ต่างคนต่างเหนื่อยกับความสัมพันธ์และต่างคนต่างกระหายฝันของตัวเองมากจนหาจุดสมดุลของความรักครั้งนี้ไม่เจอ กระหายฝันจนต้องสูญเสียคนรักไปจากชีวิต
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,อีโรติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หญิงสาววัยยี่สิบห้าปีนั่งเมียงมองอาทิตย์อัสดงที่กำลังจะลับตาไปก่อนจะผันเป็นจันทราที่งามเด่นแสนอบอุ่นยามวิกาล รายล้อมไปด้วยกลุ่มดาวเล็กใหญ่ระยิบระยับประดับทั่วผืนนภา ดาวเห็นเด่นชัดเมื่อมืด ยิ่งมืดก็ยิ่งเห็นดาว
มูน โทษารมณ์ ชื่อของเธอ ดุจเรื่องบังเอิญที่ชื่อของเธอตั้งแต่เกิดทั้งมูนและโทษารมณ์มีความหมายเป็นพระจันทร์ เรื่องบังเอิญที่เธอชอบนั่งมองจันท์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นห้วงเวลาที่มีลมพัดเย็นๆ หลังของเธอทิ้งน้ำหนักไปที่พนักพิงเก้าอี้ตัวโปรดละสายตาจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าปรายตามองลอดผ่านหน้าต่างที่มีม่านสีขาวบางขนาบข้างถูกถักทอเป็นรูปดอกทานตะวันเล็กๆ ที่ชายผ้า เป็นฝีมือคุณแม่ของเธอเอง ที่เป็นช่างเย็บผ้า มูนโตมากับเสียงจักรเย็บผ้าที่เป็นทั้งเสียงปลุกและเสียงกล่อมนอน พ่อของเธอเสียตั้งแต่เธอยังเด็กแล้ว เด็กมากเด็กจนแทบจำเรื่องราวไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป เสียงจักรที่บางครั้งเธอก็รำคาญนั่นเองหล่อเลี้ยงทั้งมูนทั้งแม่มาจนจวบปัจจุบัน
เสียงจักรที่เป็นค่าขนมในวัยประถม
เสียงจักรที่เป็นค่าติวหนังสือช่วงมัธยม
และเสียงจักรที่เป็นค่าหอในชีวิตมหาลัย
ตอนนี้มูนเรียนจบมาได้สองปีเศษเธอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านได้อย่างสบายๆ บ่อยครั้งที่ร้องขอให้แม่หยุดทำงานแต่แม่ไม่เคยยอมเอาเสียเลย ได้แต่บอกว่าสนุก ยอมก็เพียงแต่รับงานน้อยลงเท่านั้น
ไม่นานก็ละสายตาจากดวงจันทราแล้วหันมาจดจ่อกับคอมพิวเตอร์อย่างเคย มูนเป็นนักเขียน เธอกว่าจะค้นพบว่าตัวเองชอบงานเขียนก็ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยตอนปีสามเสียแล้ว มูนเรียนจบสาขาบัญชี ถ้าย้อนกลับไปมองตอนนั้นเธอก็ดูเป็นเพียงเด็กหัวรั้นที่ไม่ฟังใคร แม่ของมูนไม่ได้กะเกณฑ์อะไรนักแต่จะว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจทุกอย่างก็คงไม่ใช่ แต่เพียงแค่อยากให้มูนทำงานตรงตามสายที่เรียนมาก็เท่านั้น แต่ลูกสาวกลับหลงใหลในงานเขียนและตอนนี้มูนก็ทำมันได้ดีแล้ว ค่อนไปทางประสบความสำเร็จเลยก็ว่าได้
เวลางานของมูนคือช่วงกลางคืนแม้จะเป็นงานที่รักก็มีง่วงมีเพลียกันบ้าง สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็ไม่พ้นกาแฟไว้เหนี่ยวรั้ง มูนใช้มือซ้ายเท้าคางมือขวาพลางหยิบแก้วกาแฟที่วางไว้ใกล้ๆ บรรยากาศช่างดูเงียบงันทำให้นึกถึงคนคอยเตือนคอยห้ามในตอนที่อัดกาแฟหนักๆ คนนั้นเป็นคนรักเก่าของเธอเอง จะว่าคนรักเก่าก็ไม่เชิงเพราะมูนยังไม่เคยพูดว่าไม่รักด้วยซ้ำไป
