ยมทูตหนุ่ม ที่กำลังจะได้ไปเกิด แต่เผลอทำผิดกฎของยมโลกอย่างร้ายแรง จึงต้องถูกส่งตัวลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ มิเช่นนั้นจะไม่ได้ไปเกิด
รัก,ชาย-หญิง,ไทย,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,อมายา,อดีตชาติ,ตามหาร่าง,รักเก่า,ยมทูต,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๗ เจ้าของร้านชำ
ทว่าเมื่อกลับมาถึงร้าน คิมกำลังจะยกมือขึ้นมาถอดแว่นกันแดดออก แต่สังเกตเห็นว่าแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายได้หายไป คิมเริ่มสำรวจตามกระเป๋าเสื้อและกางเกง แต่ก็ไม่พบ
คิมวิ่งกลับไปหาที่รถอย่างร้อนรน ชานที่เห็นคิมวิ่งกลับไปที่รถ ก็ได้วิ่งตามไป
“คุณคิมหาอะไรอยู่เหรอครับ”
“แหวนน่ะ นายเห็นบ้างมั้ย”
“ไม่นะครับ แล้วในรถไม่มีเหรอครับ”
“ไม่มีเลย คงจะตกอยู่ที่บ้านคุณยายแน่เลย เดี๋ยวฉันกลับไปหาก่อนนะ”
“ให้ผมไปด้วย...มั้ย...ครับ” ชานยังพูดไม่ทันจบประโยค คิมก็ขับรถออกไปเสียก่อน ชานจึงเดินกลับเข้าไปรอในร้าน
ไม่นานคิมก็มาถึงบ้านของคุณยาย เห็นว่ายังมีตำรวจอยู่สองสามคน และที่สำคัญสรัลก็ยังอยู่เช่นเดียวกัน
แต่คิมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะสนใจเพียงแต่แหวนแต่งงานของตน เนื่องจากเป็นของสิ่งเดียวที่จะทำให้คนรักเก่าจำคิมได้
ทันทีที่สรัลเห็นคิม สรัลก็รีบเดินตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกแหวนขึ้นมาโชว์
“นี่ของคุณหรือเปล่าคะ”
“ใช่ครับ คุณไปเจอที่ไหนเหรอครับ”
“ตรงข้าง ๆ บ่อน้ำน่ะค่ะ...พอดีฉันลองถามตำรวจแล้ว แต่ไม่มีใครทำหาย ฉันเลยคิดว่าคงเป็นคุณหรือไม่ก็คุณชาน...ว่าแต่ชื่อที่สลักอยู่ชื่อใครเหรอคะ”
“ผมกับ...”
“กับใครเหรอคะ” สรัลพูด พลางยื่นแหวนคืนให้คิม คิมก็รับมา และสวมกลับไปที่นิ้วนางข้างซ้าย
สรัลที่เห็นคิมสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย ก็รู้ได้ทันที ว่าชื่อนั้นคือใคร
“เอ่อ...ขอตัวก่อนนะครับ” คิมเดินออกมาทันที เพราะไม่อยากได้ยินคำถามของสรัลต่ออีก
คิมขึ้นรถไปและขับออกไปทันที แต่เมื่อมองผ่านกระจกมองหลัง ก็เห็นว่าสรัลยืนรอตำรวจอยู่ เนื่องจากตอนที่มาบ้านของคุณยาย สรัลมาพร้อมกับรถตำรวจ จึงต้องกลับพร้อมรถตำรวจ
คิมเห็นว่าสรัลคงต้องรออีกนาน เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็น กว่าตำรวจจะทำงานเสร็จก็คงจะมืดค่ำเสียก่อน
คิมตัดสินใจถอยรถกลับมาจอดตรงหน้าสรัล และลดกระจกลง พร้อมกับเอ่ยเรียกให้สรัลขึ้นรถ
“ผมไปส่ง กว่าตำรวจจะเสร็จงานคงมืด”
“ขอบคุณนะคะ แต่ว่ารอฉันแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันไม่บอกตำรวจก่อน” คิมปิดกระจก และนั่งรอสรัลอย่างเงียบ แต่ทว่าภายในใจกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
และเกือบจะทุกครั้งที่อยู่ใกล้สรัล คิมมักจะมีอาการแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากอยู่ใกล้ ๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจ ชนิดที่ว่าบางครั้งก็มีความรู้สึกเสียใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
