจักรข้างเคียงได้สำเร็จและสถาปนาขึ้นเป็นราชาของอาณาจักร โดยมีมังกรเป็นสัตว์ประจำราชวงศ์ ผู้คนในอาณาจักรต่างชื่นชมและยอมรับราชวงศ์คาร์เทียร์ให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักร หลังจากเสร็จศึกสงคราม มังกรดรากัสก็เข้าสู่ภาวะจำศีลโดยหลบซ่อนตัวในถ้ำบริเวณหุบเขาทางตอนใต้   

 

 เมืองฟลอเรนเซีย ถูกปกครองโดยตระกูลเอเลนอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรคาร์เทียร์ ถือว่าเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักร เนื่องจากฟลอเรนเซียเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้มีความสามารถเรื่องการทำกสิกรรม รวมทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับเมืองท่าหลายแห่ง ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางในการค้าขาย ถือได้ว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งลำดับต้นๆ ของอาณาจักร ในอดีตมีเรื่องเล่าที่ว่า สมบัติประจำตระกูล เป็นอัญมณีสีแดงประกายแวววาว ภายในนั้นบรรจุผลึกเวทย์มนตร์ของวิหคเพลิง ซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ที่มีพลังเผาผลาญทำลายล้างสูงไม่ด้อยไปกว่ามังกร อีกทั้งยังมีพลังเยียวยาฟื้นคืนชีวิต และมีเพียงสายเลือดของบุตรีตระกูลเอเลนอร์เท่านั้นที่สามารถเรียกพลังจากอัญมณีได้ เอกลักษณ์ของสายเลือดผู้ปลุกพลังนั้นจะมีเส้นผมและดวงตาสีแดงเข้ม อย่างไรก็ดี เนื่องจากพลังเวทย์มนตร์ที่ว่านั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการครอบครอง ชนชั้นสูงต่างๆ ของอาณาจักร แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ หวังจะครอบครอง เซร่า เอเลนอร์ ผู้นำตระกูล ณ ขณะนั้น จึงนำไปเก็บซ่อนไว้ ปัจจุบันไม่มีผู้ใดทราบว่าถูกเก็บอยู่ที่ใด วันเวลาผ่านไปเกือบหลายร้อยปีผู้คนต่างก็ลืมเลือนไปไม่มีผู้ใดพูดถึง



       สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะคะ เรื่องวิหคเพลิงผนึกใจ เป็นนิยายรักโรแมนติกแฟนตาซี ที่เล่าถึงเรื่องราวความรักของชายหนุ่มตระกูลอัศวินและหญิงสาวตระกูลพ่อค้าซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์โบราณในอดีตกาล

        นิยายเรื่องนี้ถูกแต่งโดยจินตนาการของนักเขียน หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ นักอ่านสามารถแสดงความคิดเห็น ติชม และกดติดตามเพื่อแจ้งเตือนตอนใหม่ และกดถูกใจเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ :)


สารบัญ

วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 1 บุรุษผู้ฝึกสอน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 3 ตัดใจ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 4 สงครามเพลิง,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 5 จบสงคราม,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 6 คณะพ่อค้า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 7 มังกรดรากัส,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 8 งานเทศกาล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 9 ลักพาตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 10 ช่วยเหลือ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 11 สอบสวน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 12 เยี่ยมเยียน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 13 อดีตของไรเซล,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 14 งานเลี้ยงเต้นรำ,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 15 เซร่า เอเลนอร์,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 16 ดูดาว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 17 แผลเก่า,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 18 เซร่าและเลออน,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 19 จับกุมตัว,วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 20 จับกุมตัว (2),วิหคเพลิงผนึกใจ-บทที่ 21 หลบหนี

เนื้อหา

บทที่ 21 หลบหนี


ขบวนทหารอัศวินกว่า 30 นาย พร้อมรถม้าคุมขังนักโทษที่ภายในมีผู้นำตระกูลเอเลนอร์นั่งอยู่ กำลังจะเดินทางไปถึงพื้นที่ทางออกเมืองฟลอเรนเซีย

“ขบวนทหารมาแล้ว วางกับดักเรียบร้อยแล้วรึยัง” ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นคนดูต้นทาง กำลังวิ่งกลับมาถามพรรคพวกที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ข้างทาง

“เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอระยะให้ใกล้เข้ามาอีกสักนิด ข้าถึงจะจุดไฟ” พวกเขาได้ขุดวางก้อนดินปืนจำนวนหลายลูก ร้อยเข้ากับเชือกป่านผ่านท่อดินเผามาจนถึงระยะปลอดภัย ก่อนกลบดินให้เหมือนอยู่ในสภาพเดิม

“ท่านเซร่าอยู่ในกรงขังนั่นจริงๆ ด้วย ท่านจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม หากจุดระเบิด” หนึ่งในกลุ่มกล่าวอย่างกังวล

“แต่ในจดหมายบอกให้ทำอย่างนั้น ท่านเซร่าคงจะมีแผนการอะไรอยู่แล้วล่ะนะ”

กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ เป็นอดีตนังเลงแถวชานเมืองฟลอเรนเทียที่เคยทำความผิดฐานขโมยของ แต่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือและโอกาสในการกลับตัวกลับใจจากเซร่า นับจากนั้น พวกเขาก็ทำงานถวายหัวให้เธอมาตลอด


เซร่าเริ่มมองสังเกตเส้นทางที่คาดว่าน่าจะใกล้ถึงจุดที่วางกับดักไว้ พลางคิดในใจ ถึงแม้ว่าจะมีอัญมณีอยู่กับตัว แต่ถ้าโดนระเบิดนั่นเข้าไป ก็คงจะรู้สึกเจ็บอยู่ดีนั่นแหละ

“ตู้มมมม ตู้มม ตู้มมมม…” ดินปืนจำนวนหลายลูกกำลังระเบิดขึ้นจากพื้นดินอย่างต่อเนื่อง ทำให้กองกำลังอัศวินบนหลังม้าที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง รวมไปถึงคุกเคลื่อนที่กำลังแตกกระจาย ร่างบางลอยขึ้นสูงก่อนจะตกลงกระแทกกับพื้นดินอย่างแรง เซร่ารู้สึกเหมือนกระดูกทั้งร่างของเธอกำลังแตกหัก ก่อนที่ประกายไฟเล็กๆ จากเศษดินปืนจะตกกระทบลงอัญมณีสีแดงบนกริชทองเหลืองในมือ

หญิงสาวรู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งตัว ก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าร่างกายกำลังฟื้นฟูและใช้เวลาเพียงไม่นาน ร่างบางก็สามารถลุกขึ้นยืนได้ ถึงแม้ว่าเธอจะหลุดจากโซ่ตรวนด้วยแรงระเบิด แต่ที่บริเวณข้อมือและข้อเท้ายังมีปลอกกุญแจเหล็กอยู่ หญิงสาวจึงมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาหัวหน้าอัศวิน ก่อนจะมองเห็นภาพเบื้องหน้าที่ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยกองโลหิตสีแดง ทั้งเหล่าม้าและทหารอัศวินทั้งหมดมีสภาพบาดเจ็บสาหัส

เซร่าเบือนหน้าหนี น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา ในใจของเธอไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายผู้ใดเลย เพียงแค่ต้องการจะรักษาชีวิตตนเองเท่านั้น ก่อนจะก้าวเดินไปถึงตัวหัวหน้าอัศวิน มือข้างหนึ่งหยิบลูกกุญแจที่แขวนอยู่บนสายคาดเอวของเขา มาไขปลดโลหะบนข้อมือข้อเท้าของตน

‘กุบกับ กุบกับ’ เสียงควบม้าดังมาจากด้านหลังค่อยๆ ใกล้เข้ามา หญิงสาวรีบหันหลังกลับไปมอง

“โหดร้ายจังเลยนะ เซร่า” ผู้นำตระกูลคานเดลกล่าวขึ้น ก่อนที่จะก้าวลงจากหลังม้า สายตามองไปที่กริชทองเหลืองในมือของหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังพื้นที่รอบๆ ที่เต็มไปด้วยทหารอัศวินของตน กำลังนอนอาบกองเลือดอาการสาหัส

“ข้าไม่มีทางเลือกนี่คะ” เซร่ากำของในมือแน่นราวกับจะไม่ยอมให้ใครมาช่วงชิงมันไป

ผู้นำตระกูลคานเดลล้วงมือหยิบกำไลเงินออกมาจากถุงผ้า ก่อนจะกล่าว “งั้นนี่ก็เป็นของปลอมสินะ” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ชักดาบออกจากฝักที่อยู่ข้างลำตัวขึ้นมา เซร่าก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างระแวงผสมไม่ไว้ใจ