โคมไฟที่เปิดสว่างโร่อยู่บนโต๊ะทำงานก็ยังคงใช้ของพี่เมฆที่เป็นคนซื้อให้ รูปคู่ที่ฝาผนังก็ยังคงติดอยู่และยังไม่คิดจะทิ้ง โทนห้องสีขาวนวลเป็นสีที่พี่เมฆชอบ พี่เมฆกับมูนเป็นคู่รักที่เลิกรากันไปแล้วตอนที่มูนเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ
มูนยังคงปรารถนาให้พี่เมฆเจอแต่สิ่งดีๆ อยู่เสมอ แม้กระทั่งคนรักดีๆ ต่อให้คนนั้นจะไม่ใช่เธอก็ตาม มูนเป็นฝ่ายบอกเลิกพี่เมฆเอง พี่เมฆเป็นนักฟุตบอลที่มีความฝันอยากไปโลดแล่นในสโมสรต่างประเทศ มูนรับรู้อยู่เสมอและตอนนี้พี่เมฆก็ทำมันได้แล้ว ต่อให้เธอไม่ได้ติดต่อกับพี่เมฆก็ตามเรื่องราวของพี่เมฆก็มักจะผ่านเข้าหูเธอโดยบังเอิญ เหตุเพราะตอนนี้พี่เมฆค่อนข้างโด่งดังและประสบความสำเร็จมากพอสมควร
“หวงพี่เมฆไหม? ยิ่งคนรู้จักเยอะ คนเข้าหาก็เยอะตาม’’ เป็นคำถามที่มูนพบเจออยู่เสมอตั้งแต่คบหากับพี่เมฆใหม่ๆ
“หวงนะ แต่ถ้าเป็นความก้าวหน้าของพี่เมฆ มูนยินดี’ ’ มูนมักจะพูดแบบนี้เสมอทั้งที่ในใจหวงจนอยากจับพี่เมฆยัดใส่กล่องแล้ววิ่งหนีไปดาวเคราะห์ดวงอื่น นานเข้าเริ่มมีเรื่องผู้หญิงให้เข้าใจผิดอยู่เนืองๆ ผิดนัดบ้าง อยู่ดีๆ ก็หายไปบ้าง จนสุดท้ายแล้วไม่แคล้วต้องเลิกรากันไป
“พี่ไปไม่ได้แล้วนะครับมูน’ ’ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มูนต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ มูนพยายามเข้าใจพี่เมฆอย่างสุดหัวใจแล้วจริงๆ สมาร์ทโฟนแทบร่วงหลุดมือ ต้นสายคือพี่เมฆโทรมาบอกว่ามาไม่ได้แล้วเพราะโดนเรียกตัวด่วนเป็นวันที่มูนรับปริญญา พี่เมฆเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญในชีวิตที่มูนรอและอยากให้อยู่ด้วยในทุกช่วงวันสำคัญของชีวิตเสมอแต่พี่เมฆกลับไม่มา กึ่งเข้าใจกึ่งสับสนไม่ใช่พี่เมฆคนเดียวที่เหนื่อยงาน
มูนเองก็วุ่นอยู่กับการเรียนหรือฝึกงาน มูนก็เหนื่อยเหมือนกัน มีหนังสือที่ต้องเขียนอีกไม่น้อย มีเพื่อนทั้งหญิงและชายไม่ต่างกันแต่เธอระวังมากเพราะกลัวพี่เมฆจะเข้าใจผิดจนต้องสูญเสียความสนุกบางช่วงชีวิตไปบ้าง ห่างหายจากมิตรภาพดีๆ ไปบ้าง ก็เพื่อให้พี่เมฆสบายใจ เหนื่อยงานแค่ไหนไม่เคยหายไป พี่เมฆยังเป็นคนแรกๆ ที่มูนนึกถึงเสมอ มูนทบทวนอยู่นานก่อนจะตัดสินใจทำเพียงส่งข้อความไปบอกเลิกพี่เมฆ
หลังจากนั้นไม่มีอะไรยืดเยื้อเพราะต่างคนต่างเหนื่อยกับความสัมพันธ์และต่างคนต่างกระหายฝันของตัวเองมากจนหาจุดสมดุลของความรักครั้งนี้ไม่เจอ กระหายความฝันจนต้องสูญเสียคนรักไปจากชีวิต
เวลาคืบคลานนานพอสมควรต่างคนต่างไปใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองกับสิ่งที่รักกับสิ่งที่ฝันแต่ไม่มีกันอย่างเก่า