ไม่นานสรัลก็เดินมาเปิดประตูรถ พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณคิมอีกครั้ง คิมเพียงแค่พยักหน้าตอบรับ และออกรถทันที
ระหว่างการเดินทางกลับ ไม่มีเสียงพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว แต่ทว่าจู่ ๆ คิมก็เอ่ยขึ้นมา
“ขอบคุณนะครับ”
“คะ”
“ที่เก็บแหวนไว้ให้”
อ๋อ...ไม่เป็นไรค่ะ” สิ้นเสียงตอบกลับของสรัล ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ผ่านไปสักพักรถของคิมก็มาจอดที่ร้านดอกไม้ คิมหันหน้าไปหาสรัลพร้อมกับบอกว่า
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่โรงแรม พอดีช่วงเย็นหน้าโรงแรมคุณรถติดมาก เดินไปน่าจะไวกว่า”
“เอาตามที่คุณว่าเลยก็ได้ค่ะ”
จอดรถเรียบร้อยแล้ว คิมก็เดินนำสรัลไปยังทางลัดที่ตนและชานชอบใช้เดินอยู่เป็นประจำ
ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม สรัลได้ตัดสินใจถามถึงชื่อที่สลักอยู่ในแหวนอีกครั้ง
“เอ่อ...ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้มั้ย”
“ได้ครับ”
“ชื่อที่อยู่ในแหวนนั่น...”
“ชื่อผมเมื่อก่อนน่ะครับ”
“ฉันขอดูหน่อยนะ” พูดจบสรัลก็คว้ามือของข้างซ้ายของคิมขึ้นมาทันที เพื่อจะดู โดยที่ยังคิมยังไม่ได้อนุญาต
ในเวลาเดียว ทันทีที่สรัลจับมือคิม ก็มีภาพในอดีตฉายขึ้นมาในหัวคิมแวบหนึ่ง เป็นภาพของเด็กทารก ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับคิมมาก คิมก็รีบดึงมือกลับมาทันที ประกอบกับถึงโรงแรมของสรัลพอดี
“ผมส่งตรงนี้นะครับ ขอตัวครับ”
สรัลเห็นท่าทีของคิมเมื่อสักครู่ก็ยิ่งเกิดความสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะก่อนที่จะเจอแหวน สรัลเองก็เริ่มสงสัยในตัวคิมอยู่พอสมควร เพราะว่าทุกคนที่คิมถามหาใคร คนนั้นจะต้องเสียชีวิตไปแล้ว
ทางด้านของคิมก็เริ่มสงสัยสรัลเช่นกัน เนื่องจากคิมสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ ขอแค่เพียงถูกตัวของคนคนนั้น
เมื่อสักครู่ คิมโดนสรัลจับมือ และภาพในหัวคือเด็กทารกหน้าคล้ายตัวเอง
ขณะที่คิมกำลังก้มหน้าก้มตาเดิน และครุ่นคิดไปด้วย ในเวลาเดียวกัน จนไม่ได้สังเกตว่าชานอยู่รอแซวอยู่หน้าประตู
“ฮั่นแน่ ไปส่งเขาไปเหรอครับคุณคิม”
“ไอ้ชาน กวนประสาทอีกแล้วนะ”
“ขอโทษครับ”
ถึงแม้ว่าชานจะกล่าวขอโทษ แต่ทว่าใบหน้ายังคงไม่สลด แถมยังทำหน้าล้อเลียนใส่คิมอีก คิมได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าร้านไป
จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งรอเวลาที่วิญญาณจะเดินเข้ามา เพราะคิมเองก็รู้สึกได้ว่าจะมีวิญญาณมาอีกแน่นอน
เวลาล่วงเลยไปจนถึงสามทุ่มตรง ทุกอย่างหยุดนิ่ง และก็เป็นจริงดั่งที่คิมคิดเอาไว้ เพราะมีวิญญาณของชายวัยกลางคนเดินเข้ามา แต่ครั้งนี้ต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา
เพราะดวงวิญญาณของชายวัยกลางคน มีเงาดำมืดลอยอยู่ด้านหลัง หรือที่คิมและชานเรียกว่าเงาแห่งความแค้น
ที่ต้องเรียกว่าเป็นเงาแห่งความแค้น ก็เพราะว่าเจ้าของดวงวิญญาณนั้น ถูกคนครอบครัวหรือคนในสายเดือดเดียวกันฆ่าตายนั่นเอง และกลุ่มวิญญาณเหล่านี้มักจะรู้ด้วยว่าตัวเองได้เสียชีวิตไปแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
“คุณคิมครับ...”