มือใหญ่ค่อยๆ วางกำไลเงินประดับอัญมณีลงบนพื้น ก่อนจะยกดาบแทงลงไปที่อัญมณีสีแดงจนแตกร้าว และหันไปมองหน้าหลานสาวก่อนกล่าว

“ไปซะ เซร่า แล้วอย่ากลับมาที่อาณาจักรคาร์เทียร์อีก เจ้าและพลังของเจ้าถูกมองว่าเป็นภัยต่อราชวงศ์”

“แล้วท่านลุงจะเป็นอย่างไร” เธอยังรู้สึกงุนงงกับการกระทำของอาเธอร์

“ข้าจะนำซากกำไลนี่ไปส่งมอบให้ราชวงศ์เพื่อยืนยันว่าพลังนั่นได้ถูกทำลายลงแล้ว และเซร่า เอเลนอร์นั้นหลบหนีไปได้” เซร่ามองบุรุษตรงหน้าอย่างซึ้งใจ

“ก่อนจากไป เจ้าจะช่วยรักษาคนของข้าให้ได้หรือไม่” มือหนายื่นขวดแก้วใสใบเล็กส่งให้เธอ

“แน่นอนค่ะ” หญิงสาวที่รับขวดแก้วมา หลับตาลงสักครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมหยดน้ำตาจำนวนมากและปล่อยให้มันไหลรินลงสู่ภาชนะ ใช้เวลาไม่นาน มือเล็กได้ส่งมอบขวดแก้วที่บรรจุน้ำตาของเธอคืนให้แก่ผู้นำตระกูลคานเดลก่อนจะกล่าว

“ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้นะคะ ท่านลุงอาเธอร์ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณ”

“ลืมมันไปซะเถอะ เซร่า ที่เจ้าต้องถูกกระทำแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะข้า” เขากล่าวด้วยความละอายใจ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย

“รีบออกจากคาร์เทียร์ให้เร็วที่สุด เพราะอีกไม่นานข้าคงต้องสั่งการให้ทหารทั้งอาณาจักรค้นหาตัวเจ้า”

เซร่าพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะก้าวขึ้นบนหลังม้าตัวหนึ่งที่เธอเพิ่งรักษาไป และขี่หลบหนีไปด้วยความรวดเร็ว


เซร่ากำลังควบม้ามุ่งไปสู่จุดนัดพบที่เธอได้เขียนไว้ในจดหมายถึงคนรัก เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศของอาณาจักรแทบจะล้อมรอบด้วยทะเล มีเพียงเขตเมืองลูเซียที่เป็นทางเข้า-ออกเดียวที่เป็นเส้นทางบก เธอเคยไปเยือนเมืองลูเซียมาก่อน ในคราวนั้นได้เดินทางด้วยรถม้ากินเวลาเกือบ 10 วัน แต่หากเธอเดินทางด้วยม้าเร็วอย่างในตอนนี้โดยที่ไม่พักเลย ก็คงจะร่นเวลาเหลือสัก 4-5 วันได้

แต่สุดท้ายจิตใจที่เข้มแข็งของหญิงสาวก็แพ้ความเหนื่อยล้าของร่างกาย แม้พลังของวิหคเพลิงจะรักษาเยียวยาได้ แต่ร่างกายของเธอก็ยังคงต้องการที่จะได้รับสารอาหารและการพักผ่อน ในช่วงเย็นของวันที่ 3 เธอจึงตัดสินใจที่จะหยุดพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองชนบทเล็กๆ ระหว่างทาง 

เซร่านำม้าไปที่จุดแวะพักเพื่อให้ดื่มน้ำและกินหญ้า ก่อนที่ตัวเธอจะเดินเข้าไปในชุมชนเล็กๆ สายตาหันไปเห็นเสากำแพงโดยรอบบริเวณ มีใบประกาศจับที่มีรูปวาดใบหน้าของผู้นำตระกูลเอเลนอร์ถูกแปะไว้จำนวนมาก ร่างบางหยุดชะงัก รู้สึกตกใจไม่น้อย แม้จะอยู่ในเมืองชนบทเล็กๆ ก็ยังมีใบประกาศจับเธอติดอยู่ ท่านลุงอาเธอร์ดำเนินการได้รวดเร็วมากจริงๆ เธอจะทำอย่างไรดี ก่อนจะเผลอไปสบตากับผู้คนบริเวณนั้นเข้า หญิงสาวรีบหันหน้าหนี เรียวขายาวกำลังก้าวย่างอย่างระแวดระวัง และกำลังจะวิ่งหนีไป 