“ก๊อกๆ อย่านอนดึกนะมูน พรุ่งนี้ต้องพาแม่ไปซื้อผ้า” เป็นเสียงแม่ที่มาเคาะประตูเตือนแล้วเดินจากไป
“ไม่นอนดึก แต่นอนเช้า” มูนตอบเย้าหยอกไปอย่างนั้น ไม่นานก็หย่อนกายลงเตียงกับผ้าปูตึงๆ และหลับไป กาแฟก็กาแฟเถอะ เอาไม่อยู่แล้ว
เช้าวันใหม่กับบรรยากาศสดใสตะวันทอแสงลอดผ่านม่านบางๆ มูนอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะแต่งหน้า แม้ปากและแก้มของเธอจะแดงฝาดเสียจนไม่ต้องพึ่งบลัชออนหรือลิปสติกก็ตามที แต่เธอก็พิถีพิถันกับทุกอย่างที่ทำสมกับเป็น มูน โทษารมณ์ อยู่ดี พร้อมกับสวมเสื้อยืดตัวโคร่งสีดำและสวมรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของเธอ มูนขับรถพาแม่ไปเลือกซื้อผ้าอย่างเคยใช้เวลาไปค่อนวันกว่าจะซื้อของเสร็จสรรพ
ขากลับไม่ลืมที่จะแวะซื้อมื้อกลางวันติดไม้ติดมือมา ไม่นานเกินรอก็ถึงบ้าน หลังจากมื้อกลางวันในเวลาบ่ายอ่อนๆ มูนนั่งดูทีวีพร้อมเล่นกับเจ้าละม่อมแมวตัวโปรดตัวเดียวของเธอตามฉบับทาสแมว ส่วนแม่ของเธอนั่งประจำตำแหน่งหน้าจักรเย็บผ้าที่คุ้นเคยอย่างไม่เบื่อหน่าย
พลางเล่นกับแมวไปดูทีวีไปก็มีสายเรียกเข้าจากมะลิเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานานกระทั่งมัธยมจวบจนปัจจุบันโทรมาชวนไปเดินเล่นถนนคนเดินที่อยู่ไม่ไกลนักจากบ้าน รับปากพร้อมนัดหมายกันอย่างดิบดี มูนกับมะลิช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันด้วยต่างคนก็ต่างมีภาระหน้าที่เป็นของตัวเอง
จวนเวลานัดหมาย มูนไปด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง แต่งหน้านิดๆ หน่อยๆ กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ขับรถออกไปแวะไปรับเพื่อนสาว เสวนากันเรื่อยเปื่อยตามประสา “มูนลองเปิดใจให้ใครสักคนได้เข้ามาอีกสักครั้งดีไหม บางทีก็ไม่แย่นะ เรารู้ดีเราก็เป็นเพื่อนกันมานาน เรารู้ว่ามูนยังรักแล้วก็คิดถึงพี่เมฆไม่เปลี่ยน เราแค่อยากให้มูนลองเปิดใจดูบ้าง’ ’ มะลิพูดกับมูนอย่าจริงใจ
“เราลองแล้ว แต่สุดท้ายหน้าพี่เมฆก็ลอยมาทุกที เราทำแบบนั้นไม่ได้เราเอาแต่คิดถึงพี่เมฆขณะเดียวกันก็ไม่อยากเปิดใจให้ใครเลยจริงๆ เรารู้สึกไม่ดีเลยถ้าจะคุยจะคบกับใครทั้งที่หัวใจเราร้องเรียกหาแต่พี่เมฆ ต้องเป็นพี่เมฆ เมฆ เมฆา เท่านั้น ต่อให้เมฆที่จะเคยปกป้องเป็นร่มเงาให้เรา หรือบางทีก็เป็นพายุ เราก็ยังรักเขาอยู่ดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าพี่เมฆยังรัก ยังคิดถึงเราเหมือนที่เราคิดถึงพี่เขาหรือเปล่า”
“เราถามหน่อยได้ไหม? ตอบตรงๆ นะ ห้ามโกหก’ ’ มะลิพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังกว่าเก่า
“ได้ดิ”
“ถ้าพี่เมฆมาขอคืนดี มูนจะกลับไหม’ ’