“อือ เห็นแล้ว”
คิมเอ่ยตอบทั้งที่สายตายังจ้องมองไปที่เงาดำ ที่ลอยตามติดกับวิญญาณของชายวัยกลางคน ก่อนจะที่คิมจะละสายตา และชักชวนให้ชายวัยกลางคนเข้ามานั่งคุยกัน
ชายวัยกลางมองหน้าคิมและชานด้วยสายตาที่คาดเดาได้ยากมาก ๆ เพราะคิมและชานไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ คิมจึงได้ตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา
“คุณทำงานอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“เปล่า ผมเป็นเจ้าของร้านขายของชำแถวโรงแรมสรัลทม” ทันทีที่คิมได้ยินประโยคสุดท้าย ก็ต้องคิ้วขมวดกันเป็นปม ก่อนจะถามต่อ
“แล้วคุณตายยังไงครับ”
“ผมโดนค้อนตีหัวครับ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นทำ ไม่รู้ว่า...น้องชายหรือ...น้องสะใภ้”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวให้คนของผมพาคุณไปพักก่อนแล้วกันนะครับ” ชายวัยกลางคนกำลังจะลุกขึ้น แต่จู่ ๆ ก็ทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม คิมจึงได้ถามด้วยสงสัย
“มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“คุณสองคนอย่าทำอะไรเขานะครับ แค่แจ้งตำรวจก็พอ อย่าทำร้ายร่างกายเขานะครับ น้องชายผม...ร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ”
“ได้ครับ”
ชายวัยกลางคน ลุกขึ้นเดินตามชานไปยังห้องพักอย่างว่าง่าย ซึ่งทำให้คิมนั้นสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะปกติแล้วพวกวิญญาณที่มีเงาดำตามแบบนี้ คงจะต้องตามหาคนที่ทำตัวเองและแก้แค้นเสียก่อน
แต่กับชายวัยกลางคน คนนี้กลับไม่ใช่แบบนั้น มิหนำซ้ำเขายังขอร้องให้ไว้ชีวิตคนเหล่านั้นอีก
ไม่นานนักชานก็เดินกลับมา และกำลังจะเดินขึ้นไปพักที่ชั้นสอง แต่ก็โดนคิมเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ชาน ฉันเห็นภาพเด็กทารกในอดีตของสรัล”
“ก็คงเป็นลูกเขาแหละมั้งครับ”
“แต่เด็กคนนั้น...หน้าคล้าย...กับฉันมาก” ชานที่ตาเบิกกว้าง และเดินปรี่เข้าไปหาคิมทันที
แต่คิมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แถมยังเอ่ยปากไล่ให้ชานไปพัก เนื่องจากรู้นิสัยชานดี ว่าชานเป็นคนขี้สงสัย และต้องรู้ให้ได้ ที่สำคัญชอบถามเซ้าซี้ยิ่งกว่าอะไรดี