“เจ้ากำลังหาซื้อเสื้อผ้ารึ ร้านค้าข้างๆ มีขายนะ” หญิงชราที่สบตาเธอเมื่อครู่กล่าวขึ้น

เซร่างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงสังเกตสภาพตนเองในตอนนี้ เสื้อผ้าของเธอขาดรุ่ยจำนวนหลายจุดเนื่องจากแรงระเบิดของดินปืน เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยคราบเขม่า และเธอดูหิวโหยสุดๆ พลางคิดในใจ ‘คงจะไม่มีใครคิดว่าผู้นำตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรจะมีสภาพแบบนี้สินะ อีกอย่างตอนนี้ใบหน้าของเธอไม่ได้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง อาจจะไม่มีใครรู้ว่าเธอคือคนในใบประกาศนั่นก็ได้‘

นอกจากนี้ยังมีสายตาจากชายหนุ่มจำนวนหลายคนที่มองมาที่เธอ แต่ไม่ยักจะใช่สายตาจับผิดสงสัย หากแต่กำลังลอบมองผิวกายขาวนวลภายใต้เสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยของเธอ

อยู่ๆ ก็มีผ้าผืนใหญ่คลุมลงบนตัวเธอจากด้านหลัง หญิงสาวสะดุ้งรีบหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะพบใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษที่คุ้นเคย เธอยิ้มออกมาอย่างดีใจ มือใหญ่ของชายหนุ่มรีบโอบเอวเธอแน่นอย่างหวงแหน เหมือนกำลังแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าพวกผู้ชายที่กำลังลอบมองคนรักของตน


“ทำไมท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่ ข้านึกว่าท่านจะถึงเขตชายแดนก่อนข้าเสียอีก” หญิงสาวถามขึ้นขณะที่กำลังเดินไปที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ พร้อมกับชายหนุ่ม

“ข้าแวะมาเอารถม้าน่ะ” ชายหนุ่มกล่าว ก่อนจะอธิบายความให้ใบหน้างามที่กำลังเลิกคิ้วสงสัย “เป็นรถม้าที่เคยฝากไว้ก่อนที่ข้าจะเดินทางไปเมืองฟลอเรนเซียเมื่อหลายปีก่อนน่ะ จะเดินทางไกล ข้าวของคงจะเยอะพอตัวและข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเดินทางด้วยความลำบากมากนัก” ก่อนจะหันไปพูดคุยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เพื่อจองห้องพักสำหรับ 1 คืนพร้อมรับกุญแจมา มือใหญ่จูงมือเล็กพาเดินเข้าห้องไปด้วยกัน

“จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าจะหยุดพักที่ฟลอเรนเซียแค่ 2 ปีเท่านั้น แต่สุดท้ายก็อยู่มาถึง 5 ปีเลยนะเนี่ย” 

“เพราะอะไรงั้นหรอ” หญิงสาวถามออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร

“คงเพราะไปตกหลุมรักเจ้าเมืองเข้าละมั้ง” เลออนกล่าวพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างหวานซึ้ง เซร่ายิ้มน้อยๆ ก่อนซบใบหน้าลงกลางอกของร่างสูงตรงหน้า ยกสองมือโอบกอดรอบตัวเขาด้วยความคิดถึง

“ขอบคุณนะ เลออน” ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเงยหน้ากล่าวถามชายหนุ่ม

“ทำไมท่านไม่บอกข้าเรื่องนี้” หญิงสาวพูดพลางหยิบกริชทองเหลืองประดับอัญมณีสีแดงขึ้นมา

“เจ้ารู้รึเปล่า ว่าเจ้าโกหกไม่เก่งน่ะ ถ้าข้าบอกไปอาจจะความแตกไปเสียก่อนก็ได้” เซร่าได้ยินดังนั้นก็ทำใบหน้างอง้ำก่อนจะกล่าว “แต่ข้าชอบของชิ้นนี้มากกว่ากำไลเงินเสียอีกนะ” หญิงสาวพูดพลางลูบไล้ไปที่กริชทองเหลืองอยู่สักครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองไปที่บุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“สงสัยว่าจะต้องให้รางวัลซะหน่อยแล้ว ฮ่าๆ ข้าจะรีบไปอาบน้ำ ท่านก็ไปรออยู่บนเตียงนั่นได้เลย” …