“วิ่งใส่จ่ะ ฮ่าๆ ’ ’ มูนตอบพร้อมขำ คิกคัก แต่มะลิขำจนแทบสำลักกับคำตอบของเพื่อนสาว
เธอพอจะเดาคำตอบได้อยู่บ้าง แต่ก็เกินคาดไปไกลมาก ไม่คิดว่าจะตอบอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้
ไม่นานเกินรอก็ถึงถนนคนเดินมีผู้คนหนาตา มูนกับมะลิเดินซื้อนั่นซื้อนี่และพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
“อ้าว! มะลิมาคนเดียวเหรอ’ ’ เสียงทุ้มจากชายหนุ่ม สูง 180 สวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งหน้าตาดูโดดเด่นเขาคือพี่เมฆของมูนเอง มะลิได้แต่ภาวนาว่าอย่าเพิ่งให้เพื่อนของเขาที่เพิ่งเดินไปซื้อน้ำในร้านถัดไปอีกแค่ร้านเดียวมาเห็นตอนนี้เลยเพราะพี่เมฆควงผู้หญิงมาด้วย หน้าตาดูสะสวยน่าจะอายุพอๆ กับพี่เมฆ
“อ้าว! มูน’ ’ ไม่ผิดคาด เพื่อนรักของเธอเดินมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แก้มป่องๆ ผมยาวหน้าม้าซีทรูที่น่ารักไม่ใช่น้อยเดินมาประจันหน้ากับพี่เมฆคนรักเก่าอย่างจังๆ
“สวัสดีค่ะ พี่เมฆ” มูนพูดพร้อมยกมือไหว้ ทำอะไรไม่ถูกยกมือไหว้แฟนเก่าเสียเลย มองผู้หญิงที่สูงประมาณบ่าพี่เมฆอย่างสลับไปสลับมา
“สบายดีนะมูน” พี่เมฆมองด้วยสายตาสุดอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มๆ แสนอบอุ่น ทุกอย่างทั้งสายตา น้ำเสียงที่ให้กับมูนยังเหมือนเดิมทั้งที่มากับผู้หญิงคนอื่น
“สบายดีค่ะ’ ’ มูนตอบสั้นๆ ไม่ได้ถามอะไรกลับ ทั้งที่คำถามลอยมาเต็มหัวไปหมด อยากรู้มากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร พี่เมฆกลับมาไทยตั้งแต่เมื่อไหร่
บทสนทนามีเพียงเท่านี้มูนที่คิดว่าตัวเองจะไหวถ้าเกิดพี่เมฆจะมีใครใหม่ แต่พอเจอเข้าจังๆ แบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ไม่ได้เผื่อใจว่าต้องเจอ ไม่ได้ทำใจว่าต้องทักทาย เป็นบทสนทนาที่ตึงๆ จบลง ไม่นานก็ขับรถกลับบ้านด้วยอาการซึมๆ เป็นการเจอคนที่ยังรัก คนที่ยังคิดถึงยืนเคียงหญิงอื่นแต่ต้องทักทาย เมื่อถึงบ้านเธอสาวเท้าเดินขึ้นบันไดมองไปยังสิ่งของในห้องที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนมีพี่เมฆมาเกี่ยวข้อง หยิบโน้ตบุ๊คพร้อมทิ้งตัวลงบนเตียงเปิดซีรีย์ดู ถ้าหากจะเศร้าหลังจากนี้ก็ขอให้มันเป็นเรื่องราวจากฉากในซีรีย์ไม่ใช่เพราะเรื่องราวของเธอเอง มีเสียงไลน์ดังขึ้นเธอใช้นิ้วเรียวหยิบสมาร์ทโฟนเลื่อนไปดูเป็นข้อความจากแอกเคานท์ที่ไม่ได้สนทนากันแล้วร่วมสองปีที่ไม่เคยคิดจะบล็อกเลย
“มูนครับ พี่เรียนจบ โท แล้วนะ ยังยินดีกับพี่อยู่ไหมครับ ถ้าชวนจะมาไหม?’ ’ นี่เป็นข้อความจากคนรักเก่าของเธอเอง
“ยินดีอยู่แล้ว”
“มานะ อยากให้มาจริงๆ ’’ ถึงแม้จะเลิกรากันไปแล้วแต่หลายเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาได้หลายๆ อย่างก็เพราะมูน
“ได้เลย เจอกันค่ะ”